ผมเป็นคนนึงที่ยอมรับว่าเคยนะครับ ตอนดัชนี 1400 พุ่งขึ้น 1600
มโนไว้แบบนี้เลยจริงๆ แต่ทำไม่ได้ครับ เพราะแค่ stop loss แต่ละครั้ง
แล้วทำให้มันกลับมาเท่าทุนนี่ก็ยากแล้ว อย่าลืมว่า ถ้าเรา stop loss 10%
เราต้องได้ผลตอบแทนในต้นทุนที่เหลือ +11.11% ถึงจะกลับมาเท่าทุน
ถ้า cut ที่ -20% ก็ต้องทำผลตอบแทนให้ได้ +25% ถึงกลับมาเท่าทุน
ถ้า cut 30% ต้องทำถึง +42.5% ถึงจะกลับมาได้
เหนื่อยโคตรๆ คิดในเชิง "ข้าไม่ยอมแพ้ ข้าจะเอาคืน" แบบนี้
ข้อสำคัญคือ เห็นหลายๆคน กลับไปเล่นที่กระดานเดิมกับคู่แข่งเดิม
คือยังไง??? คือ เสีย DW ก็ไปจ้องเอาคืนที่ DW
เสียหุ้นต่ำบาท หุ้นsuper turn around หุ้นปั่นอะไรเหล่านั้น ก็ไปจับจดที่หุ้นประเภทนั้น
ถามว่าสิ่งที่เสียไปนอกจากเงิน คืออะไร???
ตอบ ค่าเสียโอกาส เพราะ เราจะจับจด เฝ้าเล่นแต่หุ้นตัวนั้น ไม่มองภาพรวม ไม่สนโลก
นี่เป็นสาเหตุนึงที่เราควรถือหุ้นหลายๆตัว หลายๆกลุ่ม เพื่อกระจายเงินและขยายมุมมอง
ให้เรามองจากมุมสูงๆ กว้างๆหน่อย เพราะเราไม่ใช่คนเจาะลึกรู้ข้อคาดเดารายได้แม่นยำขนาดนั้น
ข้อเสียที่สำคัญที่สุด ของการตั้งเป้าถี่ๆ แบบนั้น คือ!!!!!
จะทำให้เกิดการ "ขายหมู แล้วไปซื้อควาย" มาแทน
ทิ้งหุ้นที่ประเมินทุกอย่างทั้งพื้นฐานแบะกราฟในคราวแรกมาอย่างดี
เพียงเพราะมัน Hit เป้าหมายแล้ว แล้วดันไปจับตัวอื่น
คราวนี้ ความเข้มข้นในการเตรียมตัวรอบใหม่ของเราจะต่ำลง เพราะมั่นใจในตัวเองเกินไป
เราจะได้หุ้นไม่วิ่ง หุ้นแพง หุ้นโดนหลอกไล่ซื้อตาม มาแทน ส่วนตัวที่เลือกมาอย่างดีตอนแรก
วิ่งทะลุเป้าน็อครอบไปสองตลบแล้ว
สำคัญที่สุด ในตลาดฯ คือ อย่าตั้งเป้า take profit ถี่ เช่น เป้าค่ากับข้าว เป้าค่าเที่ยววันหยุด เป้าลงอ่าง
แต่สำคัญที่เป้า stop loss คือ เลือกมา 5 ลงไป 4 ก็ทิ้งให้หมด ไอ่ที่เขียวก็ถือไว้
คิดได้แบบนี้ เค้าเรียกว่า cut loss, let profit run มันคือข้อสำคัญที่สุด
ของนักลงทุนที่ "เล่นหุ้นเพื่อกินส่วนต่างราคา" หรือ Capital Gain
จงกินคำใหญ่ เสียคำเล็ก ถือหุ้นให้เหมือนกินอาหาร
อันไหนอร่อย ก็กินมันต่อ เก็บไว้กิน
อันไหนไม่อร่อย ชิมแล้ว ไม่ work รีบๆคายทิ้งเสีย
อย่างทิ้งของอร่อย เพื่ออมของรสชาติไม่เป็นสัปปะรด
ปล. ไม่มีอะไรครับ บ่นเฉยๆ
ใครเคยคิดจะตั้งเป้ารายเดือนแบบนี้บ้าง ???
ผมเป็นคนนึงที่ยอมรับว่าเคยนะครับ ตอนดัชนี 1400 พุ่งขึ้น 1600
มโนไว้แบบนี้เลยจริงๆ แต่ทำไม่ได้ครับ เพราะแค่ stop loss แต่ละครั้ง
แล้วทำให้มันกลับมาเท่าทุนนี่ก็ยากแล้ว อย่าลืมว่า ถ้าเรา stop loss 10%
เราต้องได้ผลตอบแทนในต้นทุนที่เหลือ +11.11% ถึงจะกลับมาเท่าทุน
ถ้า cut ที่ -20% ก็ต้องทำผลตอบแทนให้ได้ +25% ถึงกลับมาเท่าทุน
ถ้า cut 30% ต้องทำถึง +42.5% ถึงจะกลับมาได้
เหนื่อยโคตรๆ คิดในเชิง "ข้าไม่ยอมแพ้ ข้าจะเอาคืน" แบบนี้
ข้อสำคัญคือ เห็นหลายๆคน กลับไปเล่นที่กระดานเดิมกับคู่แข่งเดิม
คือยังไง??? คือ เสีย DW ก็ไปจ้องเอาคืนที่ DW
เสียหุ้นต่ำบาท หุ้นsuper turn around หุ้นปั่นอะไรเหล่านั้น ก็ไปจับจดที่หุ้นประเภทนั้น
ถามว่าสิ่งที่เสียไปนอกจากเงิน คืออะไร???
ตอบ ค่าเสียโอกาส เพราะ เราจะจับจด เฝ้าเล่นแต่หุ้นตัวนั้น ไม่มองภาพรวม ไม่สนโลก
นี่เป็นสาเหตุนึงที่เราควรถือหุ้นหลายๆตัว หลายๆกลุ่ม เพื่อกระจายเงินและขยายมุมมอง
ให้เรามองจากมุมสูงๆ กว้างๆหน่อย เพราะเราไม่ใช่คนเจาะลึกรู้ข้อคาดเดารายได้แม่นยำขนาดนั้น
ข้อเสียที่สำคัญที่สุด ของการตั้งเป้าถี่ๆ แบบนั้น คือ!!!!!
จะทำให้เกิดการ "ขายหมู แล้วไปซื้อควาย" มาแทน
ทิ้งหุ้นที่ประเมินทุกอย่างทั้งพื้นฐานแบะกราฟในคราวแรกมาอย่างดี
เพียงเพราะมัน Hit เป้าหมายแล้ว แล้วดันไปจับตัวอื่น
คราวนี้ ความเข้มข้นในการเตรียมตัวรอบใหม่ของเราจะต่ำลง เพราะมั่นใจในตัวเองเกินไป
เราจะได้หุ้นไม่วิ่ง หุ้นแพง หุ้นโดนหลอกไล่ซื้อตาม มาแทน ส่วนตัวที่เลือกมาอย่างดีตอนแรก
วิ่งทะลุเป้าน็อครอบไปสองตลบแล้ว
สำคัญที่สุด ในตลาดฯ คือ อย่าตั้งเป้า take profit ถี่ เช่น เป้าค่ากับข้าว เป้าค่าเที่ยววันหยุด เป้าลงอ่าง
แต่สำคัญที่เป้า stop loss คือ เลือกมา 5 ลงไป 4 ก็ทิ้งให้หมด ไอ่ที่เขียวก็ถือไว้
คิดได้แบบนี้ เค้าเรียกว่า cut loss, let profit run มันคือข้อสำคัญที่สุด
ของนักลงทุนที่ "เล่นหุ้นเพื่อกินส่วนต่างราคา" หรือ Capital Gain
จงกินคำใหญ่ เสียคำเล็ก ถือหุ้นให้เหมือนกินอาหาร
อันไหนอร่อย ก็กินมันต่อ เก็บไว้กิน
อันไหนไม่อร่อย ชิมแล้ว ไม่ work รีบๆคายทิ้งเสีย
อย่างทิ้งของอร่อย เพื่ออมของรสชาติไม่เป็นสัปปะรด
ปล. ไม่มีอะไรครับ บ่นเฉยๆ