Moto X อดีตลูกคนรองของ Google ที่ตอนนี้โดนพ่อบุญธรรมอย่าง Lenovo รับไปเลี้ยงดูต่อแทนแล้ว สาเหตุที่มานั่งทำรีวิวตัวนี้ก็เพราะว่ายังไม่มีรีวิวในบ้านเราซักเท่าไร ที่มีก็มีแต่พรีวิว ก็เลยจัดรีวิวไว้ให้คนที่สนใจได้อ่านก่อนจะตัดสินใจซื้อได้มาดูข้อมูลคร่าวๆกันก่อน
Moto X เป็นมือถือตัวแรกที่ออกมาหลังจากที่ Motorola ถูก Google ซื้อ โดยมีจุดเด่นคือเป็น Android Phone ที่สามารถออกแบบตัวเครื่องได้เอง โดยทำผ่าน Moto Maker ที่อยู่บนเว็ป ซึ่งการสั่งซื้อทั้งหมดจะทำบนเว็ป Motorola นั่นเอง
สามารถเลือกสีทั้งข้างหน้าและข้างหลังหรือสีของปุ่ม กำหนดชื่อที่จะสลักหลังตัวเครื่องได้ และข้อความที่จะแสดงเมื่อเปิดเครื่อง รวมไปถึงพื้นหลังและ Google Account ที่ใช้ในเครื่องนี้ โดยที่ตัวเครื่องจะถูกผลิตขึ้นในอเมริกา
ตอนแรกจะสั่งเครื่องมาจากอเมริกา ให้น้องของแฟนที่อยู่ที่อเมริกาหิ้วกลับมาให้ ว่าแล้วก็เลยเข้าเว็ป Motorola แล้วทำการสั่งเครื่องซะเลย แต่ทว่าเมื่อสั่งเสร็จแล้ว เงินถูกตัดไปเรียบร้อยแล้ว พบว่ามีปัญหาเพราะดันไปใส่ข้อมูลการสั่งซื้อผิด ทำให้การสั่งซื้อชวดไปซะงั้น (รอตังคืนเป็นเดือนแน่ะ)
ที่ต้องสั่งจากอเมริกาก็เพราะว่า Moto X มีไม่กี่ร้านที่หิ้วมา และราคาสูงพอตัว (ซึ่งไปซื้อเครื่องอื่นจะคุ้มกว่า) ในขณะที่สั่งจากอเมริกาจะถูกกว่า แต่พอมีปัญหาเรื่องการสั่งซื้อก็ถูกยกเลิกไปอย่างน่าเศร้า และในระหว่างนั้นก็เห็นร้านค้าออนไลน์แห่งหนึ่ง (น่าจะรู้จักกันดี เพราะ Moto X มีไม่กี่ร้านหิ้วมาขาย) ประกาศลดราคาเครื่อง Moto X ที่หิ้วมาขาย ก็เลยหน้ามืดตามัวกดสั่งซื้อจากร้านนี้เสียเลย (สั่งซื้อตอนเช้า ไปรับของตอนหัวค่ำ...) แต่ก็ต้องเลือกเครื่องเท่าที่มี (สีที่อยากได้มีคนซื้อตัดหน้าไปแล้ว) ก็เลยเลือกเครื่องสีขาวล้วนมาแทน
แกะกล่อง
กล่องจะทำจากวัสดุรีไซเคิล ตัวกล่องเป็นสีขาวมีโลโก้อยู่ข้างหน้า เท่าที่เห็นมากล่องจะมีสองลายขึ้นอยู่กับสีเครื่อง ผมเลือกสีขาวล้วนกล่องก็เลยเป็นขาวล้วน
ด้านข้างกล่องมีสติ๊กเกอร์ตัวสินค้าติดอยู่ จะเห็นว่ามีการแจ้งไว้ว่าตัวเครื่องผลิตจากอเมริกา แต่ว่าอุปกรณ์ต่างๆที่มากับเครื่องจะผลิตขึ้นในจีน
เมื่อเปิดกล่องก็จะพบกับตัวเครื่องที่นอนรออยู่ โดยมีตัวเครื่อง, คู่มือ, สาย Micro USB, Adapter 5V 1.15A แบบสองช่อง และเข็มดันซิมในแบบฉบับของ Moto X
คุณสมบัติของตัวเครื่อง
ด้านหน้าตัวเครื่องข้างบน (เรียงจากซ้ายไปขวา) จะมี Light Sensor และ Proximity Sensor อยู่ในช่องเดียวกัน โดย Proximity Sensor จะทำงานในระยะ 3 เซนติเมตร ตรงกลางแถบยาวๆคือ LED สีเขียวเอาไว้แสดงสถานะตอนชาร์จ (ไว้จะพูดถึงทีหลัง) และกล้องหน้า 2.1 ล้านพิกเซล [1920x1080]
ด้านหน้าข้างล่างของเครื่องจะมีช่องไมค์อยู่
ด้านล่างตัวเครื่องจะเป็นช่องเสียบสาย Micro USB
ด้านบนจะเป็นช่องเสียบหูฟังและมีรูที่ผมไม่แน่ใจว่าเป็นรูอะไร
มาต่อกันที่ต้านหลังตัวเครื่องกันบ้าง เริ่มจากกล้อง 10.5 ล้านพิกเซล [4320 x 2432] ที่ใช้เทคโนโลยี Clear Pixel ที่เป็นเทคโนโลยีที่จะทำให้เซ็นเซอร์รับแสงสว่างได้ดียิ่งขึ้น โดยคุณสมบัติของกล้องจะพูดถึงในทีหลัง ส่วนลำโพงดังใช้ได้ แต่รู้สึกว่าเบากว่า Nexus 4 นิดนึง
ด้านหลังตรงกลางเป็นโลโก้ Motorola วงกลมบุ๋มลึกลงไปเล็กน้อย
หน้าจอความละเอียด 1280x720 พิกเซล หรือความละเอียด HD กว้าง 4.7 นิ้ว โดยไม่แยแสว่าต้องเป็น Full HD หรือ 1920x1080 พิกเซลตาม Flagship ตัวอื่นๆแต่อย่างใด เพราะในความเป็นจริงเวลาใช้งานก็ไม่สามารถแยกแยะได้อยู่แล้ว เว้นแต่ว่านั่งเพ่งใกล้ๆถึงจะเห็น ก็หวังว่าไม่มีใครมานั่งเพ่งหน้าจอใกล้ๆหรอกเนอะ และยังใช้กระจกเป็น Gorilla Glass 3 อีกด้วย
หน้าจอเป็นแบบ AMOLED จึงทำให้สีที่ได้มีความสดใส (จะมีอาการจอ Burn ง่ายแบบ Galaxy Nexus หรือป่าวก็ไม่รู้) จากการทดสอบใช้งานพบว่าแม้จะหรี่หน้าจอลงจนสุดก็ยังคงสว่าง เวลาเล่นในที่มืดก็จะทำให้รู้สึกสว่างเกินไปอยู่ และในการสู้แสงแบบแดดจ้าตอนเที่ยงๆก็พอเห็นภาพหน้าจอและใช้งานปกติได้ แต่ไม่ได้ถึงกับสู้แสงจนเห็นหน้าจอชัดเป๊ะ (เน้นว่าแดดจ้าสุดๆ)
ส่วนมุมในการมองก็ไม่ต้องกังวลเพราะเห็นได้ชัดปกติแม้จะเอียงสุดๆก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใครจะมองหน้าจอเอียงขนาดนั้นล่ะ? มุมกว้างเกินไปก็มีไว้ให้คนแอบมองจอเวลาเราใช้งานเท่านั้นแหละ...
ระยะขอบจอเพียงแค่ 3 มิลลิเมตรเท่านั้น ทำให้เครื่องขนาดเล็กกว่า Galaxy Nexus ได้ ถึงแม้จะมีขนาดหน้าจอที่เท่ากันก็ตาม
ด้านข้างฝั่งซ้ายจะมีแค่ช่องเสียบ Nano Sim เท่านั้น
ดังนั้นด้านข้างฝั่งขวามือจะเป็นปุ่ม Volume และปุ่ม Power ทั้งหมด ข้อเสียของการวางปุ่มแบบนี้คือ กดเซฟภาพหน้าจอลำบาก เพราะต้องกดปุ่ม Power และ Volume Down ค้างพร้อมๆกัน ถ้าเป็นแบบปุ่ม Volume กับ Power อยู่คนละฝั่งจะกดได้ง่ายกว่า
ภาพหน้าจอตอนเปิดเครื่องสวยดี เป็นอย่างหนึ่งที่ผมชอบบน Moto X เลยล่ะ
สำหรับหน้าจอคำว่า Motorola a Google company ถ้าทำการ Unlock Bootloader เครื่องแล้วจะเปลี่ยนเป้นข้อความเตือนแบบภาพข้างล่างนี้แทน
คุณสมบัติทางฮาร์ดแวร์ภายใน
• CPU จะใช้เป็น MSM8960DT ซึ่งเป็น Snapdragon S4 Pro [Krait 300] ความเร็ว 1.7 GHz เป็นแบบ Dual-core ซึ่งดูเหมือนจะเป็นแค่ Dual-core แต่ความแรงนั้นไม่ใช่เล่นๆ (เดี๋ยวพูดถึงทีหลัง)
• GPU เป็น Adreno 320 ความเร็ว 400 MHz เป็นแบบ Quad-core เพื่อเรนเดอร์กราฟฟิคเต็มที่
• มี CPU อีก 2 Core ที่เป็นแบบกินพลังงานต่ำ โดยทำหน้าที่จัดการกับระบบสั่งงานด้วยเสียงและการทำงานของเซ็นเซอร์อย่างละตัว
• จากการที่มี CPU 2 Core, GPU 4 Core และ CPU พลังงานต่ำอีก 2 Core จึงเป็นที่มาของเทคโนโลยี Motorola X8 Mobile Computing System นั่นเอง
• กล้องหน้า 2.1 ล้านพิกเซล [1920x1080] ส่วนกล้องหลัง 10.5 ล้านพิกเซล [4320 x 2432] ใช้เทคโนโลยี Clear Pixel มี HDR และถ่ายวีดีโอ Full HD ได้ทั้งกล้องหน้าและหลัง โดยที่กล้องหลังจะสามารถถ่ายแบบ Slow Motion ได้ด้วย กล้องหลังใช้เซ็นเซอร์ประมวลผลภาพ OmniVision เบอร์ OV10820
• Ram 2 GB เหลือให้ใช้งานจริง 1.8 GB
• Rom หรือ Storage มีให้เลือกระหว่าง 16 หรือ 32 GB ผมเลือก 16 GB เพราะว่ามี Nexus 10 ที่เป็น 32 GB แล้ว บนมือถือจึงไม่ค่อยได้ลงอะไรหนักๆมากนัก สำหรับ 16GB มีพื้นที่เหลือให้ใช้งานจริง 11.88 GB ไม่รองรับ SD Card
• หน้าจอ AMOLED 16 ล้านสี ความละเอียด 1280x720 พิกเซล กว้าง 4.7 นิ้ว กระจกเป็น Gorilla Glass 3 รองรับ Multitouch 10 จุด
• ขนาดตัวเครื่อง 65.3 x 129.3 มิลลิเมตร ส่วนด้านหลังเครื่องจะมีลักษณะโค้ง โดยที่ส่วนที่หนาที่สุดจะหนา 10.4 มิลลิเมตร และส่วนที่บางที่สุดจะหนา 5.6 มิลลิเมตร มีขนาดเล็กกว่า Nexus 4 และ Galaxy Nexus แต่หนากว่า ซึ่งความหนาไม่ใช่ปัญหา ขอแค่จับกระชับมือก็เป็นพอ
• น้ำหนักตัวเครื่องเพียง 130 กรัมเท่านั้น ตอนถือรู้สึกเบาดี อย่างน้อยเวลาตกก็กระแทกเบากว่าเครื่องที่หนักกว่า
• ลำโพงขับเสียงด้วยชิป NXP TFA9890
• แบตเตอรีขนาด 2,200 mAh กับความสามารถ Mixed Usage บนตัวเครื่องที่จะทำให้สามารถใช้งานเครื่องได้นานเต็มวันสำหรับการใช้งานแบบปกติ
• มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการณ์ Android 4.2.2 และอัพเป็น 4.4.2 ได้เลย
• สำหรับเครือข่ายจะอิงจากรุ่น T-Mobile ซึ่งเป็นรหัส XT1053
2G : 820 / 900 / 1800 / 1900 MHz
3G : 850 / 900 / 1700 / 1900 / 2100 MHz
4G / 700 / 1700 / 1900 / 2100 MHz
• GPS + GLONASS
• Bluetooth 4.0 + A2DP + EDR + LE
• WiFi 802.11 a/b/g/n/ac, Dual band, DLNA และ WiFi Hotspot
• มี NFC
• รองรับ USB OTG หรือ USB Host
• เซ็นเซอร์ที่รองรับ Accelerometer, Gyroscope, Pressure, Magnetic Field, Temperature, Light Sensor, Proximity
[CR] [รีวิว] Moto X ไลฟ์สไตล์ในแบบของคุณ
Moto X เป็นมือถือตัวแรกที่ออกมาหลังจากที่ Motorola ถูก Google ซื้อ โดยมีจุดเด่นคือเป็น Android Phone ที่สามารถออกแบบตัวเครื่องได้เอง โดยทำผ่าน Moto Maker ที่อยู่บนเว็ป ซึ่งการสั่งซื้อทั้งหมดจะทำบนเว็ป Motorola นั่นเอง
สามารถเลือกสีทั้งข้างหน้าและข้างหลังหรือสีของปุ่ม กำหนดชื่อที่จะสลักหลังตัวเครื่องได้ และข้อความที่จะแสดงเมื่อเปิดเครื่อง รวมไปถึงพื้นหลังและ Google Account ที่ใช้ในเครื่องนี้ โดยที่ตัวเครื่องจะถูกผลิตขึ้นในอเมริกา
ตอนแรกจะสั่งเครื่องมาจากอเมริกา ให้น้องของแฟนที่อยู่ที่อเมริกาหิ้วกลับมาให้ ว่าแล้วก็เลยเข้าเว็ป Motorola แล้วทำการสั่งเครื่องซะเลย แต่ทว่าเมื่อสั่งเสร็จแล้ว เงินถูกตัดไปเรียบร้อยแล้ว พบว่ามีปัญหาเพราะดันไปใส่ข้อมูลการสั่งซื้อผิด ทำให้การสั่งซื้อชวดไปซะงั้น (รอตังคืนเป็นเดือนแน่ะ)
ที่ต้องสั่งจากอเมริกาก็เพราะว่า Moto X มีไม่กี่ร้านที่หิ้วมา และราคาสูงพอตัว (ซึ่งไปซื้อเครื่องอื่นจะคุ้มกว่า) ในขณะที่สั่งจากอเมริกาจะถูกกว่า แต่พอมีปัญหาเรื่องการสั่งซื้อก็ถูกยกเลิกไปอย่างน่าเศร้า และในระหว่างนั้นก็เห็นร้านค้าออนไลน์แห่งหนึ่ง (น่าจะรู้จักกันดี เพราะ Moto X มีไม่กี่ร้านหิ้วมาขาย) ประกาศลดราคาเครื่อง Moto X ที่หิ้วมาขาย ก็เลยหน้ามืดตามัวกดสั่งซื้อจากร้านนี้เสียเลย (สั่งซื้อตอนเช้า ไปรับของตอนหัวค่ำ...) แต่ก็ต้องเลือกเครื่องเท่าที่มี (สีที่อยากได้มีคนซื้อตัดหน้าไปแล้ว) ก็เลยเลือกเครื่องสีขาวล้วนมาแทน
แกะกล่อง
กล่องจะทำจากวัสดุรีไซเคิล ตัวกล่องเป็นสีขาวมีโลโก้อยู่ข้างหน้า เท่าที่เห็นมากล่องจะมีสองลายขึ้นอยู่กับสีเครื่อง ผมเลือกสีขาวล้วนกล่องก็เลยเป็นขาวล้วน
ด้านข้างกล่องมีสติ๊กเกอร์ตัวสินค้าติดอยู่ จะเห็นว่ามีการแจ้งไว้ว่าตัวเครื่องผลิตจากอเมริกา แต่ว่าอุปกรณ์ต่างๆที่มากับเครื่องจะผลิตขึ้นในจีน
เมื่อเปิดกล่องก็จะพบกับตัวเครื่องที่นอนรออยู่ โดยมีตัวเครื่อง, คู่มือ, สาย Micro USB, Adapter 5V 1.15A แบบสองช่อง และเข็มดันซิมในแบบฉบับของ Moto X
คุณสมบัติของตัวเครื่อง
ด้านหน้าตัวเครื่องข้างบน (เรียงจากซ้ายไปขวา) จะมี Light Sensor และ Proximity Sensor อยู่ในช่องเดียวกัน โดย Proximity Sensor จะทำงานในระยะ 3 เซนติเมตร ตรงกลางแถบยาวๆคือ LED สีเขียวเอาไว้แสดงสถานะตอนชาร์จ (ไว้จะพูดถึงทีหลัง) และกล้องหน้า 2.1 ล้านพิกเซล [1920x1080]
ด้านหน้าข้างล่างของเครื่องจะมีช่องไมค์อยู่
ด้านล่างตัวเครื่องจะเป็นช่องเสียบสาย Micro USB
ด้านบนจะเป็นช่องเสียบหูฟังและมีรูที่ผมไม่แน่ใจว่าเป็นรูอะไร
มาต่อกันที่ต้านหลังตัวเครื่องกันบ้าง เริ่มจากกล้อง 10.5 ล้านพิกเซล [4320 x 2432] ที่ใช้เทคโนโลยี Clear Pixel ที่เป็นเทคโนโลยีที่จะทำให้เซ็นเซอร์รับแสงสว่างได้ดียิ่งขึ้น โดยคุณสมบัติของกล้องจะพูดถึงในทีหลัง ส่วนลำโพงดังใช้ได้ แต่รู้สึกว่าเบากว่า Nexus 4 นิดนึง
ด้านหลังตรงกลางเป็นโลโก้ Motorola วงกลมบุ๋มลึกลงไปเล็กน้อย
หน้าจอความละเอียด 1280x720 พิกเซล หรือความละเอียด HD กว้าง 4.7 นิ้ว โดยไม่แยแสว่าต้องเป็น Full HD หรือ 1920x1080 พิกเซลตาม Flagship ตัวอื่นๆแต่อย่างใด เพราะในความเป็นจริงเวลาใช้งานก็ไม่สามารถแยกแยะได้อยู่แล้ว เว้นแต่ว่านั่งเพ่งใกล้ๆถึงจะเห็น ก็หวังว่าไม่มีใครมานั่งเพ่งหน้าจอใกล้ๆหรอกเนอะ และยังใช้กระจกเป็น Gorilla Glass 3 อีกด้วย
หน้าจอเป็นแบบ AMOLED จึงทำให้สีที่ได้มีความสดใส (จะมีอาการจอ Burn ง่ายแบบ Galaxy Nexus หรือป่าวก็ไม่รู้) จากการทดสอบใช้งานพบว่าแม้จะหรี่หน้าจอลงจนสุดก็ยังคงสว่าง เวลาเล่นในที่มืดก็จะทำให้รู้สึกสว่างเกินไปอยู่ และในการสู้แสงแบบแดดจ้าตอนเที่ยงๆก็พอเห็นภาพหน้าจอและใช้งานปกติได้ แต่ไม่ได้ถึงกับสู้แสงจนเห็นหน้าจอชัดเป๊ะ (เน้นว่าแดดจ้าสุดๆ)
ส่วนมุมในการมองก็ไม่ต้องกังวลเพราะเห็นได้ชัดปกติแม้จะเอียงสุดๆก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใครจะมองหน้าจอเอียงขนาดนั้นล่ะ? มุมกว้างเกินไปก็มีไว้ให้คนแอบมองจอเวลาเราใช้งานเท่านั้นแหละ...
ระยะขอบจอเพียงแค่ 3 มิลลิเมตรเท่านั้น ทำให้เครื่องขนาดเล็กกว่า Galaxy Nexus ได้ ถึงแม้จะมีขนาดหน้าจอที่เท่ากันก็ตาม
ด้านข้างฝั่งซ้ายจะมีแค่ช่องเสียบ Nano Sim เท่านั้น
ดังนั้นด้านข้างฝั่งขวามือจะเป็นปุ่ม Volume และปุ่ม Power ทั้งหมด ข้อเสียของการวางปุ่มแบบนี้คือ กดเซฟภาพหน้าจอลำบาก เพราะต้องกดปุ่ม Power และ Volume Down ค้างพร้อมๆกัน ถ้าเป็นแบบปุ่ม Volume กับ Power อยู่คนละฝั่งจะกดได้ง่ายกว่า
ภาพหน้าจอตอนเปิดเครื่องสวยดี เป็นอย่างหนึ่งที่ผมชอบบน Moto X เลยล่ะ
สำหรับหน้าจอคำว่า Motorola a Google company ถ้าทำการ Unlock Bootloader เครื่องแล้วจะเปลี่ยนเป้นข้อความเตือนแบบภาพข้างล่างนี้แทน
คุณสมบัติทางฮาร์ดแวร์ภายใน
• CPU จะใช้เป็น MSM8960DT ซึ่งเป็น Snapdragon S4 Pro [Krait 300] ความเร็ว 1.7 GHz เป็นแบบ Dual-core ซึ่งดูเหมือนจะเป็นแค่ Dual-core แต่ความแรงนั้นไม่ใช่เล่นๆ (เดี๋ยวพูดถึงทีหลัง)
• GPU เป็น Adreno 320 ความเร็ว 400 MHz เป็นแบบ Quad-core เพื่อเรนเดอร์กราฟฟิคเต็มที่
• มี CPU อีก 2 Core ที่เป็นแบบกินพลังงานต่ำ โดยทำหน้าที่จัดการกับระบบสั่งงานด้วยเสียงและการทำงานของเซ็นเซอร์อย่างละตัว
• จากการที่มี CPU 2 Core, GPU 4 Core และ CPU พลังงานต่ำอีก 2 Core จึงเป็นที่มาของเทคโนโลยี Motorola X8 Mobile Computing System นั่นเอง
• กล้องหน้า 2.1 ล้านพิกเซล [1920x1080] ส่วนกล้องหลัง 10.5 ล้านพิกเซล [4320 x 2432] ใช้เทคโนโลยี Clear Pixel มี HDR และถ่ายวีดีโอ Full HD ได้ทั้งกล้องหน้าและหลัง โดยที่กล้องหลังจะสามารถถ่ายแบบ Slow Motion ได้ด้วย กล้องหลังใช้เซ็นเซอร์ประมวลผลภาพ OmniVision เบอร์ OV10820
• Ram 2 GB เหลือให้ใช้งานจริง 1.8 GB
• Rom หรือ Storage มีให้เลือกระหว่าง 16 หรือ 32 GB ผมเลือก 16 GB เพราะว่ามี Nexus 10 ที่เป็น 32 GB แล้ว บนมือถือจึงไม่ค่อยได้ลงอะไรหนักๆมากนัก สำหรับ 16GB มีพื้นที่เหลือให้ใช้งานจริง 11.88 GB ไม่รองรับ SD Card
• หน้าจอ AMOLED 16 ล้านสี ความละเอียด 1280x720 พิกเซล กว้าง 4.7 นิ้ว กระจกเป็น Gorilla Glass 3 รองรับ Multitouch 10 จุด
• ขนาดตัวเครื่อง 65.3 x 129.3 มิลลิเมตร ส่วนด้านหลังเครื่องจะมีลักษณะโค้ง โดยที่ส่วนที่หนาที่สุดจะหนา 10.4 มิลลิเมตร และส่วนที่บางที่สุดจะหนา 5.6 มิลลิเมตร มีขนาดเล็กกว่า Nexus 4 และ Galaxy Nexus แต่หนากว่า ซึ่งความหนาไม่ใช่ปัญหา ขอแค่จับกระชับมือก็เป็นพอ
• น้ำหนักตัวเครื่องเพียง 130 กรัมเท่านั้น ตอนถือรู้สึกเบาดี อย่างน้อยเวลาตกก็กระแทกเบากว่าเครื่องที่หนักกว่า
• ลำโพงขับเสียงด้วยชิป NXP TFA9890
• แบตเตอรีขนาด 2,200 mAh กับความสามารถ Mixed Usage บนตัวเครื่องที่จะทำให้สามารถใช้งานเครื่องได้นานเต็มวันสำหรับการใช้งานแบบปกติ
• มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการณ์ Android 4.2.2 และอัพเป็น 4.4.2 ได้เลย
• สำหรับเครือข่ายจะอิงจากรุ่น T-Mobile ซึ่งเป็นรหัส XT1053
2G : 820 / 900 / 1800 / 1900 MHz
3G : 850 / 900 / 1700 / 1900 / 2100 MHz
4G / 700 / 1700 / 1900 / 2100 MHz
• GPS + GLONASS
• Bluetooth 4.0 + A2DP + EDR + LE
• WiFi 802.11 a/b/g/n/ac, Dual band, DLNA และ WiFi Hotspot
• มี NFC
• รองรับ USB OTG หรือ USB Host
• เซ็นเซอร์ที่รองรับ Accelerometer, Gyroscope, Pressure, Magnetic Field, Temperature, Light Sensor, Proximity