สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ ชาวพันทิป
พาพันหายหน้าหายตาไปเพราะไปเก็บข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการนำเศษวัสดุมาแปลงให้เป็นผลิตภัณฑ์ครับ วันนี้พาพันกลับมากับซีรี่ย์ภาคต่อของการเรียนวิชา Scrap Design ครับ พี่ๆ คนไหนที่เพิ่งเข้ามาอ่านกระทู้นี้เป็นกระทู้แรกอาจจะงงว่าพาพันกำลังพูดเรื่องอะไร พี่ๆ สามารถแวะไปอ่านกระทู้แรกก่อนได้นะครับ
บันทึกของพาพัน@pantip ตอน วิชาออกแบบเศษวัสดุเหลือใช้
พาพันขอไม่พูดพร่ำทำเพลง ขอขนความรู้มาเล่าสู่เพื่อนๆ พี่ๆ ฟังเลยละกันครับ วันนี้ที่คลาสเรียนวิชา Scrap Design เราเรียนเรื่อง “Natural Fiber” หรือ “เส้นใยธรรมชาติ” ครับ โดยในวันนี้ได้รับเกียรติจาก
ดร. ชิราวุฒิ เพชรเย็น อาจารย์จากภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุและวัสดุ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มาเป็นอาจารย์รับเชิญครับ
ดร. ชิราวุฒิ ได้อธิบายให้พวกเราฟังว่า เส้นใยธรรมชาติได้มาจาก 3 แหล่งด้วยกัน คือ
1. จากพืช อันนี้มาจากทุกส่วนของพืชเลยนะครับ ทั้งลำต้น ใบ กิ่ง เมล็ด เลยครับ
2. จากสัตว์ เช่น ขนสัตว์ และตัวหม่อนไหม
และ 3. จากแร่ธาตุครับ
โดยเส้นใยธรรมชาติส่วนใหญ่จะได้จากพืชครับ ส่วนแหล่งที่มาของพืชที่ให้เส้นใยธรรมชาติเหล่านี้ พี่ๆ เชื่อหรือไม่ครับว่าอันดับที่ 1-5 อยู่ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด โดยพม่าเป็นประเทศที่มีเส้นใยธรรมชาติเยอะที่สุด และไทยเราก็ติดอันดับ 1 ใน 10 ที่มีเส้นใยธรรมชาติเยอะที่สุดครับ
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเส้นใยธรรมชาตินี่มีอยู่รอบๆ ตัวเราเลยครับ ตั้งแต่ภายในบ้านของเรา โครงสร้างของบ้าน อย่างเช่น กรอบหน้าต่าง ระเบียงบ้านที่ทำจาก PP หรือ Polypropylene ถังพลาสติกต่างๆ อุปกรณ์ที่มีส่วนที่เป็นพลาสติก อย่าง ไฟฉาย ลำโพง เป็นต้น ท่อน้ำพีวีซี ส่วนประกอบในรถยนต์ หรือในกล่องอาหาร และพวกบรรจุภัณฑ์ต่างๆ เป็นต้นครับ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเส้นใยธรรมชาตินี้แทบจะอยู่ในทุกอย่างในชีวิตประจำวันของคนเราครับ
หลายคนคงเริ่มสงสัยว่าทำไมเราต้องรู้จักเส้นใยธรรมชาติพวกนี้ ก็เพราะว่าเส้นใยธรรมชาติมีคุณประโยชน์มากมายเมื่อผสมลงในพลาสติกของเราครับ ข้อแรกคือ เส้นใยธรรมชาติมีคุณสมบัติในการเพิ่มความแข็งแรงของวัสดุครับ ทำให้ไม่แตก หรือเปราะง่าย และที่สำคัญคือช่วยในการขึ้นรูปวัสดุครับ ดร. ชิราวุฒิ ยกตัวอย่าง ป่านศรนารายณ์ครับว่า เมื่อนำป่านศรนารายณ์มาใส่อะคริลิก พอขึ้นรูปโดยการอัดด้วยความร้อน ปรากฏว่าแผ่นอะคริลิกที่ผสมป่านศรนารายณ์มีความแข็งแรงมากขนาดที่ว่ากระสุนปืนยิงไม่เข้าเลยครับ ว้าววว....นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเส้นใยธรรมชาติช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับวัสดุครับ
ข้อสองเส้นใยธรรมชาติจะช่วยปรับปรุงคุณสมบัติของวัสดุนั้นๆ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามชนิดของเส้นใยธรรมชาติครับ เช่น เพิ่มความทนไฟ หรือเพิ่มความทนต่อกรด-ด่าง และข้อสุดท้ายเป็นข้อที่สำคัญที่สุดซึ่งพาพันเชื่อว่าเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เราต้องสนใจเจ้าเส้นใยธรรมชาติ คุณสมบัติสำคัญที่ว่านั้นก็คือ มันสามารถย่อยสลายได้ครับ นอกจากนั้นเรายังสามารถกำหนดได้ด้วยครับว่าจะให้ผลิตภัณฑ์นั้นย่อยสลายเมื่อไหร่ครับ เท่ห์สุดสุดเลยครับ
เห็นเส้นใยธรรมชาติมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะนำมันไปผสมในวัสดุทุกอย่างได้นะครับ เพราะมีกฎหมายที่ควบคุมการผสมเส้นใยธรรมชาติลงลงในบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารอยู่ครับ โดยเส้นใยธรรมชาติที่จะใส่ลงในบรรจุภัณฑ์อาหารนั้นต้องมีขนาดใหญ่กว่านาโนครับ ถ้าเล็กขนาดนาโนแล้วห้ามใส่ในบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารโดยเด็ดขาด
ส่วนการเลือกใช้เส้นใยธรรมชาติมาผสมกับวัสดุนั้นต้องเลือกตามคุณสมบัติของเส้นใยแต่ละชนิดครับ เพราะเส้นใยธรรมชาติแต่ละชนิดจะมีความสั้น/ยาว ความแข็งแรง เซลลูโลส และพวกคุณสมบัติทนไฟไม่เท่ากันครับ โดยเส้นใยธรรมชาติที่มีเซลลูโลสสูงจะมีความเป็นผลึกสูง จึงทนไฟมาก
อ่อ!! พาพันเพิ่งได้ความรู้ใหม่ที่น่าสนใจมาอีกอย่างนึงครับ พี่ๆ เชื่อหรือไม่ครับว่าจริงๆ แล้ว PVC หรือท่อน้ำที่เราเห็นเนี่ย จริงๆ ไม่ใช่สีฟ้าครับ อาจารย์บอกว่าจริงๆ แล้ว PVC มีสีใส เปราะและแตกง่ายครับ ทำให้มันขึ้นรูปไม่ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใส่เส้นใยธรรมชาติซึ่งก็คือ Caco
3 เข้าไปเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่นครับ PVC เลยบิดงอได้และมีสีฟ้าอย่างที่เราเห็นจนชินตานี่ละครับ ไม่บอกไม่รู้เลยนะครับเนี่ย
นอกจากนี้ อาจารย์ยังเอางานวิจัยของอาจารย์เอง มาเป็นตัวอย่างเพื่อช่วยให้เราเห็นภาพมากขึ้นด้วยครับว่าจะประยุกต์ใช้เส้นใยธรรมชาติอย่างไรได้บ้าง พาพันได้ขออนุญาตเอามาแชร์ให้เพื่อนๆ พี่ๆ ในพันทิปด้วยนะครับ
ผลงานชิ้นแรกชื่อว่า
KU BerryGuard : Antifungal Pad ครับ เป็นถุงบรรจุอาหาร ซึ่งโดยปกติถุงที่เราเห็นจะเป็นแบบถุงสีใสทั่วไป แต่อาจารย์ใส่ cotton เข้าไปทำให้ถุงขุ่น เพื่อช่วยกันแสงแดดซึ่งเป็นการชะลอเวลาที่จุลินทรีย์จะมาทำให้อาหารเราเสีย ซึ่งทำให้เราเก็บอาหารได้นานขึ้นครับ ...ว้าว นอกจากนี้เส้นใยธรรมชาติที่ใส่ยังช่วยดูดซับก๊าซเอทิลีนด้วย จึงช่วยลดการช้ำของผลไม้ ยืดอายุให้เก็บได้นานขึ้น น่าทึ่งจริงๆ ครับ
ส่วน
KU AnxiGuard : Sedative Packaging ชิ้นนี้เป็นการใช้เส้นใยธรรมชาติไปเคลือบด้านนอกและด้านในของถุงพลาสติกที่ใช้ใส่ปลากัดครับ โดยสารที่เคลือบไปจะไปกันแสงสีเขียวที่ส่องเข้ามาทำให้ปลากัดตกใจ จึงทำให้ลดอัตราการตายของปลากัดในระหว่างการขนย้าย เหลือ 0 % เยี่ยมจริงๆ ปลากัดแสนสวยจะได้ปลอดภัยครับ
ชิ้นต่อมา
KU FreshZense : Food Spoilage Indicator เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ทำให้เราทราบระยะเวลาว่าอาหารนี้ถูกแพ็คมากี่วันแล้วครับ โดยเมื่อระยะเวลาผ่านไป ถุงที่บรรจุจะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ทำให้เราทราบได้ว่าอาหารนี้ถูกแพ็คมากี่วัน ใกล้หมดอายุหรือยัง สำคัญสำหรับผู้บริโภคอย่างพวกเราจริงๆ นะเนี่ย ดีจังเลยครับ
KU OvaGuard : Moisture-Blocking Coating งานวิจัยนี้จะเป็นสารที่ผสมเส้นใยธรรมชาติไว้เคลือบไข่ครับ วิธีใช้คือ หยดสารน้ำยานี้ ลงไปในน้ำแล้วนำไข่ลงไปชุบ น้ำยานั้นจะเคลือบผิวไข่ด้านนอก เพราะไข่มีรูพรุนทำให้อากาศเข้าไปทำปฏิกิริยา ถ้ามีสารเคลือบไว้ อากาศเข้าไปไม่ได้ ก็จะเป็นการยืดอายุของไข่จากที่อยู่ได้ประมาณ 7-10 วัน ให้กลายเป็น 15-30 วันเลยครับ สารที่เคลือบจะไม่ซึมเข้าไปในเนื้อไข่ครับ เพราะว่าเราจะต้องเลือกอนุภาคของเส้นใยธรรมชาติให้ใหญ่กว่าขนาดรูพรุนของไข่
อาจารย์เสริมมาด้วยครับว่าไข่แต่ละประเทศมีขนาดรูพรุนไม่เท่ากัน อย่างเช่น รูพรุนของไข่ญี่ปุ่นจะเล็กกว่าไข่ไทยครับ ดังนั้นถ้าจะเคลือบไข่ญี่ปุ่นก็สามารถใช้เส้นใยขนาดเล็กได้ แต่ถ้าเคลือบของไทย ต้องเลือกขนาดใหญ่ขึ้นมาครับ แปลกดีนะครับผมเพิ่งเคยได้ยิน
ก่อนจบชั่วโมงเรียน เราคุยกันถึงเรื่องการย่อยสลายครับ เราเห็นหลายๆ ผลิตภัณฑ์ที่บอกว่าสินค้าของเขาสามารถย่อยสลายได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาบอกข้อมูลไม่หมดครับ บรรจุภัณฑ์หรือสินค้าเหล่านั้นสามารถย่อยสลายได้ก็จริง แต่จะย่อยได้ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะเท่านั้นครับ เงื่อนไขที่ว่าก็คือ
1. ต้องมีอุณหภูมิที่เหมาะสม
2. ต้องมีจุลินทรีย์ที่เหมาะสม เพราะใช่ว่าจุลินทรีย์ทุกตัวจะย่อยขยะชิ้นนั้น มันมีชนิดเฉพาะของมันอยู่
และ 3. ต้องมีความเป็นกรด-เบสที่เหมาะสม
ถ้าเราแค่โยนผลิตภัณฑ์นั้นๆ ทิ้งไปตามพื้นดินมันไม่ย่อยหรอกครับ ต้องมีปัจจัยที่ว่ามาทั้งหมดนี้ด้วยจึงจะสามารถย่อยสลายได้
อาจารย์รุ่งทิพย์เลยถามมาครับว่าแล้วทำไมเราไม่ทำบรรจุภัณฑ์ที่แค่ทิ้งไปก็สลายได้ แบบว่าแค่โดนแดดก็สลายได้เลย ประเด็นนี้น่าสนใจมากนะครับ ดร. ชิราวุฒิก็ตอบว่าตอนนี้มีแล้วครับ เป็นกล่องอาหารคล้ายๆ อีซีโก โดยใส่เซลลูโลสจากผ้าฝ้ายผสมลงไปใน PP ในสัดส่วน PP 10 % เซลลูโลสจากผ้าฝ้าย 90 % และเลือกช่วงแสงในการย่อยสลาย เมื่อเอาบรรจุภัณฑ์นี้ไปอุ่นในไมโครเวฟ ความร้อนจะกระตุ้นให้เกิดช่องว่างในบรรจุภัณฑ์นี้ เมื่อทิ้งบรรจุภัณฑ์นี้ไปก็จะสามารถย่อยสลายได้เลยเมื่อเจอแสงแดด สุดยอดเลยว่าไหมครับ คนไทยนี้เก่งจริงๆ ...มิน่าบรรจุภัณฑ์บางชิ้นจะระบุข้างกล่องว่า ไม่ควรใช้ซ้ำหลังจากผ่านการเข้าไมโครเวฟแล้ว.... ต่อไปพาพันคงต้องอ่านข้อความบนบรรจุภัณฑ์ก่อน ว่าจะเก็บไว้ใช้ซ้ำ หรือจะทิ้งลงถังรีไซเคิลดี
ท้ายนี้ พาพันต้องขอขอบคุณอาจารย์ชิราวุฒิ เพชรเย็น และอาจารย์สิงห์ อินทรชูโต ที่ให้พาพันมาร่วมคลาสเรียนวิชา Scrap Design วันนี้พาพันทั้งสนุกกับการเรียนและยังได้ความรู้เรื่องเส้นใยธรรมชาติมาเต็มกระบุง กระทู้นี้ก็เลยค่อนข้างยาว แต่พาพันยังติดพี่ๆ ไว้เรื่องนึงคือเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของพี่ๆ นักศึกษา พาพันจำได้อยู่นะครับ แต่พาพันขออนุญาตยกยอดไปในกระทู้หน้านะครับ ฝากพี่ๆ ติดตามเรื่องราวดีๆ ที่พาพันจะมาแบ่งปันด้วยนะครับ เจอกันกระทู้หน้าครับ วันนี้ พาพันไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ
บันทึกของพาพัน@pantip ตอน เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์กับเส้นใยธรรมชาติ วิชา Scrap Design
พาพันหายหน้าหายตาไปเพราะไปเก็บข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการนำเศษวัสดุมาแปลงให้เป็นผลิตภัณฑ์ครับ วันนี้พาพันกลับมากับซีรี่ย์ภาคต่อของการเรียนวิชา Scrap Design ครับ พี่ๆ คนไหนที่เพิ่งเข้ามาอ่านกระทู้นี้เป็นกระทู้แรกอาจจะงงว่าพาพันกำลังพูดเรื่องอะไร พี่ๆ สามารถแวะไปอ่านกระทู้แรกก่อนได้นะครับ บันทึกของพาพัน@pantip ตอน วิชาออกแบบเศษวัสดุเหลือใช้
พาพันขอไม่พูดพร่ำทำเพลง ขอขนความรู้มาเล่าสู่เพื่อนๆ พี่ๆ ฟังเลยละกันครับ วันนี้ที่คลาสเรียนวิชา Scrap Design เราเรียนเรื่อง “Natural Fiber” หรือ “เส้นใยธรรมชาติ” ครับ โดยในวันนี้ได้รับเกียรติจาก ดร. ชิราวุฒิ เพชรเย็น อาจารย์จากภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุและวัสดุ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มาเป็นอาจารย์รับเชิญครับ
ดร. ชิราวุฒิ ได้อธิบายให้พวกเราฟังว่า เส้นใยธรรมชาติได้มาจาก 3 แหล่งด้วยกัน คือ
1. จากพืช อันนี้มาจากทุกส่วนของพืชเลยนะครับ ทั้งลำต้น ใบ กิ่ง เมล็ด เลยครับ
2. จากสัตว์ เช่น ขนสัตว์ และตัวหม่อนไหม
และ 3. จากแร่ธาตุครับ
โดยเส้นใยธรรมชาติส่วนใหญ่จะได้จากพืชครับ ส่วนแหล่งที่มาของพืชที่ให้เส้นใยธรรมชาติเหล่านี้ พี่ๆ เชื่อหรือไม่ครับว่าอันดับที่ 1-5 อยู่ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด โดยพม่าเป็นประเทศที่มีเส้นใยธรรมชาติเยอะที่สุด และไทยเราก็ติดอันดับ 1 ใน 10 ที่มีเส้นใยธรรมชาติเยอะที่สุดครับ
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเส้นใยธรรมชาตินี่มีอยู่รอบๆ ตัวเราเลยครับ ตั้งแต่ภายในบ้านของเรา โครงสร้างของบ้าน อย่างเช่น กรอบหน้าต่าง ระเบียงบ้านที่ทำจาก PP หรือ Polypropylene ถังพลาสติกต่างๆ อุปกรณ์ที่มีส่วนที่เป็นพลาสติก อย่าง ไฟฉาย ลำโพง เป็นต้น ท่อน้ำพีวีซี ส่วนประกอบในรถยนต์ หรือในกล่องอาหาร และพวกบรรจุภัณฑ์ต่างๆ เป็นต้นครับ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเส้นใยธรรมชาตินี้แทบจะอยู่ในทุกอย่างในชีวิตประจำวันของคนเราครับ
หลายคนคงเริ่มสงสัยว่าทำไมเราต้องรู้จักเส้นใยธรรมชาติพวกนี้ ก็เพราะว่าเส้นใยธรรมชาติมีคุณประโยชน์มากมายเมื่อผสมลงในพลาสติกของเราครับ ข้อแรกคือ เส้นใยธรรมชาติมีคุณสมบัติในการเพิ่มความแข็งแรงของวัสดุครับ ทำให้ไม่แตก หรือเปราะง่าย และที่สำคัญคือช่วยในการขึ้นรูปวัสดุครับ ดร. ชิราวุฒิ ยกตัวอย่าง ป่านศรนารายณ์ครับว่า เมื่อนำป่านศรนารายณ์มาใส่อะคริลิก พอขึ้นรูปโดยการอัดด้วยความร้อน ปรากฏว่าแผ่นอะคริลิกที่ผสมป่านศรนารายณ์มีความแข็งแรงมากขนาดที่ว่ากระสุนปืนยิงไม่เข้าเลยครับ ว้าววว....นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเส้นใยธรรมชาติช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับวัสดุครับ
ข้อสองเส้นใยธรรมชาติจะช่วยปรับปรุงคุณสมบัติของวัสดุนั้นๆ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามชนิดของเส้นใยธรรมชาติครับ เช่น เพิ่มความทนไฟ หรือเพิ่มความทนต่อกรด-ด่าง และข้อสุดท้ายเป็นข้อที่สำคัญที่สุดซึ่งพาพันเชื่อว่าเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เราต้องสนใจเจ้าเส้นใยธรรมชาติ คุณสมบัติสำคัญที่ว่านั้นก็คือ มันสามารถย่อยสลายได้ครับ นอกจากนั้นเรายังสามารถกำหนดได้ด้วยครับว่าจะให้ผลิตภัณฑ์นั้นย่อยสลายเมื่อไหร่ครับ เท่ห์สุดสุดเลยครับ
เห็นเส้นใยธรรมชาติมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะนำมันไปผสมในวัสดุทุกอย่างได้นะครับ เพราะมีกฎหมายที่ควบคุมการผสมเส้นใยธรรมชาติลงลงในบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารอยู่ครับ โดยเส้นใยธรรมชาติที่จะใส่ลงในบรรจุภัณฑ์อาหารนั้นต้องมีขนาดใหญ่กว่านาโนครับ ถ้าเล็กขนาดนาโนแล้วห้ามใส่ในบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารโดยเด็ดขาด
ส่วนการเลือกใช้เส้นใยธรรมชาติมาผสมกับวัสดุนั้นต้องเลือกตามคุณสมบัติของเส้นใยแต่ละชนิดครับ เพราะเส้นใยธรรมชาติแต่ละชนิดจะมีความสั้น/ยาว ความแข็งแรง เซลลูโลส และพวกคุณสมบัติทนไฟไม่เท่ากันครับ โดยเส้นใยธรรมชาติที่มีเซลลูโลสสูงจะมีความเป็นผลึกสูง จึงทนไฟมาก
อ่อ!! พาพันเพิ่งได้ความรู้ใหม่ที่น่าสนใจมาอีกอย่างนึงครับ พี่ๆ เชื่อหรือไม่ครับว่าจริงๆ แล้ว PVC หรือท่อน้ำที่เราเห็นเนี่ย จริงๆ ไม่ใช่สีฟ้าครับ อาจารย์บอกว่าจริงๆ แล้ว PVC มีสีใส เปราะและแตกง่ายครับ ทำให้มันขึ้นรูปไม่ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใส่เส้นใยธรรมชาติซึ่งก็คือ Caco3 เข้าไปเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่นครับ PVC เลยบิดงอได้และมีสีฟ้าอย่างที่เราเห็นจนชินตานี่ละครับ ไม่บอกไม่รู้เลยนะครับเนี่ย
นอกจากนี้ อาจารย์ยังเอางานวิจัยของอาจารย์เอง มาเป็นตัวอย่างเพื่อช่วยให้เราเห็นภาพมากขึ้นด้วยครับว่าจะประยุกต์ใช้เส้นใยธรรมชาติอย่างไรได้บ้าง พาพันได้ขออนุญาตเอามาแชร์ให้เพื่อนๆ พี่ๆ ในพันทิปด้วยนะครับ
ผลงานชิ้นแรกชื่อว่า KU BerryGuard : Antifungal Pad ครับ เป็นถุงบรรจุอาหาร ซึ่งโดยปกติถุงที่เราเห็นจะเป็นแบบถุงสีใสทั่วไป แต่อาจารย์ใส่ cotton เข้าไปทำให้ถุงขุ่น เพื่อช่วยกันแสงแดดซึ่งเป็นการชะลอเวลาที่จุลินทรีย์จะมาทำให้อาหารเราเสีย ซึ่งทำให้เราเก็บอาหารได้นานขึ้นครับ ...ว้าว นอกจากนี้เส้นใยธรรมชาติที่ใส่ยังช่วยดูดซับก๊าซเอทิลีนด้วย จึงช่วยลดการช้ำของผลไม้ ยืดอายุให้เก็บได้นานขึ้น น่าทึ่งจริงๆ ครับ
ส่วน KU AnxiGuard : Sedative Packaging ชิ้นนี้เป็นการใช้เส้นใยธรรมชาติไปเคลือบด้านนอกและด้านในของถุงพลาสติกที่ใช้ใส่ปลากัดครับ โดยสารที่เคลือบไปจะไปกันแสงสีเขียวที่ส่องเข้ามาทำให้ปลากัดตกใจ จึงทำให้ลดอัตราการตายของปลากัดในระหว่างการขนย้าย เหลือ 0 % เยี่ยมจริงๆ ปลากัดแสนสวยจะได้ปลอดภัยครับ
ชิ้นต่อมา KU FreshZense : Food Spoilage Indicator เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ทำให้เราทราบระยะเวลาว่าอาหารนี้ถูกแพ็คมากี่วันแล้วครับ โดยเมื่อระยะเวลาผ่านไป ถุงที่บรรจุจะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ทำให้เราทราบได้ว่าอาหารนี้ถูกแพ็คมากี่วัน ใกล้หมดอายุหรือยัง สำคัญสำหรับผู้บริโภคอย่างพวกเราจริงๆ นะเนี่ย ดีจังเลยครับ
KU OvaGuard : Moisture-Blocking Coating งานวิจัยนี้จะเป็นสารที่ผสมเส้นใยธรรมชาติไว้เคลือบไข่ครับ วิธีใช้คือ หยดสารน้ำยานี้ ลงไปในน้ำแล้วนำไข่ลงไปชุบ น้ำยานั้นจะเคลือบผิวไข่ด้านนอก เพราะไข่มีรูพรุนทำให้อากาศเข้าไปทำปฏิกิริยา ถ้ามีสารเคลือบไว้ อากาศเข้าไปไม่ได้ ก็จะเป็นการยืดอายุของไข่จากที่อยู่ได้ประมาณ 7-10 วัน ให้กลายเป็น 15-30 วันเลยครับ สารที่เคลือบจะไม่ซึมเข้าไปในเนื้อไข่ครับ เพราะว่าเราจะต้องเลือกอนุภาคของเส้นใยธรรมชาติให้ใหญ่กว่าขนาดรูพรุนของไข่
อาจารย์เสริมมาด้วยครับว่าไข่แต่ละประเทศมีขนาดรูพรุนไม่เท่ากัน อย่างเช่น รูพรุนของไข่ญี่ปุ่นจะเล็กกว่าไข่ไทยครับ ดังนั้นถ้าจะเคลือบไข่ญี่ปุ่นก็สามารถใช้เส้นใยขนาดเล็กได้ แต่ถ้าเคลือบของไทย ต้องเลือกขนาดใหญ่ขึ้นมาครับ แปลกดีนะครับผมเพิ่งเคยได้ยิน
ก่อนจบชั่วโมงเรียน เราคุยกันถึงเรื่องการย่อยสลายครับ เราเห็นหลายๆ ผลิตภัณฑ์ที่บอกว่าสินค้าของเขาสามารถย่อยสลายได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาบอกข้อมูลไม่หมดครับ บรรจุภัณฑ์หรือสินค้าเหล่านั้นสามารถย่อยสลายได้ก็จริง แต่จะย่อยได้ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะเท่านั้นครับ เงื่อนไขที่ว่าก็คือ
1. ต้องมีอุณหภูมิที่เหมาะสม
2. ต้องมีจุลินทรีย์ที่เหมาะสม เพราะใช่ว่าจุลินทรีย์ทุกตัวจะย่อยขยะชิ้นนั้น มันมีชนิดเฉพาะของมันอยู่
และ 3. ต้องมีความเป็นกรด-เบสที่เหมาะสม
ถ้าเราแค่โยนผลิตภัณฑ์นั้นๆ ทิ้งไปตามพื้นดินมันไม่ย่อยหรอกครับ ต้องมีปัจจัยที่ว่ามาทั้งหมดนี้ด้วยจึงจะสามารถย่อยสลายได้
อาจารย์รุ่งทิพย์เลยถามมาครับว่าแล้วทำไมเราไม่ทำบรรจุภัณฑ์ที่แค่ทิ้งไปก็สลายได้ แบบว่าแค่โดนแดดก็สลายได้เลย ประเด็นนี้น่าสนใจมากนะครับ ดร. ชิราวุฒิก็ตอบว่าตอนนี้มีแล้วครับ เป็นกล่องอาหารคล้ายๆ อีซีโก โดยใส่เซลลูโลสจากผ้าฝ้ายผสมลงไปใน PP ในสัดส่วน PP 10 % เซลลูโลสจากผ้าฝ้าย 90 % และเลือกช่วงแสงในการย่อยสลาย เมื่อเอาบรรจุภัณฑ์นี้ไปอุ่นในไมโครเวฟ ความร้อนจะกระตุ้นให้เกิดช่องว่างในบรรจุภัณฑ์นี้ เมื่อทิ้งบรรจุภัณฑ์นี้ไปก็จะสามารถย่อยสลายได้เลยเมื่อเจอแสงแดด สุดยอดเลยว่าไหมครับ คนไทยนี้เก่งจริงๆ ...มิน่าบรรจุภัณฑ์บางชิ้นจะระบุข้างกล่องว่า ไม่ควรใช้ซ้ำหลังจากผ่านการเข้าไมโครเวฟแล้ว.... ต่อไปพาพันคงต้องอ่านข้อความบนบรรจุภัณฑ์ก่อน ว่าจะเก็บไว้ใช้ซ้ำ หรือจะทิ้งลงถังรีไซเคิลดี
ท้ายนี้ พาพันต้องขอขอบคุณอาจารย์ชิราวุฒิ เพชรเย็น และอาจารย์สิงห์ อินทรชูโต ที่ให้พาพันมาร่วมคลาสเรียนวิชา Scrap Design วันนี้พาพันทั้งสนุกกับการเรียนและยังได้ความรู้เรื่องเส้นใยธรรมชาติมาเต็มกระบุง กระทู้นี้ก็เลยค่อนข้างยาว แต่พาพันยังติดพี่ๆ ไว้เรื่องนึงคือเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของพี่ๆ นักศึกษา พาพันจำได้อยู่นะครับ แต่พาพันขออนุญาตยกยอดไปในกระทู้หน้านะครับ ฝากพี่ๆ ติดตามเรื่องราวดีๆ ที่พาพันจะมาแบ่งปันด้วยนะครับ เจอกันกระทู้หน้าครับ วันนี้ พาพันไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ