จดหมายถึง แกนนำ นปช.ทั่วประเทศ จากคนยุคตุลา

จดหมายถึง แกนนำ นปช.ทั่วประเทศ จากคนยุคตุลา
February 24, 2014 at 11:08am
24/02/2014
จดหมายฉบับนี้กว่าจะตัดสินใจเขียนได้ ข้าพเจ้าใช้เวลาคิดอยู่มากที่ผ่านมาเขียนงานด้านประวติศาสตร์การเมืองเพื่อเป็นวิยาทานให้คนที่เข้ามาอ่านได้รุ้ว่าเกิดอะไรบ้างในอดีตกับบ้านเรา แต่เที่ยวนี้เป็นจดหมายฉบับจริงร่อนถึงแกนนำ นปช.ทั่วประเทศแระเป็นเรื่องจริงในเนื้อหาที่เกิดกับข้าพเจ้า เป็นการบอกกล่าวถ่ายทอดความรุ้สึกและอาจเป็นข้อคิด เตือนสติ หรือแนวทางให้เพื่อนหรือแกนนำคิดไตร่ตรอง และอยากให้เพื่อนที่ข้าพเจ้าแท็กถึงช่วยแชร์ส่งให้ถึงแกนนำไม่ว่าระดับไหนเท่าที่รู้จัก ไม่มีภาพประกอบไม่มีคำบรรยาย ถ่ายทอดจากความรู้สึกผ่านคีย์บอร์ดพิมพ์แบบสดๆไม่มีการเตรียมสคริ้ป หรือการแก้ไข อาจมีพิมพ์ผิดหรือตกหล่นบ้าง แต่เจตนาเพื่อให้คนอ่านรับรู้ถึงความรู้สึกคนเขียนเป็นอย่างไร หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ดูการถ่ายทอดที่โคราช การระดมสมองแสดงความคิดเห็น แกนนำ นปช. ระดับภูมิภาคและส่วนกลางทั่วประเทศ หลายความคิดเห็นเป็นแนวทางที่ดีมาก และอีกหลายแนวทางที่เสนอ
ก็เป็นที่น่ากังวลและเป็นห่วงมาก หลายปีที่ผ่านมา มวลชนคนเสื้อแดงมีความอดทนมากมายขนาดไหน และหลายเรื่องคนเสื้อแดงก็รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร อันนนี้จะไม่พูดถึง การรวมตัวของแกนนำและคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งที่โคราช
หลายภาคส่วน จับจ้องมองดูอยู่ ฝ่ายที่เป็ปฏิป้กษ์กับรัฐบาลก็ดูท่าทีว่าคนเสื้อแดงและ นปช.จะเอายังไง
ฝ่ายที่สนับสนุน รัฐบาล ก็ดูว่า แกนนำส่วนกลางจะทำอะไรบ้าง การประชุมหารือในเรื่อง ยุทธศาสตร์ แทคติค ข้าพเจ้าทราบว่ามีการประชุมหารือ นอกรอบ ว่าจะทำอะไรบ้าง ไม่จำเป็นต้องเป็นที่เปิดเผย เรื่องนี้หลายคนรุ้ดี
การขึ้นเวทีและถ่ายทอดสด พูดและแสดงออกของแกนนำก็ถือว่าเป็นการแสดงออกวิธีหนึ่ง และก็เป็นยุทธวิธีหนึ่งของการต่สู้ การรวมตัวของระดับแกนนำครั้งนี้ จึงไม่เหมือนครั้งก่อนที่เสื้อแดงร่วมชุมนุม คนเสื้อแดงทุกๆคนและคนที่รักในประชาธิปไตย ก็ฝากหวังไว้การรวมตัวครั้งนี้ว่า ระดับแกนนำจะเอายังไง จะทำอะไร ให้เป็นรูปธรรม ที่เห็นจริง และจับต้องได้ แต่เฝ้าติดตามดูมาทั้งวัน ก็คงไม่แตกต่างอะไรมากนะ ความรึ้สึกของข้าพเจ้า ดูแร้วเหมือนการ พูด แบบไฮปาร์ค เหมือนทุกๆครั้งที่ผ่านมา การรวมตัวกันครั้งนี้ แกนนำส่วนกลาง น่าจะทำให้มองเห็นเป็นรูปธรรม
และทำเป็นพันธกิจว่าจะทำอะไรบ้างขณะถ่ายทอดสดบนเวที ให้มวลชนมีความเชื่อมั่นและให้ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ได้เห็น ถือว่าเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่ง ส่วนทางด้านเทคนิคและแทคติค คุยปรึกษาหารือกันภายในก็พอ แต่ข้าพเจ้าฟังแนวคิดของแกนนำทั่วประเทศ มีความกังวลและเป็นห่วงหลายข้อ และกลัวจะขยายแนวความคิดแบบนั้นไปไว เพราะกระแสสื่อสารบ้านเรา ไปไวมาก ข้อที่กังวลจะแบ่งเป็นกรอบดังนี้
***กรอปที่ 1.แนวความคิดที่ว่า ถ้าทนไม่ไหว อยู่ไม่ได้ ก็แบ่งประเทศ ไทยเหนือไทยใต้ไปเรย หรือยกกรุงเทพให้เขาไป ไม่อยากให้แกนนำหรือคนจำนวนหนึ่งคิดแบบนั้น และปลุกปั่นสร้างแนวคิดแบบนี้ขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ มันน่ากลัวมากๆ มันเจ็บปวดเอามาก ที่คนต้องถูกแบ่งแยก เราเคยมองถึงคนอื่นใหม ที่เขาเป็นคนไทยที่ไม่สนใจการเมือง คนทำมาหากิน หรือไทยเฉย ไทยอดทนทั้งหลาย ถ้ามีการแบ่งกันจริง ญาติพี่น้อง ครอบครัว คนรัก ที่ไม่สามารถขยับขยายด้วยเหตุผลของแต่ละคน มันเจ็บปวดมาก ครอบครัว ญาติ เพื่อนฝูง คนรัก อาจมีผลกระทบตามมา เท่ากับเราตอกลิ่มให้มันหนักว่าเก่า เราต้องเข้าใจก่อนว่า กรุงเทพมีคนหลายกลุ่ม มีหลายชนชั้น มีหลายอาชีพ มีพลเมืองดั้งเดิม มีพลเมืองใหม่ในชนบทที่ย้ายหลักปักฐาน ทำงานกรุงเทพ จนกลายเป็นพลเมืองใหม่ในคนระดับกลาง มีทั้งพลเมืองแฝง คนเหล่านี้ มีความเข้าใจการเมือง และไ่มเข้าใจการเมือง และไม่สนใจการเมืองเป็นจำนวนมาก
พลเมืองดั่งเดิมและพลเมืองใหม่ในกรุงเทพ มีความเชื่อในเรื่องสถาบันมาก ความเชื่อคนเราไม่สามารถบังคับได้
****ความเชื่อของคนเรา ตัวเราเชื่อเรียกว่าศรัทธา คนอื่นเชื่อเรียกว่างมงาย แค่เรามองคนละด้าน สิ่งที่คนออกมาเป่านกหวีด หรือเรียกร้องอะไรหลายเรื่อง นั่นก็คือความเชื่อของคนเรานั้น และถ้าเราเชื่อว่าคนเหล่านั้นทำอะไรไม่ถูก ทำผิด มาปิดสถานที่ต่าง ใช้กำลังข่มขู่ คุกคาม กลั่นแกล้งหลายๆอย่างๆถ้าพวกท่านได้เชื่อแร้วว่ามีคนโดนรังแก เจ้าหน้าที่ ข้าราชการ โดนบังคับ คนโดนข่มเหง ทั้งใจและกาย ในกรุงเทพ มีคนในเมืองหลวงจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับม็อบครั้งนี้ แต่ ไม่กล้าพูดไม่ได้ กลัวอันตราย เรยอยู่แบบจำทนต้องอยู่ ถ้าเราเชื่อเรื่องแบบนี้ว่ามีอยู่จริง ว่าคนโดนกดขี่ ข่มเหง โดนรังแก ประชาชนทั่วไปไม่มีความปลดภัยในทรัพย์สินและร่างกาย ถ้าเสื้อแดงและแกนนำบางคนมีแนวคิด จะแบ่งแผ่นดิน แบ่งประเทศ จัตตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น ย้ายเมืองหลวง ผมถามแกนนำหลายคนที่ความคิดแบบนี้ พวกคุณคิดได้ยังไง พวกคุณกำลังทอดทิ้งคนที่บริสทุธ์ คนที่อ่อนแอ คนที่ถูกย่ำยี.คนที่รักในระบอบประชาะิปไตย ให้เผชิญชะตากรรม ตามลำพัง......ไว้ในเมืองหลวงที่ไม่อยากย้ายถิ่นฐานไปไหน ให้เหมือนแบบเกาหลี เหนือ ใต้เหรอ ญาติ พี่น้อง คนรู้จัก ไม่ไปมาหาสู่กันได้ มีเพื่อนๆน้องๆหลายคน เคยชวนให้ย้ายไปต่อสู้กับพวกอนุรักษ์ระบอบเก่าที่ขอนแก่น และข้าพเจ้าก็ตอบปฏิเสธทุกครั้งที่ชวน ไม่ใช่เพราะไม่กล้าหรือกลัว ด้วยเหตุผล เพราะ..ข้าพเจ้าทิ้งคนให้ถูกรังแกในกรุงเทพไม่ได้
ในการต่อสู้ พวกคุณต้องสร้างความศรัทธาให้คนเชื่อ ต้องชนะใจ คนในเมืองหลวงจำนวนนึง ที่ไม่เอาเผ็ดการณ์ การต่อสุ้ของคนเสื้อแดงและนปช. อย่าคิดเอาแค่รัฐบาลเป็นธงอย่างเดียว แต่เรื่องมวลชนเป็นสิ่งสำคัญคือธงที่เราต้องปัก ถ้า นปช.คิดว่ามีมวลคนเสื้อแดงมาก และพร้อมลั่นกลองรบ พวกท่านต้องรุก ไม่ใช่ถอยร่น หรือคุมเชิง ต้องมาคุ้มครองคนที่โดนรังแก ปกป้องสถานที่ สร้างความชอบธรรม อาสาเป็นผุ้ช่วยเจ้าหน้าที่ ในเรื่องการจัดการและ ธุรการ บำเพ็ญประโยชน์ ทำความเข้าใจ ชนะใจคนในกรุงเทพ ในเรื่องต่างๆ ไม่ยุยงส่งเสริมเพิ่มความเกลียดชัง อย่าประชดทำแบบเดียวกับคนที่เราคิดว่าทำผิดและจะไปทำเหมือนกัน เราต้องกฎหมายและกติกาสร้างความชอบธรรม ไม่ใช่ว่าพวกนั้นทำได้เราก็ทำได้ ถ้ามีแนวคิดแบบนี้ คนอื่นที่ไม่รุ้เรื่องจะเป็นอย่างไร การชนะใจคนถือว่าเป็นสิ่งที่ทรงพลัง ทำและก็ทำ หมั่นทำ ทุกๆๆวันไป หลายคน หลายๆคนบอกว่ามันยากที่จะทำได้ ถึงจะยากแค่ไหนแต่ไม่ใช่เราทำไม่ได้ ขอให้เราศรัทธาในสิ่งที่เราเชื่อ
ข้าพเจ้าไม่เคยใส่เสื้อแดงสักครั้งเดียว แต่ที่บ้านมีเสื้อแดงทุกรุ่นทุกสมัย แม่เอามาฝากให้ทุกครั้งที่มาหา และไม่เคยทราบมาก่อนแม่ข้าพเจ้าเป็นเสื้อแดงและสมาชิกพรรคไทรักไทเก่า และเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงของข้าพเจ้า ที่เกิดทันนยุคตุลา ให้เป็นข้อคิดเตือนสติ กับคนที่เข้ามาอ่าน เคยเล่าประสพการณ์ชีวิตจริงเรื่องนี้ฟังคนเดียวกับน้องสาวเสื้อแดงที่นับถือกันหลายปีมาแร้ว ขออ้างอิงบุคคล @ดอกไม้แดง ศรัทธาประฃาธิปไตย
ครอบครัวและข้าพเจ้าเป็นคนที่เกิดทันเหตุการณ์ในยุค ตุลา พ่อแม่พื้นเพเป็นลูกชาวนาขนานแท้ ข้าพเจ้าเกิดในอำเภอนึงที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บ้านเดียวกับท่านปรีดี พนมยงค์ ในรุ่นตายายจึงรู้จักกันดี
กับญาติของท่าน ปรีดี ที่อยุธยา ด้วยบิดารับราชการในสมัยนั้นย้ายเข้ามาประจำกรุงเทพ มารดาและข้าพเจ้าก็ต้องย้ายตามเข้ามาตั้งแต่ข้าพเจ้ายังเล็ก มาปักหลักฐานในแถวอโศก ถิ่นสุมวิท สมัยก่อนการเดินทางก็สะดวกรถไม่เยอะเหมือนปัจจุบัน รถเมล์ก็จะมีรถเมล์ขาว ของนายเลิศ เจ้าเดียวในสมัยนั้น ในช่วงสงครามเวียดนาม ไอ้กัน(ทหารอเมริกัน จีไอ) เอาเงินมาแจกในย่านสุขุมวิทกันเยอะ ก่อนไปทำสงครามที่เวียดนาม และบิดาของข้าพเจ้าก็ไปช่วยรบที่ประเทศลาวในสงครามเวียดนาม เรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่ทราบรายละเอียดเรื่องบิดาข้าพเจ้ามากเท่าไร ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ตุลา 2516 ตอนนั้น ข้าเจ้าก็รู้เรื่อแร้ว อายุได้ 7 ขวบ ที่บ้านข้าเพเจ้าดีหน่อยกว่าหลายบ้าน เพราะที่บ้านที่โทรทัศน์ สมัยนั้น จะเป็นขาวดำ บ้านไหนมีทีวี บ้านอื่นก็จะมาขอดูด้วยซึ่งเป็นของเห่อมากในสมัยนั้น ในช่วงเกิดเหตุการณ์ตุลา 2516 จะมีการถ่ายทอดการปราบปรามด้วย จากสื้อของรัฐ เห็นนักศึกษาออกมาเดินขบวนถ่ายทอกออกทีวี เห็นแม้กระทั่งช่วงนักศึกษาว่ายน้ำข้ามไปหลบในวังสวนจตรดา
แต่ก็เป็นรายงานฝ่ายเดียว โฆษกดังสมัยนั้นมีสองคน ที่จำได้ ***อีกคนนึงจำชื่อได้ ธรรมรัตน์ นาคสุรยะ บิดา ของ นางเหมียว ปวันรัตน์ ที่เป็นกระแสโดนเสื้อแดงด่าทุกวันนี้ ธรรมรัตน์ก็เปรียบเหมือน กนก ผู้สื่อข่าว เนชั่นทุกวันนี้ ช่วงนั้นข้าพเจ้าก็แค่ดูผ่าน ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เพราะยังเด็ก จนมาถึงช่วงเกิดเหตุการ์ณ ตุลาคม 2519 ล้อมปราบนักศึกษาในธรรศาตร์ ครั้งนี้มีผลกระทบต่อครอบครัวข้าพเจ้าโดยตรง แม่ของข้าพเจ้าต้องเสียลูกชายซึ่งเป็นพี่ชายของข้าพเจ้า ที่เรียนอยู่ในธรรมศาตร์ วันที่ข้าพเจ้าจำได้จนทุกวันนี้ หลังจากเหตุการณ์การณ์สงบ แม่กับข้าพเจ้า ตอนนั้น อายุ 9 ปีแร้ว ได้ออกตามหาพี่ชายในรั้วธรรมศาสตร์และไปทุกที่ ทั้งศิริราชา ช่วงเดินทางไป ถ.สุขมวิท แทบจะไม่มีรถวิ่ง ต้องเดินด้วยเท้าจากอโศก ไปมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สภาพระหว่างที่เดินทางไปนั้น บ้านเมืองเสียหาย เห็นรอยถูกเผาถูกทำลาย รอยกระสุนปืน ยิ่งสะท้อนความรุ้สึก มารดาของข้าพเจ้าได้ดี ยิ่งใกล้ธรรมศาสตร์ มากเท่าไรยิ่งเห็นความเสียหายมากขึ้นเท่านั้น น้ำตาของมารดาของข้าพเจ้ายิ่งมากขึ้นเท่านั้น ในสถานที่ล้อมยิงนักศึกษา เจ้าหน้าที่กันบริเวณไม่ให้เข้าไป แต่รับความรุ้สึกได้ ถึงความน่ากลัวโหดร้าย และกลิ่นคาวเลือด มันยังคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ลอยตามลมจนเข้าจมูก ตามหาอยู่หลายเดือน จนทุกวันนี้ แม่ของข้าพเจ้า ยังไม่ได้พี่ชายกลับบ้านเรย และจนเป็นสาเหตุบิดาข้าพเจ้าออกจากราชการ และต้องเปลี่ยนนามสกุลอยู่หลายครั้ง เจ็บปวดมากนะครับ ที่ถูกตราหน้าว่าพวกล้มล้าง พวกคอมมิวนิสต์ ผมขอถามพวกแกนนำทั้งหลาย
ทำไมคนไทยจึงปล่อยให้ความว่างเปล่าเกิดกับเหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ โดยไม่ชำระประวัติศาสตร์ ทำไมคนไทยจำนวนหนึ่งจึงถูกฆ่าอย่างโหด ยิ้มในรั้วธรรมศาสตร์ และบนท้องสนามหลวง ทำไม ทำไม และทำไม น่าประหลาดใจที่เหตุการณ์ร่วมสมัยเช่นนี้ไม่มีความจริงปรากฏ เมื่อความจริงไม่ชัดเจน ความลวงและข่าวลือก็จึงยังปกคลุมอยู่ตลอดมา เราเห็นแค่ภาพปัญญาชนและประชาชนถูกฆ่า ถูกเผา เราเห็นคนไทยฆ่ากันเอง เราเห็นศพถูกแขวนคอแล้วยังถูกทำร้ายอย่างโกรธแค้น เราเห็นคนที่ถูกทำร้ายจนหมดสติถูกเผา เราเห็นนิสิต นักศึกษาผู้หญิง ถูกบังคับให้ถอดเสื้อออกแล้วเอามือประสานไว้หลังคอ แล้วถูกบังคับให้นอนลงกับพื้นสนามหญ้าในธรรมศาสตร์ เราเห็นนักศึกษาชายคณะรัฐศาสตร์รายหนึ่งถูกทำร้ายจนหมดสติแล้วถูกเชือกลากคอ ลากไปบนถนน เราเห็นการใช้อาวุธสงครามสารพัดชนิดระดมยิงเข้าไปในรั้วธรรมศาสตร์ ทำไมคนไทยจึงทำกันเองได้รุนแรงถึงเพียงนี้ เราไม่รักกันแล้วหรือ เราเกลียดกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ผ่านเลยไป แต่ดูเสมือนคนไทยบางกลุ่มยังไม่สำเหนียกกับบทเรียนประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายในครั้งนั้น ผู้เสียชีวิตก็เสียชีวิตไปแล้ว หลายคนอาจจะลืมเขาเหล่านั้นไปแล้ว ส่วนคนบางกลุ่มที่บังเอิญเข้าไปอยู่ร่วมในเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่ทว่ายังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน บางคนก็ฝังใจกับเหตุการณ์ครั้งนั้น แล้วผูกใจเจ็บด้วยอคติ บางคนก็ผูกโยงเหตุการณ์ตรั้งนั้นเข้ากับสถาบันพระมหากษัตริย์โดยไม่มีหลักฐาน แต่อาศัยเพียงความเชื่อตามมายาคติส่วนบุคคล บางคนอ้างความเป็นคนเดือนตุลาฯ เข้าไปหากินกับนักธุรกิจการเมือง บางคนยอมสยบอยู่ใต้อุ้งเท้าของนักธุรกิจการเมือง บางคนผันตัวไปเป็นนักการเมืองที่พัวพันกับการโกงบ้านกินเมือง บางคนก็อ้างความเป็นคนเดือนตุลาฯ หากินในรูปแบบน่าสมเพช บางคนสะสมโภคทรัพย์จนมั่งคั่งอู้ฟู่ยิ่งกว่านายทุนในยุคเดือนตุลาฯ หลายร้อยหลายพันเท่า
อ่านต่อ http://dangdd.com/threads/%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B3-%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%8A-%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%9B%E
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่