บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อตอบคำถามที่ตนเองได้คิดขึ้นในวันหนึ่ง หลังจากได้ยินหลายๆ กระแสกล่าวว่า เบื่อหน่ายการเมือง ไม่อยากเป็นเครื่องมือให้นักการเมืองในการขับเคี่ยวต่อสู้กัน อยากอยู่อย่างสงบ ไม่ต้องยุ่งกับการเมืองไม่ได้หรือ
ขอออกตัวไว้ก่อนว่าบทความนี้ เป็นบทความที่ผู้เขียนคิด ไตร่ตรองและวิเคราะห์ เพื่อตอบคำถามของตนเองต่อหลากหลายกระแสที่ได้รับฟัง ไม่มีความตั้งใจตำหนิติเตียนความคิดใดๆ ของฝ่ายใดนะครับ
การเมืองการปกครองเป็นสิ่งที่แทรกอยู่ในทุกสังคม ตราบใดที่เรายังอยู่ร่วมกันเป็นสังคม เราไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องพบเจอหรือประสบกับมัน ที่สำคัญการเมืองหลายเรื่องกลับแทรกอยู่ในชีวิตประจำวันของเราอย่างแยบคาย โดยที่หลายครั้งเราเองก็ไม่รู้ตัว
เพราะฉะนั้น การต้องการหลีกหนีจากการเมือง ไม่ยุ่งเกี่ยว เป็นไปค่อนข้างยากในสังคม ลองนั่งคิดก็เห็นจะมีเพียง 2 วิธีเท่านั้นก็คือการแยกตัวไปอยู่สถานที่ใดที่หนึ่งให้พ้นจากสังคม ดำรงตนอยู่ตามลำพัง หรืออีกอย่างก็คือพัฒนาจิต สร้างจิตตนครอันเป็นสถานที่ซึ่งพ้นจากวิถีแห่งโลก (ซึ่งวิธีที่ 2 นี้ยากกว่าวิธีแรกที่หลายคนอาจคิดว่าเป็นไปไม่ได้เสียอีก แต่ถ้าทำได้ นับว่าเป็นสิ่งที่สบายและรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่การหลอกตัวเองหรือหนีความจริงอย่างวิธีแรก)
ทีนี้พอมามองว่า แล้วการเมืองการปกครองแทรกอยู่ในชีวิตในสังคมอย่างไรล่ะ ก็อย่างที่บอกครับว่า เมื่อสิ่งมีชีวิตรวมตัวกันเป็นสังคม มีปฏิสัมพันธ์กัน การเมืองการปกครองย่อมเกิดขึ้น นับจากหน่วยย่อยสุดคือครอบครัวก็มีเรื่องของการเมืองการปกครองเสียแล้ว เพียงแต่หลายคนอาจไม่ได้มองว่ามันเป็นก็ได้ แต่ที่จริงมันก็คือการเมืองการปกครอง
การเมืองการปกครองแทรกอยู่ในวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ปัจจัย 4 การจับจ่ายใช้สอย ทุกสิ่งอย่างที่มีมนุษย์ไปเกี่ยวข้อง ล้วนมีการเมืองแทรกอยู่ และแน่นอนว่าการเมืองการปกครองย่อมมีฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน หากการเมืองการปกครองนั้น ไม่เป็นที่พอใจของกลุ่มสิ่งมีชีวิตกลุ่มใด ก็ย่อมเกิดการปฏิเสธ ต่อต้าน สุดท้ายก็คือการพยายามปรับเปลี่ยน เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของผู้อยู่ใต้ระบบการเมืองการปกครองนั้นๆ ส่วนสิ่งมีชีวิตใดที่ชื่นชอบ ยอมรับได้ หรือไม่ได้รับ ไม่เล็งเห็น ผลกระทบจากการเมืองการปกครองในระบบที่มีอยู่ ก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่จะต้องเดือดร้อนหรือต้องต่อต้าน
ฉะนั้นแล้ว เมื่อยังอยู่เป็นสังคม เราไม่อาจหนีพ้นจากการเมืองการปกครองไปได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า การรับรู้ของเราจะเป็นไปในรูปแบบใดเท่านั้นเอง เห็นชอบ ต่อต้าน ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะยอมรับโดยตรง ปฏิเสธภายนอก ปฏิเสธภายใน และท้ายที่สุด แม้จะบอกว่าไม่อยากเป็นเครื่องมือให้นักการเมืองขับเคี่ยวต่อสู้กับ เราก็ไม่อาจบอกได้ว่า การที่เราปลีกตัวออกจากศึกหมากรุกบนกระดาน จะเป็นการพ้นจากการถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการเมือง
อย่างไรก็ตาม นักการเมืองที่ต่างขับเคี่ยวกันเอง ที่เราคิดว่าเป็นผู้อยู่เหนือเกมการเมือง ก็ยังตกอยู่ในอำนาจการเมืองนั้นอยู่ดี เพียงแต่นั่งอยู่ในฐานะผู้เดินหมากรุกบนกระดาน และอย่างที่บอกครับ การพ้นจากเกมกระดานที่หลายคนต้องการหรือปรารถนา ทางเดียวคือเดินออกจากการเล่นและชม ไม่เป็นทั้งหมาก ไม่เป็นทั้งผู้เล่น หรือแม้แต่ผู้ชม
แต่ก็เป็นคำถามที่ต้องถามต่อว่า จะมีสักกี่คนที่เดินออกจากเกมหมากรุกที่กำลังเล่นกันอย่างดุเดือดและเมามันนั้นได้ เพราะหนทางเดินออกมาก็มีแค่เพียง 2 ทาง คือหลบไปใช้ชีวิตคนเดียว (ผมนับรวมคนไข้จิตเวชที่เขามีโลกส่วนตัวของเขาด้วยนะครับ แต่แน่นอนว่าโลกส่วนตัวของคนไข้บางคนไม่ได้สวยงามนัก) หรืออย่างที่สอง คือพัฒนาจิตให้รู้แจ้งเห็นจริงในโลก
ถ้าทำได้ดังนี้ วิธีแรกก็ทำให้การเมืองเป็นเรื่องไกลตัว แต่ถ้าวิธีที่ 2 การเมืองจะเป็นเรื่องไกลใจ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เลือกจะเล่น ดู เดินในเกมหมากรุกก็ไม่ผิดนะครับ ทุกคนต่างมีความคิดเห็นและหนทางเดินของตนเอง แต่ในบทความนี้เป็นเรื่องของการพูดถึง
ความแนบแน่นระหว่างการเมืองกับชีวิต
ป.ล. แอบทิ้งท้ายว่า มันก็เป็นปมความคิดให้กับตัวเองคิดต่อว่า แม้เราจะหนีไปอยู่คนเดียว ก็ใช่ว่าเราจะพ้นจากการเมืองการปกครอง เพราะตัวเรานี้เองก็ต้องปกครองตนเอง กลับกลายเป็นว่าเราก็อยู่กับการเมืองอยู่ดี =A= หรือวิธีที่สอง การเมืองก็ยังคงอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา เพียงแต่เมื่อพัฒนาจิตจนเห็นจริงทุกอย่าง เราก็จะรู้เท่าทันจิต ซึ่งมักจะถูกอำนาจการเมืองการปกครองชักจูง ได้สติ หลุดจากการเมืองการปกครองจริงๆ
ป.ล.2 ไม่ได้เป็นพรีเซนเตอร์หรือ PR นะครับ ได้ฟังแล้วเข้าใจอะไรบางอย่าง เลยเอามาให้ฟัง ชอบไม่ชอบตามแต่ใจครับ
ความแนบแน่นระหว่าง 'การเมือง' กับ 'ชีวิต'
ขอออกตัวไว้ก่อนว่าบทความนี้ เป็นบทความที่ผู้เขียนคิด ไตร่ตรองและวิเคราะห์ เพื่อตอบคำถามของตนเองต่อหลากหลายกระแสที่ได้รับฟัง ไม่มีความตั้งใจตำหนิติเตียนความคิดใดๆ ของฝ่ายใดนะครับ
การเมืองการปกครองเป็นสิ่งที่แทรกอยู่ในทุกสังคม ตราบใดที่เรายังอยู่ร่วมกันเป็นสังคม เราไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องพบเจอหรือประสบกับมัน ที่สำคัญการเมืองหลายเรื่องกลับแทรกอยู่ในชีวิตประจำวันของเราอย่างแยบคาย โดยที่หลายครั้งเราเองก็ไม่รู้ตัว
เพราะฉะนั้น การต้องการหลีกหนีจากการเมือง ไม่ยุ่งเกี่ยว เป็นไปค่อนข้างยากในสังคม ลองนั่งคิดก็เห็นจะมีเพียง 2 วิธีเท่านั้นก็คือการแยกตัวไปอยู่สถานที่ใดที่หนึ่งให้พ้นจากสังคม ดำรงตนอยู่ตามลำพัง หรืออีกอย่างก็คือพัฒนาจิต สร้างจิตตนครอันเป็นสถานที่ซึ่งพ้นจากวิถีแห่งโลก (ซึ่งวิธีที่ 2 นี้ยากกว่าวิธีแรกที่หลายคนอาจคิดว่าเป็นไปไม่ได้เสียอีก แต่ถ้าทำได้ นับว่าเป็นสิ่งที่สบายและรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่การหลอกตัวเองหรือหนีความจริงอย่างวิธีแรก)
ทีนี้พอมามองว่า แล้วการเมืองการปกครองแทรกอยู่ในชีวิตในสังคมอย่างไรล่ะ ก็อย่างที่บอกครับว่า เมื่อสิ่งมีชีวิตรวมตัวกันเป็นสังคม มีปฏิสัมพันธ์กัน การเมืองการปกครองย่อมเกิดขึ้น นับจากหน่วยย่อยสุดคือครอบครัวก็มีเรื่องของการเมืองการปกครองเสียแล้ว เพียงแต่หลายคนอาจไม่ได้มองว่ามันเป็นก็ได้ แต่ที่จริงมันก็คือการเมืองการปกครอง
การเมืองการปกครองแทรกอยู่ในวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ปัจจัย 4 การจับจ่ายใช้สอย ทุกสิ่งอย่างที่มีมนุษย์ไปเกี่ยวข้อง ล้วนมีการเมืองแทรกอยู่ และแน่นอนว่าการเมืองการปกครองย่อมมีฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน หากการเมืองการปกครองนั้น ไม่เป็นที่พอใจของกลุ่มสิ่งมีชีวิตกลุ่มใด ก็ย่อมเกิดการปฏิเสธ ต่อต้าน สุดท้ายก็คือการพยายามปรับเปลี่ยน เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของผู้อยู่ใต้ระบบการเมืองการปกครองนั้นๆ ส่วนสิ่งมีชีวิตใดที่ชื่นชอบ ยอมรับได้ หรือไม่ได้รับ ไม่เล็งเห็น ผลกระทบจากการเมืองการปกครองในระบบที่มีอยู่ ก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่จะต้องเดือดร้อนหรือต้องต่อต้าน
ฉะนั้นแล้ว เมื่อยังอยู่เป็นสังคม เราไม่อาจหนีพ้นจากการเมืองการปกครองไปได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า การรับรู้ของเราจะเป็นไปในรูปแบบใดเท่านั้นเอง เห็นชอบ ต่อต้าน ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะยอมรับโดยตรง ปฏิเสธภายนอก ปฏิเสธภายใน และท้ายที่สุด แม้จะบอกว่าไม่อยากเป็นเครื่องมือให้นักการเมืองขับเคี่ยวต่อสู้กับ เราก็ไม่อาจบอกได้ว่า การที่เราปลีกตัวออกจากศึกหมากรุกบนกระดาน จะเป็นการพ้นจากการถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการเมือง
อย่างไรก็ตาม นักการเมืองที่ต่างขับเคี่ยวกันเอง ที่เราคิดว่าเป็นผู้อยู่เหนือเกมการเมือง ก็ยังตกอยู่ในอำนาจการเมืองนั้นอยู่ดี เพียงแต่นั่งอยู่ในฐานะผู้เดินหมากรุกบนกระดาน และอย่างที่บอกครับ การพ้นจากเกมกระดานที่หลายคนต้องการหรือปรารถนา ทางเดียวคือเดินออกจากการเล่นและชม ไม่เป็นทั้งหมาก ไม่เป็นทั้งผู้เล่น หรือแม้แต่ผู้ชม
แต่ก็เป็นคำถามที่ต้องถามต่อว่า จะมีสักกี่คนที่เดินออกจากเกมหมากรุกที่กำลังเล่นกันอย่างดุเดือดและเมามันนั้นได้ เพราะหนทางเดินออกมาก็มีแค่เพียง 2 ทาง คือหลบไปใช้ชีวิตคนเดียว (ผมนับรวมคนไข้จิตเวชที่เขามีโลกส่วนตัวของเขาด้วยนะครับ แต่แน่นอนว่าโลกส่วนตัวของคนไข้บางคนไม่ได้สวยงามนัก) หรืออย่างที่สอง คือพัฒนาจิตให้รู้แจ้งเห็นจริงในโลก
ถ้าทำได้ดังนี้ วิธีแรกก็ทำให้การเมืองเป็นเรื่องไกลตัว แต่ถ้าวิธีที่ 2 การเมืองจะเป็นเรื่องไกลใจ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เลือกจะเล่น ดู เดินในเกมหมากรุกก็ไม่ผิดนะครับ ทุกคนต่างมีความคิดเห็นและหนทางเดินของตนเอง แต่ในบทความนี้เป็นเรื่องของการพูดถึงความแนบแน่นระหว่างการเมืองกับชีวิต
ป.ล. แอบทิ้งท้ายว่า มันก็เป็นปมความคิดให้กับตัวเองคิดต่อว่า แม้เราจะหนีไปอยู่คนเดียว ก็ใช่ว่าเราจะพ้นจากการเมืองการปกครอง เพราะตัวเรานี้เองก็ต้องปกครองตนเอง กลับกลายเป็นว่าเราก็อยู่กับการเมืองอยู่ดี =A= หรือวิธีที่สอง การเมืองก็ยังคงอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา เพียงแต่เมื่อพัฒนาจิตจนเห็นจริงทุกอย่าง เราก็จะรู้เท่าทันจิต ซึ่งมักจะถูกอำนาจการเมืองการปกครองชักจูง ได้สติ หลุดจากการเมืองการปกครองจริงๆ
ป.ล.2 ไม่ได้เป็นพรีเซนเตอร์หรือ PR นะครับ ได้ฟังแล้วเข้าใจอะไรบางอย่าง เลยเอามาให้ฟัง ชอบไม่ชอบตามแต่ใจครับ