มีอีเมล์จากสมาชิกใหม่ท่านหนึ่งที่สอบถามเกี่ยวกับแนวคิดในการเล่นหุ้น ลองอ่านดูกันครับ
“ผมตัดสินใจแล้วว่าจะนำเงินเล่นหุ้นด้วยตัวเอง หลังจากที่นั่งคิดนานอยู่หลายปี แล้วผมควรจัดพอร์ตการลงทุนยังไงบ้างเหรอครับ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมใช้แนวทางการเป็นนักลงทุนแล้วผมขาดวินัยเป็นอย่างมากในการทำเงิน ผมคิดว่าปัญหาจริงๆก็คือผมจะเป็นแนวเป็นเทรดเดอร์เล่นหุ้นไปเลยดีหรือเปล่าครับ ผมจะเลือกแนวทางไหนดีครับอาจารย์?”
ในช่วงนี้ตลาดหุ้นก็ตกต่ำมากเหมือนกัน มันเป็นเรื่องธรรมชาติของเทรดเดอร์ที่พวกเขาต่างก็มีวินัยในการเข้าไปเล่นเป็นอย่างดี บางครั้งตลาดหุ้นดูเหมือนว่าจะให้ผลตอบแทนให้กับเราดี แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แสดงให้เห็นว่าหลายคนที่คิดแบบนี้ยังไม่เข้าใจถึงความเสี่ยงในการโยนหัวก้อยมากพอ
ความคิดที่ว่า “การละเลยเป็นความสุขสุดยอดที่สุด” นั้นอาจจะเป็นตัวที่ทำให้เราขับเคลื่อนเดินหน้าไปได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเราได้เดินหน้าและเจอกับการขาดทุน มันก็จะทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าเต่าตุ่นทุกๆจังหวะโอกาสที่เข้ามาถึง
แนวทางทั้ง 2 ถือว่าดีที่สุดในโลกแล้ว
ผมเองก็ไม่ต่างกับผู้คนทั่วไปหรอกที่ถูกอบรมสั่งสอนมาในตลาดหุ้น เพราะว่าที่ปรึกษาทางการเงินหลายคนต้องการให้ผมประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นมากกว่าการทำกำไร จึงเป็นเหตุที่ทำให้ผมเริ่มสนใจการทำกำไรมากกว่า
นี่ถือเป็นแนวคิดส่วนตัวของผมในการทำกำไรในระยะสั้นและก็มองหาทิศทางแนวโน้มระยะยาวในแต่ละจังหวะโอกาสที่มาถึง
ผมชอบแบ่งเวลาในการดูหุ้น ที่ทำให้ผมไม่เล่นหุ้นแบบโจรกระจอกที่ชอบเดิมพันหมดหน้าตัก แต่ผมจะดูแลเงินทั้งหมดที่ผมมีอยู่ ซึ่งผมไม่ได้มีใครมาบริหารจัดการเงินแทนผม แรงจูงใจในการเล่นหุ้นของผมก็คือการเล่นแบบระยะสั้น ผมไม่ได้อยากใช้เงินจำนวนมากซื้อหุ้นนักหรอก และทำให้เงินของผมสามารถอยู่รอดมาได้สบายๆ
ผมเองก็มีแนวคิดการเล่นหุ้นแบบระยะกลางๆอยู่บ้างเหมือนกัน ทำให้ผมมีความยืดหยุ่นในการเข้าไปเล่นโดยไม่ได้เน้นระยะสั้นหรือยาวทางใดทางหนึ่ง ผมก็จะวางเงินเล่นหุ้นจำนวนน้อยๆ ตั้งจุดตัดขาดทุนและก็หาทางออกให้เร็วที่สุด
สุดท้ายนี้ ผมเองก็มีบัญชีระยะยาว (บัญชีแบบเกษียณอายุ) เมื่อผมเล่นแบบระยะยาว ผมก็ต้องพยายามมองภาพให้ใหญ่มากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องดูหุ้นทุกๆตัว อย่างเช่นผมได้ซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่เด้งกลับขึ้นมา และผมก็จะค่อยๆทยอยขายตอนที่มันปรับตัวลดลงและก็ซื้อสวนตลาด
สำหรับผมนั้นการกระจายเงินทุนในแต่ละช่วงเวลามันก็ช่วยผมได้ดีเหมือนกัน ผมจึงต้องมีบัญชีหลากหลายประเภท หมายความว่าผมไม่ได้มีบัญชีที่เล่น Day Trade อย่างเดียว ผมก็มีบัญชีที่เล่นแบบ 6-18 หรือ 9 เดือน หรือ 30 นาที พวกนี้ ทำให้ผมรักษาเงินทุนของผมได้ ช่วยให้ผมหลีกเลี่ยงความรู้สึกแย่ๆจากการขาดทุนได้เป็นอย่างดี
เราก็คิดว่าการเล่นแบบ Day Trade ก็เป็นนาฬิกาจับเวลา การเล่นแบบ Swing Trade ก็เป็นนาฬิกาแขวน และก็เล่นหุ้นแบบระยะยาว (แบบซื้อถัวเฉลี่ยไปด้วย) ก็เป็นปฏิทิน ซึ่งมันก็มีระยะเวลาที่แตกต่างกันออกไป และก็เจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน
หากเราคิดว่าไม่สามารถลงทุนได้หลังจากตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว แน่นอนว่าเราเจอกับความสับสนเล่นงานเข้าให้แล้ว ซึ่งเราจะต้องจับตาดูทิศทางแนวโน้มในแต่ละช่วงเวลาและก็พยายามหาจังหวะโอกาสให้ได้ แล้วเราก็จะทำเงินได้เอง
แต่ว่าพวกเราคิดยังไงบ้างล่ะครับ ?
เทรดหุ้นอย่างโจร !!!
ผู้เขียน Jeff White
ผู้แปล Mr.lawrence10
ที่มา : TheStockBandit.net
การเล่นหุ้น VS การลงทุน
“ผมตัดสินใจแล้วว่าจะนำเงินเล่นหุ้นด้วยตัวเอง หลังจากที่นั่งคิดนานอยู่หลายปี แล้วผมควรจัดพอร์ตการลงทุนยังไงบ้างเหรอครับ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมใช้แนวทางการเป็นนักลงทุนแล้วผมขาดวินัยเป็นอย่างมากในการทำเงิน ผมคิดว่าปัญหาจริงๆก็คือผมจะเป็นแนวเป็นเทรดเดอร์เล่นหุ้นไปเลยดีหรือเปล่าครับ ผมจะเลือกแนวทางไหนดีครับอาจารย์?”
ในช่วงนี้ตลาดหุ้นก็ตกต่ำมากเหมือนกัน มันเป็นเรื่องธรรมชาติของเทรดเดอร์ที่พวกเขาต่างก็มีวินัยในการเข้าไปเล่นเป็นอย่างดี บางครั้งตลาดหุ้นดูเหมือนว่าจะให้ผลตอบแทนให้กับเราดี แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด แสดงให้เห็นว่าหลายคนที่คิดแบบนี้ยังไม่เข้าใจถึงความเสี่ยงในการโยนหัวก้อยมากพอ
ความคิดที่ว่า “การละเลยเป็นความสุขสุดยอดที่สุด” นั้นอาจจะเป็นตัวที่ทำให้เราขับเคลื่อนเดินหน้าไปได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเราได้เดินหน้าและเจอกับการขาดทุน มันก็จะทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าเต่าตุ่นทุกๆจังหวะโอกาสที่เข้ามาถึง
แนวทางทั้ง 2 ถือว่าดีที่สุดในโลกแล้ว
ผมเองก็ไม่ต่างกับผู้คนทั่วไปหรอกที่ถูกอบรมสั่งสอนมาในตลาดหุ้น เพราะว่าที่ปรึกษาทางการเงินหลายคนต้องการให้ผมประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นมากกว่าการทำกำไร จึงเป็นเหตุที่ทำให้ผมเริ่มสนใจการทำกำไรมากกว่า
นี่ถือเป็นแนวคิดส่วนตัวของผมในการทำกำไรในระยะสั้นและก็มองหาทิศทางแนวโน้มระยะยาวในแต่ละจังหวะโอกาสที่มาถึง
ผมชอบแบ่งเวลาในการดูหุ้น ที่ทำให้ผมไม่เล่นหุ้นแบบโจรกระจอกที่ชอบเดิมพันหมดหน้าตัก แต่ผมจะดูแลเงินทั้งหมดที่ผมมีอยู่ ซึ่งผมไม่ได้มีใครมาบริหารจัดการเงินแทนผม แรงจูงใจในการเล่นหุ้นของผมก็คือการเล่นแบบระยะสั้น ผมไม่ได้อยากใช้เงินจำนวนมากซื้อหุ้นนักหรอก และทำให้เงินของผมสามารถอยู่รอดมาได้สบายๆ
ผมเองก็มีแนวคิดการเล่นหุ้นแบบระยะกลางๆอยู่บ้างเหมือนกัน ทำให้ผมมีความยืดหยุ่นในการเข้าไปเล่นโดยไม่ได้เน้นระยะสั้นหรือยาวทางใดทางหนึ่ง ผมก็จะวางเงินเล่นหุ้นจำนวนน้อยๆ ตั้งจุดตัดขาดทุนและก็หาทางออกให้เร็วที่สุด
สุดท้ายนี้ ผมเองก็มีบัญชีระยะยาว (บัญชีแบบเกษียณอายุ) เมื่อผมเล่นแบบระยะยาว ผมก็ต้องพยายามมองภาพให้ใหญ่มากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องดูหุ้นทุกๆตัว อย่างเช่นผมได้ซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่เด้งกลับขึ้นมา และผมก็จะค่อยๆทยอยขายตอนที่มันปรับตัวลดลงและก็ซื้อสวนตลาด
สำหรับผมนั้นการกระจายเงินทุนในแต่ละช่วงเวลามันก็ช่วยผมได้ดีเหมือนกัน ผมจึงต้องมีบัญชีหลากหลายประเภท หมายความว่าผมไม่ได้มีบัญชีที่เล่น Day Trade อย่างเดียว ผมก็มีบัญชีที่เล่นแบบ 6-18 หรือ 9 เดือน หรือ 30 นาที พวกนี้ ทำให้ผมรักษาเงินทุนของผมได้ ช่วยให้ผมหลีกเลี่ยงความรู้สึกแย่ๆจากการขาดทุนได้เป็นอย่างดี
เราก็คิดว่าการเล่นแบบ Day Trade ก็เป็นนาฬิกาจับเวลา การเล่นแบบ Swing Trade ก็เป็นนาฬิกาแขวน และก็เล่นหุ้นแบบระยะยาว (แบบซื้อถัวเฉลี่ยไปด้วย) ก็เป็นปฏิทิน ซึ่งมันก็มีระยะเวลาที่แตกต่างกันออกไป และก็เจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน
หากเราคิดว่าไม่สามารถลงทุนได้หลังจากตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว แน่นอนว่าเราเจอกับความสับสนเล่นงานเข้าให้แล้ว ซึ่งเราจะต้องจับตาดูทิศทางแนวโน้มในแต่ละช่วงเวลาและก็พยายามหาจังหวะโอกาสให้ได้ แล้วเราก็จะทำเงินได้เอง
แต่ว่าพวกเราคิดยังไงบ้างล่ะครับ ?
เทรดหุ้นอย่างโจร !!!
ผู้เขียน Jeff White
ผู้แปล Mr.lawrence10
ที่มา : TheStockBandit.net