อยากจะตั้งกระทู้สนทนา เพื่อสำรวจแนวคิดของสมาชิกห้องราชดำเนินว่า วงจรอุบาทว์
นักการเมืองในนิยามของฉัน คือ ผู้ที่หาประโยชน์เพื่อพวกพ้องของตน ประชาชนมาทีหลัง(สุด) ไม่อยากจะคิดในแง่ลบ แต่สิ่งที่เห็นมันไม่ชวนให้คิดบวกเลยซักนิด โทษใครไม่ได้นอกจากประชาชนที่เลือกคนเหล่านี้มา ทั้งที่ "ประชาธิปไตย" คืออะไรก็ยังไม่รู้ และที่คนไทยยังไม่รู้จักประชาธิปไตย เพราะการศึกษาไทยในสมัยปฏิรูปการปกครอง ยังไม่เจริญ ทั้งที่ควรรอเวลาให้คนไทยมีการศึกษามากกว่านี้ แต่คณะราษฎร์ก็ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ของชาติ แย่งชิงพระราชอำนาจมายื่นให้ กับประชาชนที่ไม่รู้ไม่ประสา ประชาธิปไตยเหล่านั้นก็กลายเป็นอาวุธชั้นดีในมือประชาชนที่ไม่รู้ ตอนมาลูกหลาน และผู้สนองเจตจำนงค์ของคณะราชฎร ก็ใช้ประชาชนที่ไม่ประสาเหล่านั้นมาต่อสู้แย่งชิงกันเรื่อยมา อย่างที่มีคำกล่าวว่า "ปืนในมือคนยิ่งปืนเป็นยังไม่น่ากลัว เท่าปืนที่อยู่ในมือของคนที่ยิ่งปืนไม่เป็น" ประชาชนนอกจากถูกชักนำให้ใช้อาวุธที่เรียกว่า "ประชาธิไตย" ห้ำหั่นฝ่ายตรงข้ามให้บาดเจ็บ ล้มตายแล้ว สุดท้ายก็ยังทำปืนลั่นใส่ตัวเอง
แต่เท้าความถึงเรื่องประวัติศาสตร์ก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปจนแก้ไขอะไรไม่ได้
เมืองไทยของเราควรจะดีกว่านี้ ถ้าประชาชนวางอาวุธในมือลง ศึกษามัน ถอดแยกส่วนและประกอบขึ้นมาใหม่ เล็งให้แม่น และยิงให้เป็น สุดท้าย อาวุธเหล่านั้นก็จะไม่กลับมาทำร้ายตัวเอง ทั้งยังใช้ปกป้องคนอื่นได้อีกด้วย
พฤติกรรมการใช้อาวุธง่ายๆ ก็เปรียบเสมือนการเมืองไทย กระแสจะสงบได้ก็ต่อเมื่อ "คนไทย" รู้จักวาง "ประชาธิปไตย" ไว้ซักพักแทนที่จะใช้กราดโดยไม่ยั้งคิด นั่งศึกษามันให้ลึกซึ้งและจริงจัง ก่อนจะเอามาใช้งาน
สุดท้าย ศัตรูตัวสำคัญที่เป็นภัยต่อบ้านเมืองที่สุดก็คือ "ความโง่" และ "ความไม่รู้" อยู่นั่นเอง และการที่จะกำจัดความไม่รู้ ก็คือการศึกษามันให้ละเอียด อย่างสงบ อย่างผู้มีปัญญา ไม่เอาคำว่า "ประชาธิปไตย" ไปเป็นอาวุธให้ฝ่ายไหนๆ คนที่มองอะไรได้กว้างที่สุด คือคนที่มองหมากรุกอยู่นอกกระดาน
มาเป็นคนที่อยู่นอกกระดานกันเถอะคนไทย นักการเมืองจะห้ำหั่นกันแค่ไหนก็ปล่อยเค้าไป เมื่อไม่มีมวลชนสนับสนุน พวกเขาก็หยุดกันเองแหละ
ที่ประเทศไทยเป็นอย่างทุกวันนี้ คิดว่าเป็นเพราะ "คนไทย" "นักการเมืองไทย" หรือ "บาปกรรมของคณะราษฎร์"
นักการเมืองในนิยามของฉัน คือ ผู้ที่หาประโยชน์เพื่อพวกพ้องของตน ประชาชนมาทีหลัง(สุด) ไม่อยากจะคิดในแง่ลบ แต่สิ่งที่เห็นมันไม่ชวนให้คิดบวกเลยซักนิด โทษใครไม่ได้นอกจากประชาชนที่เลือกคนเหล่านี้มา ทั้งที่ "ประชาธิปไตย" คืออะไรก็ยังไม่รู้ และที่คนไทยยังไม่รู้จักประชาธิปไตย เพราะการศึกษาไทยในสมัยปฏิรูปการปกครอง ยังไม่เจริญ ทั้งที่ควรรอเวลาให้คนไทยมีการศึกษามากกว่านี้ แต่คณะราษฎร์ก็ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ของชาติ แย่งชิงพระราชอำนาจมายื่นให้ กับประชาชนที่ไม่รู้ไม่ประสา ประชาธิปไตยเหล่านั้นก็กลายเป็นอาวุธชั้นดีในมือประชาชนที่ไม่รู้ ตอนมาลูกหลาน และผู้สนองเจตจำนงค์ของคณะราชฎร ก็ใช้ประชาชนที่ไม่ประสาเหล่านั้นมาต่อสู้แย่งชิงกันเรื่อยมา อย่างที่มีคำกล่าวว่า "ปืนในมือคนยิ่งปืนเป็นยังไม่น่ากลัว เท่าปืนที่อยู่ในมือของคนที่ยิ่งปืนไม่เป็น" ประชาชนนอกจากถูกชักนำให้ใช้อาวุธที่เรียกว่า "ประชาธิไตย" ห้ำหั่นฝ่ายตรงข้ามให้บาดเจ็บ ล้มตายแล้ว สุดท้ายก็ยังทำปืนลั่นใส่ตัวเอง
แต่เท้าความถึงเรื่องประวัติศาสตร์ก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปจนแก้ไขอะไรไม่ได้
เมืองไทยของเราควรจะดีกว่านี้ ถ้าประชาชนวางอาวุธในมือลง ศึกษามัน ถอดแยกส่วนและประกอบขึ้นมาใหม่ เล็งให้แม่น และยิงให้เป็น สุดท้าย อาวุธเหล่านั้นก็จะไม่กลับมาทำร้ายตัวเอง ทั้งยังใช้ปกป้องคนอื่นได้อีกด้วย
พฤติกรรมการใช้อาวุธง่ายๆ ก็เปรียบเสมือนการเมืองไทย กระแสจะสงบได้ก็ต่อเมื่อ "คนไทย" รู้จักวาง "ประชาธิปไตย" ไว้ซักพักแทนที่จะใช้กราดโดยไม่ยั้งคิด นั่งศึกษามันให้ลึกซึ้งและจริงจัง ก่อนจะเอามาใช้งาน
สุดท้าย ศัตรูตัวสำคัญที่เป็นภัยต่อบ้านเมืองที่สุดก็คือ "ความโง่" และ "ความไม่รู้" อยู่นั่นเอง และการที่จะกำจัดความไม่รู้ ก็คือการศึกษามันให้ละเอียด อย่างสงบ อย่างผู้มีปัญญา ไม่เอาคำว่า "ประชาธิปไตย" ไปเป็นอาวุธให้ฝ่ายไหนๆ คนที่มองอะไรได้กว้างที่สุด คือคนที่มองหมากรุกอยู่นอกกระดาน
มาเป็นคนที่อยู่นอกกระดานกันเถอะคนไทย นักการเมืองจะห้ำหั่นกันแค่ไหนก็ปล่อยเค้าไป เมื่อไม่มีมวลชนสนับสนุน พวกเขาก็หยุดกันเองแหละ