ในฐานะแม่นะคะ ..ขอชื่นชมคุณน้อง จขกท. ที่เมื่อรู้ปัญหา แล้วไม่นิ่งดูดาย
..และหวังว่าคุณแม่ของน้อง จะรับรู้ถึงความตั้งใจดีของน้อง ลดทิฐิ ของความเป็นแม่ ..
ซึ่งมักจะคิดไปเองว่า ชั้นจัดการได้
ลูกยังเด็ก มีหน้าที่เรียน ก็เรียนไป ไม่ต้องมายุ่ง ..
เพราะนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า พ่อแม่ ใช่ว่าจะทำอะไรถูกต้องเสมอไป ..

วิธีการ พี่ๆ คุณลุง คุณอา คห.บนๆ บอกไว้ค่อนข้างชัดเจนค่ะ
หนูก็ลอง list กรมธรรม์ประดามีขึ้นมาดู status
ฉบับไหนถูกกินเปล่า เช่น พวก PA ซึ่งจ่ายปีต่อปี ก็ตัดทิ้งได้เลย หรือเก็บไว้ต่อคุ้มครองสักฉบับที่เงื่อนไขดีสุด
พวกที่เป็นลักษณะออมทรัพย์ อย่าชะล่าใจ เพราะถ้ากรมธรรม์มีมูลค่า เพราะส่งเบี้ยมาหลายปี
ขาดส่งเบี้ยปุ๊บ ก็อาจกู้ตัวเองมาจ่ายเบี้ย เพื่อให้กรมธรรม์ active อยู่ แต่ถ้าถึงเวลาจะไปเคลม
เผลอๆ ไม่เหลืออะไรเท่าไหร่ เพราะต้องหักจ่ายคืน บ.ประกันก่อน

ทั้งนี้หนูต้องดูด้วยว่า ตลอดระยะเวลา สุขภาพคุณแม่เป็นยังไง
มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ..เพราะบางคนทำไว้เยอะก็คุ้ม เพราะเข้าโรงพยาบาลที ค่าใช้จ่ายลมแทบจับ
ถ้าไม่มีประกันนี่ จ่าย รพ. ที แทบหมดตัวเลย..
แต่ถ้าฉบับไหนซ้ำซ้อนกันมากๆ ก็ตัดออกบ้าง
แต่น้าแนะนำให้เก็บพวกคุ้มครองโรคร้ายไว้บ้าง กันเหนียวค่ะ

วิธีทำให้กรมธรรม์ยัง active โดยหยุดส่งเบี้ย มี 2 วิธี คือ กรมธรรม์ขยายเวลา กับกรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จ
หนูลองไปศึกษาเพิ่มเติมเอา น้าเขียนจะยาว เปล่าๆ ค่ะ ..ข้อมูลพวกนี้หาอ่านได้ในอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว
ส่วนการเวนคืน จะ cut off ความคุ้มครองทั้งมวล ..เหลือเงินคืนเท่ามูลค่าที่แสดงในตารางแนบท้ายกรมธรรม์ค่ะ

สิ่งสำคัญ คือเมื่อหนูได้ข้อมูลทั้งหมดแล้วว่าจะบริหารจัดการเรื่องนี้ยังไง
หนูต้อง present และ convince คุณแม่ให้คล้อยตามหนูให้ได้ด้วยล่ะ
เพราะหนูไม่มีสิทธิเข้าไปทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงใดๆ ต้องเจ้าตัวเค้านั่นแหละ เป็นคนทำเรื่อง

ดังนั้น หนูต้องใช้มากกว่าความรู้ในเรื่องที่จะไปพูด ..แต่หนูต้องแสดงความจริงใจในการขอเข้ามาส่วนร่วมในครอบครัว
เพราะคุณไม่ใช่เด็กๆ แล้ว แม้แม่จะเห็นลูกเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา ก็ตาม
และถ้าคุณแม่ยังละเลย เพิกเฉย ต่อเรื่องนี้ต่อไป ..สิ่งที่แม่เพียรทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะเท่ากับศูนย์

หวังว่าคุณแม่น้อง จะไม่รั้นมากนะคะ
ขอส่งกำลังใจ และขอให้โชคดีค่ะ