ตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่มพอรู้ความ วาทกรรมบทหนึ่งที่ผมถูกยัดเยียดจากญาติผู้ใหญ่ที่ซึมใส่สมองมาตลอดคือ "You will never walk alone" บทวาทกรรมที่ถูกขยายความถึงยอดทีมที่มีเกมบุกแบบซาดิสม์ไร้น้ำใจ แผนการเล่นที่เป็นระบบและทีมเวิร์คที่แข็งแกร่งระดับจ้าวยุโรป แน่นอนครับว่าเด็กหนุ่มผู้ไม่ประสาต่อโลกย่อมทุ่มใจหลงใหลในยอดทีมที่ชื่อว่า "Liverpool" ซึ่งมันก็น่าจะเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจของแฟนบอลทั่วๆไปต่อทีมอันเป็นที่รัก แต่อนิจจา ผมนั้นไม่ได้เกิดมาในยุคจักรกลสีแดงรุ่งโรจน์ แต่กลับเป็นยุคร่วงโรยตกต่ำ เมื่อเป็นเช่นนี้สิ่งที่ผมพานพบมาตลอด 15 ปี ย่อมหมายถึงความผิดหวัง ความผิดหวังและความผิดหวัง...
ลิเวอร์พูลในยุคที่ผมติดตามนั้นเหมือนเป็นคนป่วยเรื้อรัง มีโรคแทรกซ้อนหลากหลายอาการ ทั้งที่พยายามแก้ไขมาตลอด แต่ก็กลายเป็นเพียงกินยาบรรเทาตามอาการเท่านั้น หาได้สามารถวินิจฉัยเหตุแห่งโรคเพื่อรักษาให้หายขาดไม่ จักรกลสีแดงผู้น่าเกรงขามนับวันเกียรติยศเสื่อมถอย กลายเป็นเพียงจักรกลตกรุ่นขึ้นสนิมที่รอชั่งกิโลขาย หลายหนที่ผมมิอาจทนต่อความอัปยศจากการล้อเลียนและความผิดหวัง จนเคยคิดจะตัดใจไปเชียร์ทีมอื่น แต่ทว่าวาทกรรม "คุณจะไม่เดินอย่างเดียวดาย" กลายเป็นสิ่งฉุดรั้งให้ผมไม่สามารถตัดใจเดินทิ้งทีมอันเป็นรักนี้ไปได้ จวบจนปี 2012 บุรุษนายหนึ่งผู้มีโปรไฟล์ด้านการคุมทีมที่โคตรจะธรรมดาก็ได้เข้ามารับช่วงต่อจากคิง เคนนี่ บุรุษผู้ที่ผมเคยปรามาสไว้ในใจว่าคงไม่ทำทีมให้ดีไปจากเดิมเสียเท่าไหร่ บุรุษผู้นั้นมีชื่อว่า...
ใช่ครับ การเข้ามาของรอดเจอร์สนั้นก็ไม่ได้หวือหวาอะไรมาก เว้นแต่ว่ากลยุทธ์สุดสะแด่วที่นำเข้ามาอย่าง Tiki-taka ของผู้จัดการชาวไอร์แลนด์เหนือนั้นมันช่างน่าปวดเศียรเวียนเกล้าจนอยากเอาเท้าก่ายหน้าผากยิ่งนัก แถมยังเย้ายวนแฟนบอลทีมคู่แข่งทั้งหลายที่ออกมาด่าว่าปรามาสกันเสียสนุกปาก ซึ่งก็เป็นตามคาดการณ์ Tiki-Taka นั้นหาใช่แก้วสารพัดนึกที่จะบัลดาลความสำเร็จในบัดดล หากแต่มันต้องเกิดจากการปลูกฝังและสร้างความคุ้นเคยมาเป็นเวลานาน ฉะนั้น Tiki-taka สำหรับลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2012-2013 จึงกลายเป็น "ตะกุกตะกัก" ไปในที่สุด และเมื่อจบอันดับ 7 ของฤดูกาล ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่สำหรับเหล่าเดอะค็อปทั้งหลาย
หากลองย้อนมองอีกมุม ทำใจเป็นกลางและพิจารณาอย่างละเมียดแล้ว Tiki-Taka มันก็มีจริตบางส่วนที่สอดคล้องกับแนวทางของลิเวอร์พูล
“แบบแผนของผมสำหรับทุกเรื่องคือการจัดระเบียบ เมื่อครองบอลเราต้องรู้รูปแบบการเคลื่อนที่ การหมุนตำแหน่ง ความลื่นไหลในการหาตำแหน่งของทีม จากนั้นคือเรื่องของการจัดระเบียบในเกมรับ เพราะถ้าหากว่าทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เราคิด อย่างน้อยที่สุดเรายังมีระบบพื้นฐานที่จะทำให้ทีมอื่นเอาชนะเราได้ยาก และเมื่อเขายิงไม่ได้เราจะมีโอกาสดึงจังหวะเกมกลับมาอีกครั้ง เมื่อได้บอลคืนมาเราก็จะได้พัก และจากนั้นเราจะปั้นเกมใหม่อีกครั้ง (ร็อดเจอร์ส 2012)
รูปแบบจากคำพูดดังกล่าวแสดงถึงความต้องการระบบทีมเวิร์คที่แข่งแกร่งและรูปแบบการเล่นที่เป็นทีม ซึ่งคือจิตวิญญาณพื้นฐานแห่งลิเวอร์พูล "เราจะก้าวไปพร้อมกันและไม่มีวันเดินอย่างเดียวดาย" ผมเริ่มมโนภาพจักรกลสังหารสีแดงอยู่ลางๆจากคำพูดร็อดเจอรส์ ซึ่งก็ย้ำชัดในจุดยืนการทำทีมสมัยรุ่งโรจน์ของ Bill Shankly ที่ว่า
"No one was asked to do more than anyone else...we were a team. We shared the ball, we shared the game,we shared the worries."
แน่นอนว่าหลายคนย่อมเห็นต่างว่าฟุตบอลนั้นเล่นเป็นทีมและทีมไหนๆย่อมเล่นกันเป็นระบบทีมกันทั้งนั้น เรื่องนี้หาใช่หลักใหญ่ใจความสำคัญไม่ แต่ในส่วนนี้ผมเห็นต่าง เพราะลิเวอร์พูลในทรรศนะผมนั้นห่างเหินการไว้เนื้อเชื่อใจในเพื่อนร่วมทีมมาเนิ่นนาน กอปรกับผู้เล่นหลายคนขาดความทุ่มเทเพื่อทีมที่มากพอ (ยกเว้น 2005 ที่ได้แชมป์เปี้ยนลีกส์) รูปแบบการเล่นที่เห็นจึงเป็นเพียงการฝากผีฝากไข้ให้กับคนไม่กี่คนในทีมเท่านั้น ซึ่งการที่จะโน้มน้าวอัตตาคนในทีมให้มามองระบบและผลประโยชน์ส่วนรวมของทีมได้นั้นเป็นเรื่องท้าท้ายผู้จัดการจอมโม้อยู่ใช่น้อย ไหนจะผู้เล่นบางคนที่มีสไตล์การเล่นแบบกระอักกระอ่วนเครื่องในชนิดที่ควรออกไปเล่นบอลชายเดี่ยวตัวคนเดียวเสียดีกว่า
เริ่มต้นฤดูกาล 2013-2014 ก็อยู่ในช่วงลองผิดลองถูกและปรับตัวผู้เล่น ทั้งนี้ข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของลิเวอร์พูลที่มีนั้นคือตัวผู้เล่นคนหนึ่งที่เป็นดั่งแกนกลางสำคัญซึ่งส่งเสริมระบบความเป็น "ทีม" ที่แท้จริง นั่นคือสตีเวน เจอร์ราด ถึงแม้ความฟิตและฟอร์มการเล่นอาจถดถอยไปตามสังขารบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความภักดีและทุ่มเทต่อทีมนั้นเหมือนพิมพ์เขียวสำคัญที่เกื้อหนุนกับระบบ Tiki-Taka และเพื่อนร่วมทีม คำว่า "ระบบ" ในลิเวอร์พูลจึงเริ่มก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง รวมถึงการที่ร็อดเจอร์สกระตุ้นความกระหายในชัยชนะและเค้นศักยภาพของนักเตะระดับกลางๆมาใช้เพื่อทีมได้อย่างเต็มที่ (อันที่จริงก็ตั้งแต่เหตุการณ์บาเยิร์นแห่งเกาะอังกฤษแล้วหละ แต่ผมไม่อยากพูดถึง ) ความท้าทายต่อมาของทีมคือการกลับมาจากโทษแบนอันยาวนานของหม่อมกัด เพราะในฤดูกาล 2012-2013 จะเห็นได้ว่าโดยกมลสันดานพี่ท่านนั้นนิยมชมชอบบอลชายเดี่ยวเป็นแม่นมั่น ถึงแม้ทรงบอลอเมริกาใต้พี่ท่านน่าจะเกื้อหนุนกับ Tiki-Taka แต่ด้วยอัตตาที่เห็นแก่ตัวและบอลประโยชน์ส่วนตนแล้ว ผมเชื่อว่าจะมาทำลายแผนการทำระบบของรอดเจอรส์เป็นแน่แท้ แต่ผิดคาด!!! ไม่รู้ว่าหม่อมท่านไปเลิกนิสัยนี้ที่ถ้ำกระบอกมาหรือไร ถึงได้กลายเปลี่ยนเป็นคนละคนเช่นนี้ นอกจากจะไม่ทำลายแล้ว ซัวเรซกลับส่งเสริมระบบในอุดมคติที่รอดเจอร์สวางรากฐานไว้ด้วยซ้ำ
เมื่อรากฐานของความเป็นระบบถูกก่อขึ้นเป็นรูปธรรม การต่อยอดของระบบย่อมไม่ใช่เรื่องยาก ในทุกๆเกมจะเห็นได้ว่ามีการปรับเปลี่ยนแผนและตำแหน่งให้เหมาะสมกับแมตช์นั้นๆ ซึ่งสามารถเล่นได้หลากหลายดูสนุกและน่าติดตาม ถึงแม้การแก้เกมของร็อดเจอร์นั้นจะไม่ดีเท่าที่ควร ก็ว่ากันไปในเรื่องของระบบและแผนการ แต่สิ่งที่เห็นต่างได้อย่างชัดเจนคือความกระตือรือร้นและกระหายในชัยชนะของลูกทีมในทุกๆแมตช์ เป็นภาพที่ห่างหายไปนานของลิเวอร์พูล ซึ่งไอ้ความกระเหี้ยนกระหือบุกบุกบุกนี่แหละคือเชื้อเพลิงสำคัญที่จะกลับมาขับเคลื่อนจักรกลสีแดงให้ฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หลายคนอาจค่อนขอดหรือมองว่าสถานะทีมในตอนนี้ยังไม่ควรค่าพอที่จะใช้คำว่าจักรกลสีแดง อันนี้ก็ตามแต่ทรรศนะคติ ส่วนตัวผมนั้น 10 เกมหลังมานี่เป็นภาพที่ไม่เคยประสบมาก่อนตั้งแต่ติดตามทีมนี้มา ไม่ว่าจะในยุคเกมรับของอูริเย่ ยุคผลักภาระให้นักเตะของราฟา ยุคหมาเมินของปู่รอย หรือยุคเหงาหงอยของคิงเคนนี่ กับผลงานแค่นี้ผมก็ดีใจจนลิงโลดและโม้ได้เต็มปากว่า "จักรกลสีแดงได้ฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว "...
หากถามถึงสถานะทีมในลีกส์ตอนนี้ว่าหวังสูงแค่ไหน ?
"ตะเบ็งเสียงตอบได้เลยว่าสูงถึงแชมป์แน่นอนครับ"
แล้วไม่กลัวเจ็บหรือ ?
ขอตอบแบบนิ่งเรียบว่าการตามเชียร์ทีมนี้ในยุคตกต่ำนั้น สภาพจิตใจผมไม่ต่างกับผิวมือที่หยาบกร้านเนื่องจากจับจอบเสียมทำงานหนักกว่าสิบปีไปเสียเท่าไหร่ มันด้านกระด้างยิ่งกว่าหน้าบังยีด้วยซ้ำ ถามเรื่องเจ็บนี่ไม่มีเด็ดขาด เพราะลิเวอร์พูลทำผมเจ็บอยู่เพียงสองครั้งเท่านั้นคือ "ครั้งแล้วและครั้งเล่า"
อยากรบกวนฝากอีกสักเรื่องถึงสาวกเดอะค็อปทุกคนครับ ขอพูดตรงๆว่าสถานะเราตอนนี้ถึงขั้นลุ้นแชมป์แล้ว แต่หลายท่านยังคงในจุดยืนไปบอลถ้วยยุโรปเท่านั้น เรื่องของแชมป์ลีกส์ยังเป็นผลพลอยได้อยู่ ส่วนนี้ผมเคารพในจุดยืนของทุกท่านครับ แค่อยากจะออกมาเชิญชวนออกมาช่วยกันลุ้นและเชียร์กันเป็นทางการกันเยอะๆหน่อย เพราะโอกาสอย่างนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ถึงแม้จะเงิบเราก็จะเงิบไปด้วยกัน ดั่งคำของล็อคอิน The POPROCK ที่ว่า "อยู่กับลิเวอร์พูลคุณจะไม่เดินเดียวดาย แต่จะอับอายเป็นหมู่คณะ"
สุดท้ายนี้ที่พิมพ์มาเสียยืดยาวก็แค่จะยกเครดิตความดีความชอบให้กับบอสอย่างรอดเจอรส์ ที่สามารถปรับระบบทีมให้เข้ากับแทคติกที่เคยโอ้อวดไว้ได้ ทั้งยังกระตุ้นกำลังใจและเค้นศักยภาพนักเตะได้อย่างดีเยี่ยม ผมเองในฐานะแฟนบอลตัวเล็กๆคนหนึ่งของลิเวอร์พูลแค่อยากจะขอบคุณ ถึงแม้ปลายทางของฤดูกาลนี้จะเป็นเช่นไร แต่บอสอย่างคุณก็ทำให้ผมเห็นเค้าลางของจักรกลสีแดงที่พึ่งฟื้นตื่น อย่างน้อยๆผมได้เห็นฟอร์มการเล่นของทีมแบบนี้ก็ดีใจจนลิงโลดแล้ว ฟอร์มการเล่นที่ผมไม่ต้องสนทนาเรื่องบอลกับเพื่อนๆด้วยเสียงแมวป่วย แต่เป็นฟอร์มที่ผมสามารถผายอกพูดเสียงแข็งเยี่ยงโจรได้....
YOU WILL NEVER WALK ALONE
*แก้ไขขนาดภาพ
Brendan Rodgers : Rise Of Red Machine "ยุทธการกู้จักรกลสีแดง"
ลิเวอร์พูลในยุคที่ผมติดตามนั้นเหมือนเป็นคนป่วยเรื้อรัง มีโรคแทรกซ้อนหลากหลายอาการ ทั้งที่พยายามแก้ไขมาตลอด แต่ก็กลายเป็นเพียงกินยาบรรเทาตามอาการเท่านั้น หาได้สามารถวินิจฉัยเหตุแห่งโรคเพื่อรักษาให้หายขาดไม่ จักรกลสีแดงผู้น่าเกรงขามนับวันเกียรติยศเสื่อมถอย กลายเป็นเพียงจักรกลตกรุ่นขึ้นสนิมที่รอชั่งกิโลขาย หลายหนที่ผมมิอาจทนต่อความอัปยศจากการล้อเลียนและความผิดหวัง จนเคยคิดจะตัดใจไปเชียร์ทีมอื่น แต่ทว่าวาทกรรม "คุณจะไม่เดินอย่างเดียวดาย" กลายเป็นสิ่งฉุดรั้งให้ผมไม่สามารถตัดใจเดินทิ้งทีมอันเป็นรักนี้ไปได้ จวบจนปี 2012 บุรุษนายหนึ่งผู้มีโปรไฟล์ด้านการคุมทีมที่โคตรจะธรรมดาก็ได้เข้ามารับช่วงต่อจากคิง เคนนี่ บุรุษผู้ที่ผมเคยปรามาสไว้ในใจว่าคงไม่ทำทีมให้ดีไปจากเดิมเสียเท่าไหร่ บุรุษผู้นั้นมีชื่อว่า...
ใช่ครับ การเข้ามาของรอดเจอร์สนั้นก็ไม่ได้หวือหวาอะไรมาก เว้นแต่ว่ากลยุทธ์สุดสะแด่วที่นำเข้ามาอย่าง Tiki-taka ของผู้จัดการชาวไอร์แลนด์เหนือนั้นมันช่างน่าปวดเศียรเวียนเกล้าจนอยากเอาเท้าก่ายหน้าผากยิ่งนัก แถมยังเย้ายวนแฟนบอลทีมคู่แข่งทั้งหลายที่ออกมาด่าว่าปรามาสกันเสียสนุกปาก ซึ่งก็เป็นตามคาดการณ์ Tiki-Taka นั้นหาใช่แก้วสารพัดนึกที่จะบัลดาลความสำเร็จในบัดดล หากแต่มันต้องเกิดจากการปลูกฝังและสร้างความคุ้นเคยมาเป็นเวลานาน ฉะนั้น Tiki-taka สำหรับลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2012-2013 จึงกลายเป็น "ตะกุกตะกัก" ไปในที่สุด และเมื่อจบอันดับ 7 ของฤดูกาล ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่สำหรับเหล่าเดอะค็อปทั้งหลาย
หากลองย้อนมองอีกมุม ทำใจเป็นกลางและพิจารณาอย่างละเมียดแล้ว Tiki-Taka มันก็มีจริตบางส่วนที่สอดคล้องกับแนวทางของลิเวอร์พูล
“แบบแผนของผมสำหรับทุกเรื่องคือการจัดระเบียบ เมื่อครองบอลเราต้องรู้รูปแบบการเคลื่อนที่ การหมุนตำแหน่ง ความลื่นไหลในการหาตำแหน่งของทีม จากนั้นคือเรื่องของการจัดระเบียบในเกมรับ เพราะถ้าหากว่าทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เราคิด อย่างน้อยที่สุดเรายังมีระบบพื้นฐานที่จะทำให้ทีมอื่นเอาชนะเราได้ยาก และเมื่อเขายิงไม่ได้เราจะมีโอกาสดึงจังหวะเกมกลับมาอีกครั้ง เมื่อได้บอลคืนมาเราก็จะได้พัก และจากนั้นเราจะปั้นเกมใหม่อีกครั้ง (ร็อดเจอร์ส 2012)
รูปแบบจากคำพูดดังกล่าวแสดงถึงความต้องการระบบทีมเวิร์คที่แข่งแกร่งและรูปแบบการเล่นที่เป็นทีม ซึ่งคือจิตวิญญาณพื้นฐานแห่งลิเวอร์พูล "เราจะก้าวไปพร้อมกันและไม่มีวันเดินอย่างเดียวดาย" ผมเริ่มมโนภาพจักรกลสังหารสีแดงอยู่ลางๆจากคำพูดร็อดเจอรส์ ซึ่งก็ย้ำชัดในจุดยืนการทำทีมสมัยรุ่งโรจน์ของ Bill Shankly ที่ว่า "No one was asked to do more than anyone else...we were a team. We shared the ball, we shared the game,we shared the worries."
แน่นอนว่าหลายคนย่อมเห็นต่างว่าฟุตบอลนั้นเล่นเป็นทีมและทีมไหนๆย่อมเล่นกันเป็นระบบทีมกันทั้งนั้น เรื่องนี้หาใช่หลักใหญ่ใจความสำคัญไม่ แต่ในส่วนนี้ผมเห็นต่าง เพราะลิเวอร์พูลในทรรศนะผมนั้นห่างเหินการไว้เนื้อเชื่อใจในเพื่อนร่วมทีมมาเนิ่นนาน กอปรกับผู้เล่นหลายคนขาดความทุ่มเทเพื่อทีมที่มากพอ (ยกเว้น 2005 ที่ได้แชมป์เปี้ยนลีกส์) รูปแบบการเล่นที่เห็นจึงเป็นเพียงการฝากผีฝากไข้ให้กับคนไม่กี่คนในทีมเท่านั้น ซึ่งการที่จะโน้มน้าวอัตตาคนในทีมให้มามองระบบและผลประโยชน์ส่วนรวมของทีมได้นั้นเป็นเรื่องท้าท้ายผู้จัดการจอมโม้อยู่ใช่น้อย ไหนจะผู้เล่นบางคนที่มีสไตล์การเล่นแบบกระอักกระอ่วนเครื่องในชนิดที่ควรออกไปเล่นบอลชายเดี่ยวตัวคนเดียวเสียดีกว่า
เริ่มต้นฤดูกาล 2013-2014 ก็อยู่ในช่วงลองผิดลองถูกและปรับตัวผู้เล่น ทั้งนี้ข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งของลิเวอร์พูลที่มีนั้นคือตัวผู้เล่นคนหนึ่งที่เป็นดั่งแกนกลางสำคัญซึ่งส่งเสริมระบบความเป็น "ทีม" ที่แท้จริง นั่นคือสตีเวน เจอร์ราด ถึงแม้ความฟิตและฟอร์มการเล่นอาจถดถอยไปตามสังขารบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความภักดีและทุ่มเทต่อทีมนั้นเหมือนพิมพ์เขียวสำคัญที่เกื้อหนุนกับระบบ Tiki-Taka และเพื่อนร่วมทีม คำว่า "ระบบ" ในลิเวอร์พูลจึงเริ่มก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง รวมถึงการที่ร็อดเจอร์สกระตุ้นความกระหายในชัยชนะและเค้นศักยภาพของนักเตะระดับกลางๆมาใช้เพื่อทีมได้อย่างเต็มที่ (อันที่จริงก็ตั้งแต่เหตุการณ์บาเยิร์นแห่งเกาะอังกฤษแล้วหละ แต่ผมไม่อยากพูดถึง ) ความท้าทายต่อมาของทีมคือการกลับมาจากโทษแบนอันยาวนานของหม่อมกัด เพราะในฤดูกาล 2012-2013 จะเห็นได้ว่าโดยกมลสันดานพี่ท่านนั้นนิยมชมชอบบอลชายเดี่ยวเป็นแม่นมั่น ถึงแม้ทรงบอลอเมริกาใต้พี่ท่านน่าจะเกื้อหนุนกับ Tiki-Taka แต่ด้วยอัตตาที่เห็นแก่ตัวและบอลประโยชน์ส่วนตนแล้ว ผมเชื่อว่าจะมาทำลายแผนการทำระบบของรอดเจอรส์เป็นแน่แท้ แต่ผิดคาด!!! ไม่รู้ว่าหม่อมท่านไปเลิกนิสัยนี้ที่ถ้ำกระบอกมาหรือไร ถึงได้กลายเปลี่ยนเป็นคนละคนเช่นนี้ นอกจากจะไม่ทำลายแล้ว ซัวเรซกลับส่งเสริมระบบในอุดมคติที่รอดเจอร์สวางรากฐานไว้ด้วยซ้ำ
เมื่อรากฐานของความเป็นระบบถูกก่อขึ้นเป็นรูปธรรม การต่อยอดของระบบย่อมไม่ใช่เรื่องยาก ในทุกๆเกมจะเห็นได้ว่ามีการปรับเปลี่ยนแผนและตำแหน่งให้เหมาะสมกับแมตช์นั้นๆ ซึ่งสามารถเล่นได้หลากหลายดูสนุกและน่าติดตาม ถึงแม้การแก้เกมของร็อดเจอร์นั้นจะไม่ดีเท่าที่ควร ก็ว่ากันไปในเรื่องของระบบและแผนการ แต่สิ่งที่เห็นต่างได้อย่างชัดเจนคือความกระตือรือร้นและกระหายในชัยชนะของลูกทีมในทุกๆแมตช์ เป็นภาพที่ห่างหายไปนานของลิเวอร์พูล ซึ่งไอ้ความกระเหี้ยนกระหือบุกบุกบุกนี่แหละคือเชื้อเพลิงสำคัญที่จะกลับมาขับเคลื่อนจักรกลสีแดงให้ฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หลายคนอาจค่อนขอดหรือมองว่าสถานะทีมในตอนนี้ยังไม่ควรค่าพอที่จะใช้คำว่าจักรกลสีแดง อันนี้ก็ตามแต่ทรรศนะคติ ส่วนตัวผมนั้น 10 เกมหลังมานี่เป็นภาพที่ไม่เคยประสบมาก่อนตั้งแต่ติดตามทีมนี้มา ไม่ว่าจะในยุคเกมรับของอูริเย่ ยุคผลักภาระให้นักเตะของราฟา ยุคหมาเมินของปู่รอย หรือยุคเหงาหงอยของคิงเคนนี่ กับผลงานแค่นี้ผมก็ดีใจจนลิงโลดและโม้ได้เต็มปากว่า "จักรกลสีแดงได้ฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว "...
หากถามถึงสถานะทีมในลีกส์ตอนนี้ว่าหวังสูงแค่ไหน ?
"ตะเบ็งเสียงตอบได้เลยว่าสูงถึงแชมป์แน่นอนครับ"
แล้วไม่กลัวเจ็บหรือ ?
ขอตอบแบบนิ่งเรียบว่าการตามเชียร์ทีมนี้ในยุคตกต่ำนั้น สภาพจิตใจผมไม่ต่างกับผิวมือที่หยาบกร้านเนื่องจากจับจอบเสียมทำงานหนักกว่าสิบปีไปเสียเท่าไหร่ มันด้านกระด้างยิ่งกว่าหน้าบังยีด้วยซ้ำ ถามเรื่องเจ็บนี่ไม่มีเด็ดขาด เพราะลิเวอร์พูลทำผมเจ็บอยู่เพียงสองครั้งเท่านั้นคือ "ครั้งแล้วและครั้งเล่า"
อยากรบกวนฝากอีกสักเรื่องถึงสาวกเดอะค็อปทุกคนครับ ขอพูดตรงๆว่าสถานะเราตอนนี้ถึงขั้นลุ้นแชมป์แล้ว แต่หลายท่านยังคงในจุดยืนไปบอลถ้วยยุโรปเท่านั้น เรื่องของแชมป์ลีกส์ยังเป็นผลพลอยได้อยู่ ส่วนนี้ผมเคารพในจุดยืนของทุกท่านครับ แค่อยากจะออกมาเชิญชวนออกมาช่วยกันลุ้นและเชียร์กันเป็นทางการกันเยอะๆหน่อย เพราะโอกาสอย่างนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ถึงแม้จะเงิบเราก็จะเงิบไปด้วยกัน ดั่งคำของล็อคอิน The POPROCK ที่ว่า "อยู่กับลิเวอร์พูลคุณจะไม่เดินเดียวดาย แต่จะอับอายเป็นหมู่คณะ"
สุดท้ายนี้ที่พิมพ์มาเสียยืดยาวก็แค่จะยกเครดิตความดีความชอบให้กับบอสอย่างรอดเจอรส์ ที่สามารถปรับระบบทีมให้เข้ากับแทคติกที่เคยโอ้อวดไว้ได้ ทั้งยังกระตุ้นกำลังใจและเค้นศักยภาพนักเตะได้อย่างดีเยี่ยม ผมเองในฐานะแฟนบอลตัวเล็กๆคนหนึ่งของลิเวอร์พูลแค่อยากจะขอบคุณ ถึงแม้ปลายทางของฤดูกาลนี้จะเป็นเช่นไร แต่บอสอย่างคุณก็ทำให้ผมเห็นเค้าลางของจักรกลสีแดงที่พึ่งฟื้นตื่น อย่างน้อยๆผมได้เห็นฟอร์มการเล่นของทีมแบบนี้ก็ดีใจจนลิงโลดแล้ว ฟอร์มการเล่นที่ผมไม่ต้องสนทนาเรื่องบอลกับเพื่อนๆด้วยเสียงแมวป่วย แต่เป็นฟอร์มที่ผมสามารถผายอกพูดเสียงแข็งเยี่ยงโจรได้....
YOU WILL NEVER WALK ALONE
*แก้ไขขนาดภาพ