วันนี้มีความสุข
ไปดูหนัง พี่ชาย | My Bromance เป็นรอบที่ 8
หนังเข้าฉายวันแรกเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ จนถึงวันนี้ก็ฉายมาเป็นเวลา 14 วันแล้ว แต่ทุกครั้งที่ไปดู ก็ยังมีคนดูอยู่มากเสมอ
รอบแรกๆ ที่มาดู จะได้ยินเสียงกรี๊ดวี๊ดว๊าย เสียงหัวเราะคิกคัก เสียงอุทาน (ด้วยความฟิน) จากคนดูเกือบตลอดครึ่งแรกของหนัง ผิดกับรอบหลังๆ ที่คนดูส่วนใหญ่จะดูหนังกันเงียบๆ เข้าใจว่าเป็นเพราะในรอบหลังๆ คนดูส่วนใหญ่เป็นคนที่เคยดูแล้วกลับมาดูซ้ำ รู้มุขรู้จังหวะของหนังแล้ว แต่มาดูซ้ำเพื่อเก็บรายละเอียด ซึมซับอารมณ์ของหนัง เลยดูหนังด้วยความตั้งใจมากขึ้น เกิดบรรยากาศในการดูหนังเรื่องเดียวกันต่างไปอีกแบบ
มีคนถามผมว่า ทำไมไปดูหนังเรื่องเดียวกันซ้ำหลายรอบขนาดนี้ หนังเรื่องนี้มันดีมากเลยเหรอ แล้วดูหลายรอบไม่จำบทได้หมดเหรอ แล้วมันจะสนุกอะไรอีก
อันที่จริงไปดูหนังแค่รอบเดียวหรือสองรอบผมก็จำเนื้อเรื่องหรือบทพูดในหนังได้เกือบหมดแล้ว แต่ที่ยังไปดูซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ใช่จะไปดูให้จำบทหนังได้ทั้งเรื่อง แต่อยากไปดู เพื่อไปซึมซับรับเอาอารมณ์ของหนังมาเก็บไว้ในใจ
หลายคนถามผมว่าหนังเรื่องนี้มันดีมากเลยเหรอ ถึงทำให้คนที่ปกติไม่ชอบดูหนังในโรง ต้องไปดูซ้ำถึง 8 รอบ
บอกได้เลยว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังดี แม้จะไม่ได้ดีมากถึงขนาดสมบูรณ์แบบไร้ข้อบกพร่อง แต่หนังก็ดีอย่างที่ควรจะดีได้ และดีพอที่จะไม่ทำให้เสียดายเงินค่าตั๋ว ค่าเดินทาง และเวลาที่ใช้ไป
หนังยังมีข้อบกพร่องที่เป็นเรื่องรายละเอียดอยู่บ้าง การแสดงของนักแสดงบางคนยังไม่ดีพอ เสียงพูดที่เดี๋ยวดังเดี๋ยวค่อย มุมกล้อง ความต่อเนื่อง การตัดต่อ การดำเนินเรื่อง ความสมเหตุสมผล ฯลฯ แต่นั่นก็เป็นแค่ส่วนรายละเอียด
แต่ส่วนสำคัญที่ทำให้รู้สึกอยากไปดูหนังเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็คือ "อารมณ์ของหนัง"
บางคนบอกว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังดราม่า รักไม่สมหวัง จบเศร้า ดูแล้วจิตตก บางคนถึงกับเดินน้ำตาไหลออกมาจากโรง แล้วยังมานั่งร้องไห้ต่อข้างนอก กลับบ้านก็ยังไปนอนคิดถึงฉากในหนังแล้วร้องไห้อีก (อ่านจากที่เขาโพสต์กันในเพจหนัง)
แต่ผมไม่รู้สึกอย่างนั้นนะ ผมไม่รู้สึกว่านี่เป็นหนังดราม่า ไม่ใช่หนังเศร้า
แต่นี่เป็นหนังรักที่อบอุ่นมาก
จากคนไม่รู้จักกันสองคน มาทำความรู้จักกัน - เรียนรู้ - เปิดใจ - ยอมรับ - ดูแล - ห่วงใย - เสียสละ - เก็บไว้ในความทรงจำ
ถึงแม้สุดท้ายจะไม่สมหวัง แต่ก็ยังรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
ในหนังมีอยู่ฉากหนึ่งที่ผมประทับใจมาก ทำให้ผมรู้สึกว่า
นี่แหล่ะ ความรักที่แท้จริง
นี่แหล่ะ ความรักที่บริสุทธิ์
นี่แหล่ะ ความรักที่ใครต่อใครต้องการจะมี
ฉากที่ว่านี้คือ ฉากที่ไปเที่ยวน้ำตก
ตอนที่กอล์ฟเข้ามาในห้องแล้วเห็นว่าแบงค์หลับไปแล้ว แล้วกอล์ฟดึงผ้าห่มมาห่มให้แบงค์
หนังใส่อารมณ์และความรู้สึกในฉากนี้ได้ดีมากๆ
พี่ชายค่อยๆ ดึงผ้ามาห่มให้ กลัวน้องชายจะสะดุ้งตื่น
ห่มให้แล้วก็ยังจัดผ้าห่มให้มิดชิดอีก กลัวน้องจะหนาว
ค่อยๆ ลุกขึ้นไปปิดไฟเงียบๆ แล้วล้มตัวลงนอนกอดเบาๆ
เป็นฉากสั้นๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกจุกและตื้นตันจนน้ำตาคลอได้ทุกครั้งที่ถึงฉากนี้
แค่ห่มผ้าให้คนหลับแค่นี้ มันมีอะไรนักหนา
ก็เพราะว่า มันไม่ใช่แค่การห่มผ้าให้ แต่มันพิเศษกว่านั้น
เพราะมันคือ "การดูแล"
และมันยังพิเศษยิ่งขึ้น ตรงที่มันเป็นการดูแลโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
น้องชายหลับปุ๋ยไปแล้ว แต่พี่ชายยังคงดูแลน้อง โดยไม่ต้องสนใจว่าอีกฝ่ายจะรับรู้หรือเปล่าว่าได้ทำอะไรให้บ้าง
ผมว่านี่เป็นฉากที่แสดงให้เห็นถึงคำว่า "รักบริสุทธิ์" ที่หนังพูดถึงได้อย่างดีที่สุด อบอุ่นที่สุด และอิ่มเอมที่สุด
"รักคือการดูแลกันและกัน"
การกระทำที่ดูเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างการห่มผ้าให้ในขณะที่อีกคนหลับแล้ว ผมว่ามันแสดงถึงความรักได้ดีกว่าการทำหน้าที่คนรักโดยการซื้อของให้ พาไปกินไปเที่ยว พาไปดูหนังเสียอีก (แต่แน่นอนว่ายังไม่เท่ากับการเสียสละร่างกายตัวเองให้)
เชื่อว่าคนที่ไปดูหนังเรื่องนี้ หลายคนคงจะติดใจกับฉากกุ๊กกิ๊กสวีทหวานของกอล์ฟและแบงค์ในช่วงครึ่งแรกของหนัง และเสียน้ำตาไปกับเรื่องร้ายเรื่องเศร้าในช่วงครึ่งหลัง และส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงหนังเรื่องนี้ก็มักจะพูดถึงอารมณ์เศร้าของหนัง
แต่ก็ไม่อยากให้พลาดความรู้สึกอบอุ่นใจในฉากสั้นๆ ที่เหมือนจะไม่สลักสำคัญในตอนกลางเรื่องฉากนี้ไปนะครับ
ลองนึกภาพว่า ถ้ามีใครมาดูแลเราอย่างนี้ ทนุถนอมเราอย่างนี้ มันจะน่าอบอุ่นใจเพียงใด มันแสดงว่าคนคนนั้นเขารักเราได้อย่างไร
เพราะ "รักคือการดูแลกันและกัน" ครับ
ขอขอบคุณ "พี่ชาย | My Bromance" ที่ทำให้ได้รู้สึกถึงความอบอุ่นใจอย่างนี้
รักหนังเรื่องนี้จริงๆ
รักหนังเรื่องนี้จริงๆ "พี่ชาย | My Bromance"
ไปดูหนัง พี่ชาย | My Bromance เป็นรอบที่ 8
หนังเข้าฉายวันแรกเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ จนถึงวันนี้ก็ฉายมาเป็นเวลา 14 วันแล้ว แต่ทุกครั้งที่ไปดู ก็ยังมีคนดูอยู่มากเสมอ
รอบแรกๆ ที่มาดู จะได้ยินเสียงกรี๊ดวี๊ดว๊าย เสียงหัวเราะคิกคัก เสียงอุทาน (ด้วยความฟิน) จากคนดูเกือบตลอดครึ่งแรกของหนัง ผิดกับรอบหลังๆ ที่คนดูส่วนใหญ่จะดูหนังกันเงียบๆ เข้าใจว่าเป็นเพราะในรอบหลังๆ คนดูส่วนใหญ่เป็นคนที่เคยดูแล้วกลับมาดูซ้ำ รู้มุขรู้จังหวะของหนังแล้ว แต่มาดูซ้ำเพื่อเก็บรายละเอียด ซึมซับอารมณ์ของหนัง เลยดูหนังด้วยความตั้งใจมากขึ้น เกิดบรรยากาศในการดูหนังเรื่องเดียวกันต่างไปอีกแบบ
มีคนถามผมว่า ทำไมไปดูหนังเรื่องเดียวกันซ้ำหลายรอบขนาดนี้ หนังเรื่องนี้มันดีมากเลยเหรอ แล้วดูหลายรอบไม่จำบทได้หมดเหรอ แล้วมันจะสนุกอะไรอีก
อันที่จริงไปดูหนังแค่รอบเดียวหรือสองรอบผมก็จำเนื้อเรื่องหรือบทพูดในหนังได้เกือบหมดแล้ว แต่ที่ยังไปดูซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่ใช่จะไปดูให้จำบทหนังได้ทั้งเรื่อง แต่อยากไปดู เพื่อไปซึมซับรับเอาอารมณ์ของหนังมาเก็บไว้ในใจ
หลายคนถามผมว่าหนังเรื่องนี้มันดีมากเลยเหรอ ถึงทำให้คนที่ปกติไม่ชอบดูหนังในโรง ต้องไปดูซ้ำถึง 8 รอบ
บอกได้เลยว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังดี แม้จะไม่ได้ดีมากถึงขนาดสมบูรณ์แบบไร้ข้อบกพร่อง แต่หนังก็ดีอย่างที่ควรจะดีได้ และดีพอที่จะไม่ทำให้เสียดายเงินค่าตั๋ว ค่าเดินทาง และเวลาที่ใช้ไป
หนังยังมีข้อบกพร่องที่เป็นเรื่องรายละเอียดอยู่บ้าง การแสดงของนักแสดงบางคนยังไม่ดีพอ เสียงพูดที่เดี๋ยวดังเดี๋ยวค่อย มุมกล้อง ความต่อเนื่อง การตัดต่อ การดำเนินเรื่อง ความสมเหตุสมผล ฯลฯ แต่นั่นก็เป็นแค่ส่วนรายละเอียด
แต่ส่วนสำคัญที่ทำให้รู้สึกอยากไปดูหนังเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็คือ "อารมณ์ของหนัง"
บางคนบอกว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังดราม่า รักไม่สมหวัง จบเศร้า ดูแล้วจิตตก บางคนถึงกับเดินน้ำตาไหลออกมาจากโรง แล้วยังมานั่งร้องไห้ต่อข้างนอก กลับบ้านก็ยังไปนอนคิดถึงฉากในหนังแล้วร้องไห้อีก (อ่านจากที่เขาโพสต์กันในเพจหนัง)
แต่ผมไม่รู้สึกอย่างนั้นนะ ผมไม่รู้สึกว่านี่เป็นหนังดราม่า ไม่ใช่หนังเศร้า
แต่นี่เป็นหนังรักที่อบอุ่นมาก
จากคนไม่รู้จักกันสองคน มาทำความรู้จักกัน - เรียนรู้ - เปิดใจ - ยอมรับ - ดูแล - ห่วงใย - เสียสละ - เก็บไว้ในความทรงจำ
ถึงแม้สุดท้ายจะไม่สมหวัง แต่ก็ยังรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
ในหนังมีอยู่ฉากหนึ่งที่ผมประทับใจมาก ทำให้ผมรู้สึกว่า
นี่แหล่ะ ความรักที่แท้จริง
นี่แหล่ะ ความรักที่บริสุทธิ์
นี่แหล่ะ ความรักที่ใครต่อใครต้องการจะมี
ฉากที่ว่านี้คือ ฉากที่ไปเที่ยวน้ำตก
ตอนที่กอล์ฟเข้ามาในห้องแล้วเห็นว่าแบงค์หลับไปแล้ว แล้วกอล์ฟดึงผ้าห่มมาห่มให้แบงค์
หนังใส่อารมณ์และความรู้สึกในฉากนี้ได้ดีมากๆ
พี่ชายค่อยๆ ดึงผ้ามาห่มให้ กลัวน้องชายจะสะดุ้งตื่น
ห่มให้แล้วก็ยังจัดผ้าห่มให้มิดชิดอีก กลัวน้องจะหนาว
ค่อยๆ ลุกขึ้นไปปิดไฟเงียบๆ แล้วล้มตัวลงนอนกอดเบาๆ
เป็นฉากสั้นๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกจุกและตื้นตันจนน้ำตาคลอได้ทุกครั้งที่ถึงฉากนี้
แค่ห่มผ้าให้คนหลับแค่นี้ มันมีอะไรนักหนา
ก็เพราะว่า มันไม่ใช่แค่การห่มผ้าให้ แต่มันพิเศษกว่านั้น
เพราะมันคือ "การดูแล"
และมันยังพิเศษยิ่งขึ้น ตรงที่มันเป็นการดูแลโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
น้องชายหลับปุ๋ยไปแล้ว แต่พี่ชายยังคงดูแลน้อง โดยไม่ต้องสนใจว่าอีกฝ่ายจะรับรู้หรือเปล่าว่าได้ทำอะไรให้บ้าง
ผมว่านี่เป็นฉากที่แสดงให้เห็นถึงคำว่า "รักบริสุทธิ์" ที่หนังพูดถึงได้อย่างดีที่สุด อบอุ่นที่สุด และอิ่มเอมที่สุด
"รักคือการดูแลกันและกัน"
การกระทำที่ดูเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างการห่มผ้าให้ในขณะที่อีกคนหลับแล้ว ผมว่ามันแสดงถึงความรักได้ดีกว่าการทำหน้าที่คนรักโดยการซื้อของให้ พาไปกินไปเที่ยว พาไปดูหนังเสียอีก (แต่แน่นอนว่ายังไม่เท่ากับการเสียสละร่างกายตัวเองให้)
เชื่อว่าคนที่ไปดูหนังเรื่องนี้ หลายคนคงจะติดใจกับฉากกุ๊กกิ๊กสวีทหวานของกอล์ฟและแบงค์ในช่วงครึ่งแรกของหนัง และเสียน้ำตาไปกับเรื่องร้ายเรื่องเศร้าในช่วงครึ่งหลัง และส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงหนังเรื่องนี้ก็มักจะพูดถึงอารมณ์เศร้าของหนัง
แต่ก็ไม่อยากให้พลาดความรู้สึกอบอุ่นใจในฉากสั้นๆ ที่เหมือนจะไม่สลักสำคัญในตอนกลางเรื่องฉากนี้ไปนะครับ
ลองนึกภาพว่า ถ้ามีใครมาดูแลเราอย่างนี้ ทนุถนอมเราอย่างนี้ มันจะน่าอบอุ่นใจเพียงใด มันแสดงว่าคนคนนั้นเขารักเราได้อย่างไร
เพราะ "รักคือการดูแลกันและกัน" ครับ
ขอขอบคุณ "พี่ชาย | My Bromance" ที่ทำให้ได้รู้สึกถึงความอบอุ่นใจอย่างนี้
รักหนังเรื่องนี้จริงๆ