วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2557 04:00
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR
ในช่วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่สิ้นปี 2543 เป็นต้นมาจนถึงขณะนี้ ตลาดหุ้นไทยมีการพัฒนามาอย่างก้าวกระโดด ในเกือบทุกด้าน
เริ่มตั้งแต่ดัชนีปิดที่ประมาณ 269 จุดตอนสิ้นปี 2543 ได้ปรับขึ้นมาเป็นประมาณ 1,300 จุดเมื่อสิ้นปี 2556
หรือเติบโตขึ้นเกือบ 4 เท่า คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยปีละประมาณ 13% และถ้ารวมปันผลอีกปีละประมาณ 3% ก็จะเห็นว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 13 ปีที่ผ่านมานั้นให้ผลตอบแทนถึง 16% ต่อปีแบบทบต้น ถ้าเราลงทุนระยะยาวต่อเนื่องมาตลอดโดยถือกองทุนรวมอิงดัชนีตลาด เงิน 1 บาทจะกลายเป็นเงินเกือบ 7 บาท ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีและหาได้ยากมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงแรกตั้งแต่เปิดตลาดในช่วงต้นปี 2518 จนถึงสิ้นปี 2543 ที่ดัชนีปรับขึ้นน้อยมาก กล่าวคือ ในช่วงเวลา 26 ปี ดัชนีตลาดปรับขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละประมาณ 3.9% แบบทบต้น ดังนั้นต้องถือว่าในช่วงเวลา 13 ปีที่ผ่านมานั้น ดัชนีหุ้นไทยเติบโตขึ้นอย่าง ก้าวกระโดด และนี่ก็ตรงกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดของประเทศที่เกิดขึ้นในปี 2540
การฟื้นตัวหรือการเติบโตของตลาดหลักทรัพย์นั้น ไม่ได้เกิดเฉพาะกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น เพราะหลังจากภาวะวิกฤติและทุกอย่างเริ่มฟื้นตัวในปี 2544 สิ่งต่าง ๆ ในตลาดหุ้นก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ทุก ๆ อย่างกำลังดีขึ้นอย่าง ก้าวกระโดด ในความรู้สึกของผม
นักลงทุนที่เข้ามาหลังจากปี 2543 นั้น ผมคิดว่ามี Profile หรือมีคุณสมบัติหรือมีคุณลักษณะที่แตกต่างจากนักลงทุนที่ เล่นหุ้น อยู่ในตลาดก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ เพราะพวกเขากลายเป็น นักลงทุน ที่เน้นการเลือกซื้อหุ้นที่มี พื้นฐาน การดำเนินงานที่ดี หุ้นที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนหรือมีกำไรต่ำมีผลประกอบการไม่แน่นอน หุ้นมีการ ปั่น โดยนักลงทุน ขาใหญ่ ที่เคยเป็นหุ้น ยอดนิยม นั้น หมดความนิยมลงไปอย่างสิ้นเชิง นักลงทุนหน้าใหม่นั้น ไม่ใช่ นักเก็งกำไร ที่เข้ามาในตลาดหุ้นเพื่อที่จะ เสี่ยงโชค อีกต่อไป พวกเขาคือคนที่มีเงินเหลือเก็บที่ต้องการสร้างผลตอบแทนให้แก่เงินยามเกษียณ พวกเขาคิดว่าการฝากเงินในสถาบันการเงินที่ ปลอดภัย นั้น ไม่คุ้มค่า เพราะดอกเบี้ยที่ได้รับนั้นต่ำมาก ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่เคยสูงกว่า 10% ต่อปีก่อนวิกฤติลดลงมาเรื่อยๆ เหลือ 6% ในปี 2542 4% ในปี 2543 3.5% ในปี 2544 และหลังจากนั้นดอกเบี้ยก็ต่ำกว่า 3% มาเกือบทุกปีในช่วงเวลา 13 ปี
นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย รุ่นใหม่ นั้น จำนวนมากเป็นคนหนุ่มสาวที่ กินเงินเดือนในบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่ พวกเขาเป็นคนที่มีการศึกษาสูงและมีความคิดที่ดูเหมือนว่าจะแตกต่างกับคนรุ่นก่อน พวกเขาเป็นคน Genะ X ที่มีความคิด เสรี กล้ารับความคิดใหม่ ๆ ในทุกด้านของสังคม พวกเขาเชื่อว่าหนทางแห่งความมั่งคั่งนั้นมีมากมายและมันมักจะมาจากความคิดสร้างสรรค์และ-การลงทุน และพวกเขาก็ค้นพบว่าตลาดหุ้นนั้น คือแหล่งการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูงและเหมาะกับพวกเขาที่สุด นักลงทุนรุ่นใหม่เลิกพูดว่าตนเอง เล่นหุ้น แต่เป็น นักลงทุน คนที่ทุ่มเทและศึกษาการลงทุนเลือกแนวทางการลงทุนใหม่ที่เรียกว่า Value Investment ที่เพิ่งถูกนำมาเผยแพร่ในตลาดหุ้นไทยหลังวิกฤติตลาดหุ้นเป็นปรัชญาการลงทุนใหม่ VI กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโดดเด่นของการลงทุน คุณภาพของนักลงทุนส่วนบุคคลในตลาดหุ้นไทยโตก้าวกระโดดทั้งปริมาณและคุณภาพ
บริษัทจดทะเบียนก่อนปี 2544 นั้น ที่มีขนาดใหญ่ดูเหมือนว่าจะมีแต่หุ้นธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก หุ้นกลุ่มใหญ่ที่มีอยู่ก็มักจะเป็นบริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการที่มีลักษณะของโภคภัณฑ์ เช่น บริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอื่น ๆ ที่มีรายได้และกำไรที่ไม่แน่นอน เรียกว่าเป็นกิจการที่มี คุณภาพต่ำ และเหมาะสำหรับ เก็งกำไร เท่านั้น แต่หลังจากการเข้าตลาดของหุ้น ปตท. ในปี 2546 ก็ดูเหมือนว่าคุณภาพของบจ.ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป หุ้นจดทะเบียนขนาดใหญ่ของไทยเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น
ไม่เพียงแต่ขนาดและคุณภาพของกิจการเท่านั้นที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างโดดเด่น Corporate Governance หรือบรรษัทภิบาลของบจ.ไทย ก็มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่าง ผิดหูผิดตา ความโปร่งใสของผู้บริหารหรือเจ้าของบริษัทโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่นั้นดีขึ้นมาก บริษัทขนาดกลางและแม้แต่บริษัทขนาดเล็กก็มีเรื่อง ฉาวโฉ่ น้อยลง กรณีของการ ปั่นหุ้น ของผู้บริหารก็ลดลงไปมาก ว่าที่จริง CG ของตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ ได้รับการยกย่องว่าดีระดับต้น ๆ ของเอเชีย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอย่างจีน ที่ยังมีปัญหามากจนนักลงทุนต่างชาติต่างก็ยังไม่สบายใจนักในการลงทุนในหุ้นจีน โดยเฉพาะในบริษัทที่เจ้าของยังเป็นเอกชน ดังนั้น พูดโดยรวมแล้วก็ต้องบอกว่า คุณภาพของบจ.ไทย เติบโตแบบ ก้าวกระโดด ในช่วง 13 ปีหลัง
เรื่องสุดท้ายที่สำคัญก็คือ การหาข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลสำหรับนักลงทุน เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีการพัฒนาไปมากหลังวิกฤติเศรษฐกิจ เริ่มตั้งแต่เวบไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ที่มีการเผยแพร่ข้อมูลทำให้สามารถดูและวิเคราะห์ได้อย่างสะดวกย้อนหลังไป 4-5 ปี รวมถึงข้อมูลรายละเอียดอื่น ๆ ที่นักลงทุนสามารถหาเพิ่มเติมได้ทั้งจากเวบของตลาดและเวบของ ก.ล.ต. ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนบุคคลทั่วไป สามารถเข้ามาศึกษาได้อย่างสะดวกโดยเฉพาะใน ข้อมูลพื้นฐาน ที่จำเป็นในการลงทุน
นอกจากนั้น ตลาดหุ้นไทยยังได้สร้างโปรแกรมประจำที่เปิดโอกาสให้ผู้บริหารบจ.มาพบกับนักลงทุนที่เรียกว่า Opportunity Day ซึ่งทำให้นักลงทุนรับรู้ข้อมูลในรายละเอียดของบริษัท เข้าใจกลยุทธ์การดำเนินงานและรู้จักกับผู้บริหารซึ่งเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อการลงทุนในแบบที่ถูกต้องเท่าที่รู้ ยังไม่เห็นมีตลาดหุ้นที่ไหนในเอเชียที่จะเป็นเพื่อนกับนักลงทุนส่วนบุคคลขนาดนี้
การให้ข้อมูลความรู้ในบจ.และความรู้ทั่วๆ ไปของตลาดทุนในบ้านเรายังขยายไปถึงสื่อต่างๆ โดยเฉพาะทางทีวีที่เรามีช่องที่เน้นการลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรงอย่างช่อง Money Channel ของตลาดหลักทรัพย์ และยังมีทีวีช่องอื่น ๆ ที่เน้นการลงทุนค่อนข้างมากอย่างกรุงเทพธุรกิจทีวี สิ่งต่างๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วก็เกิดขึ้นหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา และผมคิดว่านี่เป็นการเติบโตแบบ ก้าวกระโดด ของเรื่องข้อมูลข่าวสารในการลงทุนของตลาดหุ้นไทย
ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ ในช่วง 13 ปีที่ผ่านมานั้น ตลาดหุ้นไทยได้พัฒนาและเติบโตขึ้นหลายๆ ด้านที่จำเป็นต่อการลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อย มันทำให้นักลงทุนค่อนข้างที่จะสบายใจในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเทียบกับตลาดอื่นๆ อีกหลายตลาดที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจพอๆ กัน และนี่ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมยังยึดกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแม้ว่าราคาหุ้นอาจจะแพงกว่าหุ้นในประเทศอื่น ๆ โดยเปรียบเทียบในขณะนี้
ก้าวกระโดดของตลาดหุ้นไทย
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR
ในช่วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่สิ้นปี 2543 เป็นต้นมาจนถึงขณะนี้ ตลาดหุ้นไทยมีการพัฒนามาอย่างก้าวกระโดด ในเกือบทุกด้าน
เริ่มตั้งแต่ดัชนีปิดที่ประมาณ 269 จุดตอนสิ้นปี 2543 ได้ปรับขึ้นมาเป็นประมาณ 1,300 จุดเมื่อสิ้นปี 2556
หรือเติบโตขึ้นเกือบ 4 เท่า คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยปีละประมาณ 13% และถ้ารวมปันผลอีกปีละประมาณ 3% ก็จะเห็นว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 13 ปีที่ผ่านมานั้นให้ผลตอบแทนถึง 16% ต่อปีแบบทบต้น ถ้าเราลงทุนระยะยาวต่อเนื่องมาตลอดโดยถือกองทุนรวมอิงดัชนีตลาด เงิน 1 บาทจะกลายเป็นเงินเกือบ 7 บาท ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่ดีและหาได้ยากมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงแรกตั้งแต่เปิดตลาดในช่วงต้นปี 2518 จนถึงสิ้นปี 2543 ที่ดัชนีปรับขึ้นน้อยมาก กล่าวคือ ในช่วงเวลา 26 ปี ดัชนีตลาดปรับขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละประมาณ 3.9% แบบทบต้น ดังนั้นต้องถือว่าในช่วงเวลา 13 ปีที่ผ่านมานั้น ดัชนีหุ้นไทยเติบโตขึ้นอย่าง ก้าวกระโดด และนี่ก็ตรงกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่เลวร้ายที่สุดของประเทศที่เกิดขึ้นในปี 2540
การฟื้นตัวหรือการเติบโตของตลาดหลักทรัพย์นั้น ไม่ได้เกิดเฉพาะกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น เพราะหลังจากภาวะวิกฤติและทุกอย่างเริ่มฟื้นตัวในปี 2544 สิ่งต่าง ๆ ในตลาดหุ้นก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ทุก ๆ อย่างกำลังดีขึ้นอย่าง ก้าวกระโดด ในความรู้สึกของผม
นักลงทุนที่เข้ามาหลังจากปี 2543 นั้น ผมคิดว่ามี Profile หรือมีคุณสมบัติหรือมีคุณลักษณะที่แตกต่างจากนักลงทุนที่ เล่นหุ้น อยู่ในตลาดก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ เพราะพวกเขากลายเป็น นักลงทุน ที่เน้นการเลือกซื้อหุ้นที่มี พื้นฐาน การดำเนินงานที่ดี หุ้นที่มีผลการดำเนินงานขาดทุนหรือมีกำไรต่ำมีผลประกอบการไม่แน่นอน หุ้นมีการ ปั่น โดยนักลงทุน ขาใหญ่ ที่เคยเป็นหุ้น ยอดนิยม นั้น หมดความนิยมลงไปอย่างสิ้นเชิง นักลงทุนหน้าใหม่นั้น ไม่ใช่ นักเก็งกำไร ที่เข้ามาในตลาดหุ้นเพื่อที่จะ เสี่ยงโชค อีกต่อไป พวกเขาคือคนที่มีเงินเหลือเก็บที่ต้องการสร้างผลตอบแทนให้แก่เงินยามเกษียณ พวกเขาคิดว่าการฝากเงินในสถาบันการเงินที่ ปลอดภัย นั้น ไม่คุ้มค่า เพราะดอกเบี้ยที่ได้รับนั้นต่ำมาก ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่เคยสูงกว่า 10% ต่อปีก่อนวิกฤติลดลงมาเรื่อยๆ เหลือ 6% ในปี 2542 4% ในปี 2543 3.5% ในปี 2544 และหลังจากนั้นดอกเบี้ยก็ต่ำกว่า 3% มาเกือบทุกปีในช่วงเวลา 13 ปี
นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย รุ่นใหม่ นั้น จำนวนมากเป็นคนหนุ่มสาวที่ กินเงินเดือนในบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่ พวกเขาเป็นคนที่มีการศึกษาสูงและมีความคิดที่ดูเหมือนว่าจะแตกต่างกับคนรุ่นก่อน พวกเขาเป็นคน Genะ X ที่มีความคิด เสรี กล้ารับความคิดใหม่ ๆ ในทุกด้านของสังคม พวกเขาเชื่อว่าหนทางแห่งความมั่งคั่งนั้นมีมากมายและมันมักจะมาจากความคิดสร้างสรรค์และ-การลงทุน และพวกเขาก็ค้นพบว่าตลาดหุ้นนั้น คือแหล่งการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูงและเหมาะกับพวกเขาที่สุด นักลงทุนรุ่นใหม่เลิกพูดว่าตนเอง เล่นหุ้น แต่เป็น นักลงทุน คนที่ทุ่มเทและศึกษาการลงทุนเลือกแนวทางการลงทุนใหม่ที่เรียกว่า Value Investment ที่เพิ่งถูกนำมาเผยแพร่ในตลาดหุ้นไทยหลังวิกฤติตลาดหุ้นเป็นปรัชญาการลงทุนใหม่ VI กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโดดเด่นของการลงทุน คุณภาพของนักลงทุนส่วนบุคคลในตลาดหุ้นไทยโตก้าวกระโดดทั้งปริมาณและคุณภาพ
บริษัทจดทะเบียนก่อนปี 2544 นั้น ที่มีขนาดใหญ่ดูเหมือนว่าจะมีแต่หุ้นธนาคารพาณิชย์เป็นหลัก หุ้นกลุ่มใหญ่ที่มีอยู่ก็มักจะเป็นบริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการที่มีลักษณะของโภคภัณฑ์ เช่น บริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอื่น ๆ ที่มีรายได้และกำไรที่ไม่แน่นอน เรียกว่าเป็นกิจการที่มี คุณภาพต่ำ และเหมาะสำหรับ เก็งกำไร เท่านั้น แต่หลังจากการเข้าตลาดของหุ้น ปตท. ในปี 2546 ก็ดูเหมือนว่าคุณภาพของบจ.ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป หุ้นจดทะเบียนขนาดใหญ่ของไทยเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น
ไม่เพียงแต่ขนาดและคุณภาพของกิจการเท่านั้นที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างโดดเด่น Corporate Governance หรือบรรษัทภิบาลของบจ.ไทย ก็มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่าง ผิดหูผิดตา ความโปร่งใสของผู้บริหารหรือเจ้าของบริษัทโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่นั้นดีขึ้นมาก บริษัทขนาดกลางและแม้แต่บริษัทขนาดเล็กก็มีเรื่อง ฉาวโฉ่ น้อยลง กรณีของการ ปั่นหุ้น ของผู้บริหารก็ลดลงไปมาก ว่าที่จริง CG ของตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ ได้รับการยกย่องว่าดีระดับต้น ๆ ของเอเชีย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอย่างจีน ที่ยังมีปัญหามากจนนักลงทุนต่างชาติต่างก็ยังไม่สบายใจนักในการลงทุนในหุ้นจีน โดยเฉพาะในบริษัทที่เจ้าของยังเป็นเอกชน ดังนั้น พูดโดยรวมแล้วก็ต้องบอกว่า คุณภาพของบจ.ไทย เติบโตแบบ ก้าวกระโดด ในช่วง 13 ปีหลัง
เรื่องสุดท้ายที่สำคัญก็คือ การหาข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลสำหรับนักลงทุน เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีการพัฒนาไปมากหลังวิกฤติเศรษฐกิจ เริ่มตั้งแต่เวบไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ที่มีการเผยแพร่ข้อมูลทำให้สามารถดูและวิเคราะห์ได้อย่างสะดวกย้อนหลังไป 4-5 ปี รวมถึงข้อมูลรายละเอียดอื่น ๆ ที่นักลงทุนสามารถหาเพิ่มเติมได้ทั้งจากเวบของตลาดและเวบของ ก.ล.ต. ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนบุคคลทั่วไป สามารถเข้ามาศึกษาได้อย่างสะดวกโดยเฉพาะใน ข้อมูลพื้นฐาน ที่จำเป็นในการลงทุน
นอกจากนั้น ตลาดหุ้นไทยยังได้สร้างโปรแกรมประจำที่เปิดโอกาสให้ผู้บริหารบจ.มาพบกับนักลงทุนที่เรียกว่า Opportunity Day ซึ่งทำให้นักลงทุนรับรู้ข้อมูลในรายละเอียดของบริษัท เข้าใจกลยุทธ์การดำเนินงานและรู้จักกับผู้บริหารซึ่งเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อการลงทุนในแบบที่ถูกต้องเท่าที่รู้ ยังไม่เห็นมีตลาดหุ้นที่ไหนในเอเชียที่จะเป็นเพื่อนกับนักลงทุนส่วนบุคคลขนาดนี้
การให้ข้อมูลความรู้ในบจ.และความรู้ทั่วๆ ไปของตลาดทุนในบ้านเรายังขยายไปถึงสื่อต่างๆ โดยเฉพาะทางทีวีที่เรามีช่องที่เน้นการลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรงอย่างช่อง Money Channel ของตลาดหลักทรัพย์ และยังมีทีวีช่องอื่น ๆ ที่เน้นการลงทุนค่อนข้างมากอย่างกรุงเทพธุรกิจทีวี สิ่งต่างๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วก็เกิดขึ้นหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา และผมคิดว่านี่เป็นการเติบโตแบบ ก้าวกระโดด ของเรื่องข้อมูลข่าวสารในการลงทุนของตลาดหุ้นไทย
ข้อสรุปสุดท้ายของผมก็คือ ในช่วง 13 ปีที่ผ่านมานั้น ตลาดหุ้นไทยได้พัฒนาและเติบโตขึ้นหลายๆ ด้านที่จำเป็นต่อการลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อย มันทำให้นักลงทุนค่อนข้างที่จะสบายใจในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเทียบกับตลาดอื่นๆ อีกหลายตลาดที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจพอๆ กัน และนี่ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมยังยึดกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแม้ว่าราคาหุ้นอาจจะแพงกว่าหุ้นในประเทศอื่น ๆ โดยเปรียบเทียบในขณะนี้