ก่อนอื่นผมขอเชิญชวนสมาชิกห้องศาสนาร่วมสวดวิงวอนให้พบร่องรอยของการสูญหายของเครื่องบินของ สายการบินมาเลเซีย Boing 777 MH 370 พร้อมด้วยผู้โดยสารและพนักงานการบิน239คน, เพื่อญาติพี่น้องของผู้โดยสารในเครื่องบินลำนั้น จะได้พบทางสงบใจไม่ว่าอะไรจะได้เกิดขึ้นแล้วแก่ผู้ที่อยู่ภายในเครื่องบินลำนั้นก็ตาม
"ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดเมตตาแก่พนักงาน, ผู้โดยสารในเครื่องบิน. Boing 777 MH 370 จำนวน 239 คน ที่ยังหาร่องรอยไม่พบ, รวมทั้งครอบครัวของเขาเหล่านั้น ให้พบความสงบแห่งจิตใจที่แท้จริง"
.................
กระทู้นี้จะขอกล่าวถึง, "เรื่องการลงโทษผู้ทำผิดประเพณีด้วยการสังหารด้วยการปาด้วยหิน", ที่ในปัจจุบัน มุสลิมบางนิกายในบางสังคมยังเชื่อกันว่าเป็นหลักการของศาสนาอิสลาม, เนื้อหาของกระทู้จะเน้นอยู่ในแง่ของความศรัทธาต่ออัลลอฮ์และการเชื่อฟังต่อท่านรซูลมูฮัมมัดเท่านั้น
การนับถือหรือศรัทธาศาสนาตามกันอย่างคนตาบอด เป็นเหตุของการปฏิบัติหลักการศาสนา และเรียนรู้ศาสนาอย่างผิดๆ เช่นในเรื่องการลงโทษผู้ทำผิดประเพณีด้วยการสังหารด้วยการปาด้วยหิน, การทำนายฝัน, การบังคับภรรยาให้เชื่อฟังสามีในทุกๆกรณี, การห้ามสตรีจับต้องอัลถุรอาน ในขณะมีประจำเดือน หรือเมื่อไม่มีน้ำละหมาด, ห้ามอ่านหรือแปลอัลกุรอานด้วยตนเอง,มุสลิมจะต้องปฏิบัติตามผู้รู้หรือเกจิอาจารย์ทางศาสนาอย่างไม่ใช้สติปัญญาของตนเองโดยไม่รู้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูกและขัดกับข้อห้ามในอัลกุรอานหรือไม่ ฯลฯ
ถ้าเพียงแต่ว่ามุสลิมอ่าน,ศึกษาและเข้าใจอัลกุรอานแล้วเท่านั้น, มุสลิมก็จะเข้าใจได้ว่า, อัลลอฮ์ได้ประทานบัญญัติ ที่ 17: 36 นี้ให้แก่ท่านรอซูลมูฮัมมัด ซึ่งมุสลิมสามารถที่จะนำมาใช้ปฏิบัติได้ในปัจจุบันนี้, บัญญัติที่ 17: 36 มีความหมายดังนี้:
"เจ้าจะต้องไม่ยอมรับข่าวสารใดๆก็ตาม, เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะต้องพิสูจน์มันให้แน่ชัดด้วยตัวของเจ้าเอง, เราได้ให้การได้ยิน, การมองเห็นด้วยสายตา, และสมอง(สติปัญญา), และเจ้ามีความรับผิดชอบต่อการนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้"
อัลลอฮ์ต้องการให้เรา แน่ใจว่าข่าวสารที่เราได้รับมานั้นเป็นความจริงก่อนที่เราจะยอมรับมาปฏิบัติ
เหตุผลที่มุสลิมไม่ควรนำการ Stoning มาปฏิบัตินั้นเนื่องจากเป็นการต่อเติมศาศนาหรือบิดอะห์
เนื่องจากจากหลักฐานในเรื่องนี้ ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นตัวบทบัญญัตินี้มาก่อน, เป็นเรื่องราวจากฮาดีษและไม่มีผู้ใดได้ยิน การท่องบัญญัติ Stoning นอกจาก ท่านอุมัรท่านเดียวเท่านั้น แม้แต่ท่านรอซูลเอง ก็ไม่บันทึก เนื่องจากว่าท่านย่อมรู้ดีว่า อะไรคือบัญญัติของอัลลอฮ์ ไม่มีผู้ใดที่จะยืนยันได้นอกจากท่านรอซูลเท่านั้น ซึ่งในที่นี้จะไม่กล่าวถึงเรื่องหลักฐานแต่จะกล่าวถึง ความศรัทธาที่มุสลิมมีต่ออัลลอฮ์และการเชื่อฟังท่านรอซูลว่ามีความจริงใจมากน้อยเท่าใด
ถ้าเราพิจารณาจากหลักความศรัทธาเราจะเห็นว่า เป็นที่แน่นอนเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านรอซูลย่อมไม่อาจจะฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอ์ได้, ซึ่งมุสลิมจะเห็นได้จากบัญญัติต่อไปนี้ที่อัลลอฮ์มีคำสั่งต่อศาสนทูตมูฮัมมัด
{10:15} "และเมื่อบรรดาโองการอันชัดแจ้งของเราถูกอ่านแก่พวกเขาแล้ว บรรดาผู้ไม่หวังที่จะพบเราก็กล่าวว่า "ท่านจงนำกุรอานอื่นจากนี้มาให้เราหรือเปลี่ยนแปลงเสีย,จงกล่าวเถิดไม่บังควรแก่ฉันที่จะเปลี่ยนแปลงโดยพละการจากตัวฉัน ฉันจะไม่ปฏิบัติตาม เว้นแต่สิ่งที่ถูกประทานมาให้แก่ฉันเท่านั้น แท้จริง ฉันกลัวว่า หากฉันฝ่าฝืนพระเจ้าของฉันแล้ว จะได้รับการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่"
{10:16} จงกล่าวเถิด "หากอัลลอฮฺทรงประสงค์ฉันจะไม่อ่านอัลกุรอานแก่พวกเธอ และพระองค์จะไม่ให้พวกเธอได้รู้อัลกุรอานนั้น แน่นอน ฉันได้ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่พวกเธอมาก่อนนั้น พวกเธอไม่ใช้สติปัญญาคิดบ้างหรือ?"
{10:17} ดังนั้น ผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งกว่าผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺ หรือผู้ปฏิเสธต่อบรรดาโองการของพระองค์ แท้จริง บรรดาผู้ทำผิดนั้นย่อมไม่บรรลุความสำเร็จ
{10:18} และพวกเขาจะเคารพสักการะสิ่งอื่น นอกจากอัลลอฮฺ ที่ไม่ได้ให้โทษแก่พวกเขา และไม่ได้ให้ประโยชน์แก่พวกเขา และพวกเขาจะกล่าวว่า "เหล่านี้คือผู้ช่วยเหลือเรา ณ ที่อัลลอฮฺ" จงกล่าวเถิด "พวกเธอจะแจ้งข่าวแก่อัลลอฮฺถึงสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงรู้ในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดินกระนั้นหรือ? พระพิสุทธิคุณแห่งพระองค์และทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีขึ้น"
สรุปข้อความในบัญญัติ 10:15-18 ว่าดังนี้:
ท่านรอซูลมูฮัมมัดกล่าวด้วยความซื่อตรงต่ออัลลอฮ์ว่า:
"ไม่บังควรแก่ฉันที่จะเปลี่ยนแปลงโดยพละการจากตัวฉัน ฉันจะไม่ปฏิบัติตาม เว้นแต่สิ่งที่ถูกประทานมาให้แก่ฉันเท่านั้น แท้จริง ฉันกลัวว่า หากฉันฝ่าฝืนพระเจ้าของฉันแล้ว จะได้รับการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่"หากอัลลอฮฺทรงประสงค์ฉันจะไม่อ่านอัลกุรอานแก่พวกเธอ และพระองค์จะไม่ให้พวกเจ้าได้รู้อัลกุรอานนั้น แน่นอน ฉันได้ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่พวกเจ้ามาก่อนนั้น พวกเจ้าไม่ใช้สติปัญญาคิดบ้างหรือ?""พวกเจ้าจะแจ้งข่าวแก่อัลลอฮฺถึงสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงรู้ในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดินกระนั้นหรือ? พระพิสุทธิคุณแห่งพระองค์และทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีขึ้น"
เพียงคำกล่าวที่อัลลอฮ์ทรงให้ท่านรอซูลสัญญาใน 10:15-18 นี้ก็เพียงพอสำหรับมุสลิมผู้ที่มีความศรัทธาต่อ อัลลอฮ์และท่านรอซูลอย่างแท้จริงตามที่ได้ปฏิญาณตัวไว้เมื่อยอมรับอิสลาม ที่จะต้องปฏิเสธ ทุกๆสิ่งที่ไม่ใช่บัญญัติของอัลลอฮ์,
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคข้างล่างนี้ก็เพียงพอสำหรับมุสลิมี่จะเชื่อว่า"เรื่องการลงโทษผู้ทำผิดประเพณีด้วยการสังหารด้วยการปาด้วยหิน" ไม่ใช่หลักการของศาสนาอิสลาม:
ท่านรอซูลกล่าวยืนยันว่า:
"และเมื่อบรรดาโองการอันชัดแจ้งของเราถูกอ่านแก่พวกเขาแล้ว บรรดาผู้ไม่หวังที่จะพบเราก็กล่าวว่า "ท่านจงนำกุรอานอื่นจากนี้มาให้เราหรือเปลี่ยนแปลงเสีย,จงกล่าวเถิดไม่บังควรแก่ฉันที่จะเปลี่ยนแปลงโดยพละการจากตัวฉัน ฉันจะไม่ปฏิบัติตาม เว้นแต่สิ่งที่ถูกประทานมาให้แก่ฉันเท่านั้น แท้จริง ฉันกลัวว่า หากฉันฝ่าฝืนพระเจ้าของฉันแล้ว จะได้รับการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่"
ในกรณีที่ท่านรอซูลปฏิเสธท่านอุมัรโดยไม่บันทึกสิ่งที่ท่านอุมัรอ้างถึงบัญญัติรอยัม(Stoning) แสดงถึงความซื่อตรง ของท่านรอซูลทรามีต่ออัลลอฮ, แต่เมื่อเรามองดูบรรดามุสลิมที่ให้คำปฏิญาณต่ออัลลออ์และรับรองท่านรอซูลนั้น อัลกุรอานว่าไว้อย่างไร?
{63:1} เมื่อบรรดาคนสับปลับมาหาเธอ พวกเขากล่าวว่า "เราขอปฏิญาณว่า ท่านเป็นศาสนทูตของอัลลอหฺ" แต่อัลลอหฺทรงรู้ดียิ่งว่า เธอนั้นเป็นศาสนทูตของพระองค์ และอัลลอหฺทรงเป็นพยานว่า บรรดาคนสับปลับนั้นเป็นผู้กล่าวเท็จอย่างแน่นอน
{63:2} พวกเขาได้ถือเอาการสาบานของพวกเขาเป็นโล่ แล้วกีดกันทางของอัลลอหฺ แท้จริงพวกเขานั้น สิ่งที่พวกเขาได้กระทำไปนั้นช่างชั่วช้าจริง ๆ
{63:3} นั่นเป็นเพราะพวกเขามีศรัทธาแล้วก็ปฏิเสธศรัทธา ดังนั้นจึงหัวใจของพวกเขาจึงถูกผนึก แล้วพวกเขาก็ไม่เข้าใจ
1. ท่านรอซูลรู้ว่าท่านไม่ได้รับคำสั่งจากอัลลอฮ์ให้บรรจุเรื่องรอยัม(Stoning)ไว้ในอัลกุรอานเนื่องจากบัญญัตินั้นได้ถูกยกเลิกไปแล้ว, เพราะว่าท่านเองเป็นผู้ที่รับวะฮีย์ ไม่ใช่ท่านอุมัร
2. ท่านเชื่อฟังคำสั่งของอัลลฮ์ด้วยความศรัทธาต่อฮัลลอฮ์อย่างแท้จริง ท่านรอซูลรับวะฮีย์และจดบันทึกอัลกุรอาน ด้วยความซื่อสัตย์ ต่ออัลลอฮ์
3. ในขณะที่ท่านรอซูลรับวะฮีย์นั้นท่านไม่ได้เสียสติหรือหลงลืมหลักฐานจากบัญญัติต่อไปนี้:
{53:2} สหายของพวกเธอไม่ได้หลงทางและไม่ได้หลงผิด
{53:3} และเขาไม่ได้พูดตามอารมณ์
{53:4} สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมา
คำปฏิญาณหรือ กาลิมะห์ชะหะดะฮ์ ที่มุสลิม ปฏิญาณต่ออัลลอฮ์นั้นจะมีความหมาย ถ้ามุสลิม เชื่อในการตัดสินใจของท่านรอซูลที่ปฏิเสธและไม่เชื่อท่านคำอ้างอิงของท่านอุมัร
มุสลิมจะต้องตัดสินใจว่าจะเชื่อในความซื่อตรงและความมีศรัทธาต่ออัลลอฮ์อย่างแท้จริงของท่านรอซูล, หรือว่าจะเชื่อ คำอ้างอิงของท่านอุมัรที่ขาดพยานหลักฐาน หรือแม้ว่าท่านอุมัรจะอ้างอิงผู้ใด หรือนำหลักฐานใดๆมาอ้างอิงก็ตาม.
ถ้ามุสลิมเชื่อและยอมรับท่านรอซูลว่าเป็นศาสนทูตที่แท้จริงของอัลลอฮ์. มุสลิมจะต้องปฏิเสธ ท่านอุมัร และไม่ยอมรับ คำอ้างว่าบัญญัติ, "รอยัม การสังหารด้วยการปาด้วยก้อนหิน หรือ Stoning" นั้นเป็นบัญญัติหนึ่งในอัลกุรอาน
แต่ถ้ามุสลิมยอมรับและเชื่อท่านอุมัรที่อ้างว่า "รอยัม การสังหารด้วยการปาด้วยก้อนหิน หรือ Stoning" นั้นมีจริง. ก็เท่ากับมุสลิมไม่ปฏิบัติตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้ต่ออัลลอฮ์ และไม่เชื่อฟังท่านรอซูล ตามคำสั่งของอัลลอฮ์
{3:31} จงกล่าวเถิดว่า "พวกเขาหากพวกเจ้ารักอัลลอฮฺ ก็จงตามฉัน อัลลอฮฺก็จะทรงรักพวกเจ้าและจะทรงอภัยบาปแก่พวกเจ้าและอัลลอฮฺทรงคือพระผู้ทรงอภัยโทษเสมอ พระผู้ทรงปรานียิ่ง
{3:32} จงกล่าวเถิดว่า "พวกเจ้าจงภักดีต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตเถิดแต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ อัลลอฮฺก็ไม่ทรงโปรดปรานผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลายเ
{24:56} และพวกเธอจงดํารงการนมาซ และจงบริจาคซะกาตและจงภักดีต่อศาสนทูต เพื่อพวกเธอจะได้รับความเมตตา
{72:23} เว้นแต่ฉันจะเผยแผ่ (สิ่งที่รับ) จากอัลลอหฺ และสาส์นของพระองค์ และผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอหฺ และศาสนทูตของพระองค์แท้จริงสำหรับเขานั้นคือเพลิงนรก เป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นนิรันดร
อัลลอฮ์ทรงอธิบายให้มุสลิมเข้าใจถึงความสำคัญของคำปฏิญาณไว้ดังนี้
{63:1} เมื่อบรรดาคนสับปลับมาหาเจ้าพวกเขากล่าวว่า "เราขอปฏิญาณว่า ท่านเป็นศาสนทูตของอัลลอหฺ" แต่อัลลอหฺทรงรู้ดียิ่งว่า เจ้านั้นเป็นศาสนทูตของพระองค์ และอัลลอหฺทรงเป็นพยานว่า บรรดาคนสับปลับนั้นเป็นผู้กล่าวเท็จอย่างแน่นอน
{63:2} พวกเขาได้ถือเอาการสาบานของพวกเขาเป็นโล่ แล้วกีดกันทางของอัลลอหฺ แท้จริงพวกเขานั้น สิ่งที่พวกเขาได้กระทำไปนั้นช่างชั่วช้าจริง ๆ
{63:3} นั่นเป็นเพราะพวกเขามีศรัทธาแล้วก็ปฏิเสธศรัทธา ดังนั้นจึงหัวใจของพวกเขาจึงถูกผนึก แล้วพวกเขาก็ไม่เข้าใจ
ในแง่ของความเชื่อว่าถ้าบัญญัติ "เรื่องการรอยัม (บทลงโทษด้วยการขว้างหินจนตาย)" เคยมีมาก่อนในการท่องอัลกุรอาน,จริง, จากบัญญัติในอัลกุรอานที่อ้างอิงมาในกระทู้นี้ เราจะเห็นได้ว่าไม่มีทางที่ท่านรอซูลจะฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮ์ ในการไม่บรรจุบัญญัตินั้นไว้ในอัลกุรอานได้
แต่ในกรณีนี้ท่านใช้อำนาจและสิทธิในการที่ท่านเป็นผู้ซึ่งรับอัลกุรอานปฏิเสธท่านอุมัรทั้งนี้เพราะว่าท่านรอซูลมีความรู้และความเข้าใจดีกว่าศอฮาบะห์ทั้งหลาย ในความรู้เกี่ยวกับอัลกุรอาน ว่าอัลลอฮ์ทรงประสงค์ให้ท่านจดบันทึกสิ่งใดไว้ในอัลกุรอาน.
ความซื่อตรงของท่านรอซูลมูฮัมมัดต่ออัลลอฮ์ตะอาลาในการรับและบันทึกบัญญัติในอัลกุรอาน
"ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดเมตตาแก่พนักงาน, ผู้โดยสารในเครื่องบิน. Boing 777 MH 370 จำนวน 239 คน ที่ยังหาร่องรอยไม่พบ, รวมทั้งครอบครัวของเขาเหล่านั้น ให้พบความสงบแห่งจิตใจที่แท้จริง"
.................
กระทู้นี้จะขอกล่าวถึง, "เรื่องการลงโทษผู้ทำผิดประเพณีด้วยการสังหารด้วยการปาด้วยหิน", ที่ในปัจจุบัน มุสลิมบางนิกายในบางสังคมยังเชื่อกันว่าเป็นหลักการของศาสนาอิสลาม, เนื้อหาของกระทู้จะเน้นอยู่ในแง่ของความศรัทธาต่ออัลลอฮ์และการเชื่อฟังต่อท่านรซูลมูฮัมมัดเท่านั้น
การนับถือหรือศรัทธาศาสนาตามกันอย่างคนตาบอด เป็นเหตุของการปฏิบัติหลักการศาสนา และเรียนรู้ศาสนาอย่างผิดๆ เช่นในเรื่องการลงโทษผู้ทำผิดประเพณีด้วยการสังหารด้วยการปาด้วยหิน, การทำนายฝัน, การบังคับภรรยาให้เชื่อฟังสามีในทุกๆกรณี, การห้ามสตรีจับต้องอัลถุรอาน ในขณะมีประจำเดือน หรือเมื่อไม่มีน้ำละหมาด, ห้ามอ่านหรือแปลอัลกุรอานด้วยตนเอง,มุสลิมจะต้องปฏิบัติตามผู้รู้หรือเกจิอาจารย์ทางศาสนาอย่างไม่ใช้สติปัญญาของตนเองโดยไม่รู้ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูกและขัดกับข้อห้ามในอัลกุรอานหรือไม่ ฯลฯ
ถ้าเพียงแต่ว่ามุสลิมอ่าน,ศึกษาและเข้าใจอัลกุรอานแล้วเท่านั้น, มุสลิมก็จะเข้าใจได้ว่า, อัลลอฮ์ได้ประทานบัญญัติ ที่ 17: 36 นี้ให้แก่ท่านรอซูลมูฮัมมัด ซึ่งมุสลิมสามารถที่จะนำมาใช้ปฏิบัติได้ในปัจจุบันนี้, บัญญัติที่ 17: 36 มีความหมายดังนี้:
"เจ้าจะต้องไม่ยอมรับข่าวสารใดๆก็ตาม, เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะต้องพิสูจน์มันให้แน่ชัดด้วยตัวของเจ้าเอง, เราได้ให้การได้ยิน, การมองเห็นด้วยสายตา, และสมอง(สติปัญญา), และเจ้ามีความรับผิดชอบต่อการนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้"
อัลลอฮ์ต้องการให้เรา แน่ใจว่าข่าวสารที่เราได้รับมานั้นเป็นความจริงก่อนที่เราจะยอมรับมาปฏิบัติ
เหตุผลที่มุสลิมไม่ควรนำการ Stoning มาปฏิบัตินั้นเนื่องจากเป็นการต่อเติมศาศนาหรือบิดอะห์
เนื่องจากจากหลักฐานในเรื่องนี้ ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นตัวบทบัญญัตินี้มาก่อน, เป็นเรื่องราวจากฮาดีษและไม่มีผู้ใดได้ยิน การท่องบัญญัติ Stoning นอกจาก ท่านอุมัรท่านเดียวเท่านั้น แม้แต่ท่านรอซูลเอง ก็ไม่บันทึก เนื่องจากว่าท่านย่อมรู้ดีว่า อะไรคือบัญญัติของอัลลอฮ์ ไม่มีผู้ใดที่จะยืนยันได้นอกจากท่านรอซูลเท่านั้น ซึ่งในที่นี้จะไม่กล่าวถึงเรื่องหลักฐานแต่จะกล่าวถึง ความศรัทธาที่มุสลิมมีต่ออัลลอฮ์และการเชื่อฟังท่านรอซูลว่ามีความจริงใจมากน้อยเท่าใด
ถ้าเราพิจารณาจากหลักความศรัทธาเราจะเห็นว่า เป็นที่แน่นอนเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านรอซูลย่อมไม่อาจจะฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอ์ได้, ซึ่งมุสลิมจะเห็นได้จากบัญญัติต่อไปนี้ที่อัลลอฮ์มีคำสั่งต่อศาสนทูตมูฮัมมัด
{10:15} "และเมื่อบรรดาโองการอันชัดแจ้งของเราถูกอ่านแก่พวกเขาแล้ว บรรดาผู้ไม่หวังที่จะพบเราก็กล่าวว่า "ท่านจงนำกุรอานอื่นจากนี้มาให้เราหรือเปลี่ยนแปลงเสีย,จงกล่าวเถิดไม่บังควรแก่ฉันที่จะเปลี่ยนแปลงโดยพละการจากตัวฉัน ฉันจะไม่ปฏิบัติตาม เว้นแต่สิ่งที่ถูกประทานมาให้แก่ฉันเท่านั้น แท้จริง ฉันกลัวว่า หากฉันฝ่าฝืนพระเจ้าของฉันแล้ว จะได้รับการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่"
{10:16} จงกล่าวเถิด "หากอัลลอฮฺทรงประสงค์ฉันจะไม่อ่านอัลกุรอานแก่พวกเธอ และพระองค์จะไม่ให้พวกเธอได้รู้อัลกุรอานนั้น แน่นอน ฉันได้ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่พวกเธอมาก่อนนั้น พวกเธอไม่ใช้สติปัญญาคิดบ้างหรือ?"
{10:17} ดังนั้น ผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งกว่าผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺ หรือผู้ปฏิเสธต่อบรรดาโองการของพระองค์ แท้จริง บรรดาผู้ทำผิดนั้นย่อมไม่บรรลุความสำเร็จ
{10:18} และพวกเขาจะเคารพสักการะสิ่งอื่น นอกจากอัลลอฮฺ ที่ไม่ได้ให้โทษแก่พวกเขา และไม่ได้ให้ประโยชน์แก่พวกเขา และพวกเขาจะกล่าวว่า "เหล่านี้คือผู้ช่วยเหลือเรา ณ ที่อัลลอฮฺ" จงกล่าวเถิด "พวกเธอจะแจ้งข่าวแก่อัลลอฮฺถึงสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงรู้ในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดินกระนั้นหรือ? พระพิสุทธิคุณแห่งพระองค์และทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีขึ้น"
สรุปข้อความในบัญญัติ 10:15-18 ว่าดังนี้:
ท่านรอซูลมูฮัมมัดกล่าวด้วยความซื่อตรงต่ออัลลอฮ์ว่า:
"ไม่บังควรแก่ฉันที่จะเปลี่ยนแปลงโดยพละการจากตัวฉัน ฉันจะไม่ปฏิบัติตาม เว้นแต่สิ่งที่ถูกประทานมาให้แก่ฉันเท่านั้น แท้จริง ฉันกลัวว่า หากฉันฝ่าฝืนพระเจ้าของฉันแล้ว จะได้รับการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่"หากอัลลอฮฺทรงประสงค์ฉันจะไม่อ่านอัลกุรอานแก่พวกเธอ และพระองค์จะไม่ให้พวกเจ้าได้รู้อัลกุรอานนั้น แน่นอน ฉันได้ใช้ชีวิตอยู่ในหมู่พวกเจ้ามาก่อนนั้น พวกเจ้าไม่ใช้สติปัญญาคิดบ้างหรือ?""พวกเจ้าจะแจ้งข่าวแก่อัลลอฮฺถึงสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงรู้ในบรรดาชั้นฟ้าและในแผ่นดินกระนั้นหรือ? พระพิสุทธิคุณแห่งพระองค์และทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีขึ้น"
เพียงคำกล่าวที่อัลลอฮ์ทรงให้ท่านรอซูลสัญญาใน 10:15-18 นี้ก็เพียงพอสำหรับมุสลิมผู้ที่มีความศรัทธาต่อ อัลลอฮ์และท่านรอซูลอย่างแท้จริงตามที่ได้ปฏิญาณตัวไว้เมื่อยอมรับอิสลาม ที่จะต้องปฏิเสธ ทุกๆสิ่งที่ไม่ใช่บัญญัติของอัลลอฮ์,
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคข้างล่างนี้ก็เพียงพอสำหรับมุสลิมี่จะเชื่อว่า"เรื่องการลงโทษผู้ทำผิดประเพณีด้วยการสังหารด้วยการปาด้วยหิน" ไม่ใช่หลักการของศาสนาอิสลาม:
ท่านรอซูลกล่าวยืนยันว่า:
"และเมื่อบรรดาโองการอันชัดแจ้งของเราถูกอ่านแก่พวกเขาแล้ว บรรดาผู้ไม่หวังที่จะพบเราก็กล่าวว่า "ท่านจงนำกุรอานอื่นจากนี้มาให้เราหรือเปลี่ยนแปลงเสีย,จงกล่าวเถิดไม่บังควรแก่ฉันที่จะเปลี่ยนแปลงโดยพละการจากตัวฉัน ฉันจะไม่ปฏิบัติตาม เว้นแต่สิ่งที่ถูกประทานมาให้แก่ฉันเท่านั้น แท้จริง ฉันกลัวว่า หากฉันฝ่าฝืนพระเจ้าของฉันแล้ว จะได้รับการลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่"
ในกรณีที่ท่านรอซูลปฏิเสธท่านอุมัรโดยไม่บันทึกสิ่งที่ท่านอุมัรอ้างถึงบัญญัติรอยัม(Stoning) แสดงถึงความซื่อตรง ของท่านรอซูลทรามีต่ออัลลอฮ, แต่เมื่อเรามองดูบรรดามุสลิมที่ให้คำปฏิญาณต่ออัลลออ์และรับรองท่านรอซูลนั้น อัลกุรอานว่าไว้อย่างไร?
{63:1} เมื่อบรรดาคนสับปลับมาหาเธอ พวกเขากล่าวว่า "เราขอปฏิญาณว่า ท่านเป็นศาสนทูตของอัลลอหฺ" แต่อัลลอหฺทรงรู้ดียิ่งว่า เธอนั้นเป็นศาสนทูตของพระองค์ และอัลลอหฺทรงเป็นพยานว่า บรรดาคนสับปลับนั้นเป็นผู้กล่าวเท็จอย่างแน่นอน
{63:2} พวกเขาได้ถือเอาการสาบานของพวกเขาเป็นโล่ แล้วกีดกันทางของอัลลอหฺ แท้จริงพวกเขานั้น สิ่งที่พวกเขาได้กระทำไปนั้นช่างชั่วช้าจริง ๆ
{63:3} นั่นเป็นเพราะพวกเขามีศรัทธาแล้วก็ปฏิเสธศรัทธา ดังนั้นจึงหัวใจของพวกเขาจึงถูกผนึก แล้วพวกเขาก็ไม่เข้าใจ
1. ท่านรอซูลรู้ว่าท่านไม่ได้รับคำสั่งจากอัลลอฮ์ให้บรรจุเรื่องรอยัม(Stoning)ไว้ในอัลกุรอานเนื่องจากบัญญัตินั้นได้ถูกยกเลิกไปแล้ว, เพราะว่าท่านเองเป็นผู้ที่รับวะฮีย์ ไม่ใช่ท่านอุมัร
2. ท่านเชื่อฟังคำสั่งของอัลลฮ์ด้วยความศรัทธาต่อฮัลลอฮ์อย่างแท้จริง ท่านรอซูลรับวะฮีย์และจดบันทึกอัลกุรอาน ด้วยความซื่อสัตย์ ต่ออัลลอฮ์
3. ในขณะที่ท่านรอซูลรับวะฮีย์นั้นท่านไม่ได้เสียสติหรือหลงลืมหลักฐานจากบัญญัติต่อไปนี้:
{53:2} สหายของพวกเธอไม่ได้หลงทางและไม่ได้หลงผิด
{53:3} และเขาไม่ได้พูดตามอารมณ์
{53:4} สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮีย์ที่ถูกประทานลงมา
คำปฏิญาณหรือ กาลิมะห์ชะหะดะฮ์ ที่มุสลิม ปฏิญาณต่ออัลลอฮ์นั้นจะมีความหมาย ถ้ามุสลิม เชื่อในการตัดสินใจของท่านรอซูลที่ปฏิเสธและไม่เชื่อท่านคำอ้างอิงของท่านอุมัร
มุสลิมจะต้องตัดสินใจว่าจะเชื่อในความซื่อตรงและความมีศรัทธาต่ออัลลอฮ์อย่างแท้จริงของท่านรอซูล, หรือว่าจะเชื่อ คำอ้างอิงของท่านอุมัรที่ขาดพยานหลักฐาน หรือแม้ว่าท่านอุมัรจะอ้างอิงผู้ใด หรือนำหลักฐานใดๆมาอ้างอิงก็ตาม.
ถ้ามุสลิมเชื่อและยอมรับท่านรอซูลว่าเป็นศาสนทูตที่แท้จริงของอัลลอฮ์. มุสลิมจะต้องปฏิเสธ ท่านอุมัร และไม่ยอมรับ คำอ้างว่าบัญญัติ, "รอยัม การสังหารด้วยการปาด้วยก้อนหิน หรือ Stoning" นั้นเป็นบัญญัติหนึ่งในอัลกุรอาน
แต่ถ้ามุสลิมยอมรับและเชื่อท่านอุมัรที่อ้างว่า "รอยัม การสังหารด้วยการปาด้วยก้อนหิน หรือ Stoning" นั้นมีจริง. ก็เท่ากับมุสลิมไม่ปฏิบัติตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้ต่ออัลลอฮ์ และไม่เชื่อฟังท่านรอซูล ตามคำสั่งของอัลลอฮ์
{3:31} จงกล่าวเถิดว่า "พวกเขาหากพวกเจ้ารักอัลลอฮฺ ก็จงตามฉัน อัลลอฮฺก็จะทรงรักพวกเจ้าและจะทรงอภัยบาปแก่พวกเจ้าและอัลลอฮฺทรงคือพระผู้ทรงอภัยโทษเสมอ พระผู้ทรงปรานียิ่ง
{3:32} จงกล่าวเถิดว่า "พวกเจ้าจงภักดีต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตเถิดแต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ อัลลอฮฺก็ไม่ทรงโปรดปรานผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลายเ
{24:56} และพวกเธอจงดํารงการนมาซ และจงบริจาคซะกาตและจงภักดีต่อศาสนทูต เพื่อพวกเธอจะได้รับความเมตตา
{72:23} เว้นแต่ฉันจะเผยแผ่ (สิ่งที่รับ) จากอัลลอหฺ และสาส์นของพระองค์ และผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอหฺ และศาสนทูตของพระองค์แท้จริงสำหรับเขานั้นคือเพลิงนรก เป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นนิรันดร
อัลลอฮ์ทรงอธิบายให้มุสลิมเข้าใจถึงความสำคัญของคำปฏิญาณไว้ดังนี้
{63:1} เมื่อบรรดาคนสับปลับมาหาเจ้าพวกเขากล่าวว่า "เราขอปฏิญาณว่า ท่านเป็นศาสนทูตของอัลลอหฺ" แต่อัลลอหฺทรงรู้ดียิ่งว่า เจ้านั้นเป็นศาสนทูตของพระองค์ และอัลลอหฺทรงเป็นพยานว่า บรรดาคนสับปลับนั้นเป็นผู้กล่าวเท็จอย่างแน่นอน
{63:2} พวกเขาได้ถือเอาการสาบานของพวกเขาเป็นโล่ แล้วกีดกันทางของอัลลอหฺ แท้จริงพวกเขานั้น สิ่งที่พวกเขาได้กระทำไปนั้นช่างชั่วช้าจริง ๆ
{63:3} นั่นเป็นเพราะพวกเขามีศรัทธาแล้วก็ปฏิเสธศรัทธา ดังนั้นจึงหัวใจของพวกเขาจึงถูกผนึก แล้วพวกเขาก็ไม่เข้าใจ
ในแง่ของความเชื่อว่าถ้าบัญญัติ "เรื่องการรอยัม (บทลงโทษด้วยการขว้างหินจนตาย)" เคยมีมาก่อนในการท่องอัลกุรอาน,จริง, จากบัญญัติในอัลกุรอานที่อ้างอิงมาในกระทู้นี้ เราจะเห็นได้ว่าไม่มีทางที่ท่านรอซูลจะฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮ์ ในการไม่บรรจุบัญญัตินั้นไว้ในอัลกุรอานได้
แต่ในกรณีนี้ท่านใช้อำนาจและสิทธิในการที่ท่านเป็นผู้ซึ่งรับอัลกุรอานปฏิเสธท่านอุมัรทั้งนี้เพราะว่าท่านรอซูลมีความรู้และความเข้าใจดีกว่าศอฮาบะห์ทั้งหลาย ในความรู้เกี่ยวกับอัลกุรอาน ว่าอัลลอฮ์ทรงประสงค์ให้ท่านจดบันทึกสิ่งใดไว้ในอัลกุรอาน.