ตัวอย่าง ภาพ Week ในหุ้น SIRI : บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
จากกราฟ Week จะเห็นว่า มี 2 วงกลม (เหลือง กับ ชมพู)
โดย วงกลมเหลืองเป็นขาขึ้น
ส่วนวงกลมชมพูเป็นขาลง
จะเห็นว่าเมื่อเป็นขาขึ้น
เราซื้อตรงไหนก็กำไร ถูกม๊ะะะ??
ซื้อ 2 บาท ซื้อ 3 บาท หรือ ซื้อ 4 บาท ก็กำไรเรื่อยๆ แล้วเอาไปขายตรงจุดกลับตัวด้านบนประมาณ 5 บาท ก็กำไรแล้ว
(หลักการง่ายๆ ดูจากเส้นค่าเฉลี่ย Moving Average (5 วัน กับ 10 วัน) หรือ (5 วัน กับ 15 วัน) ตัดลงเมื่อไหร่ก็ Take กำไรออกมา ^o^)
ส่วนถ้าเป็นขาลง
เราซื้อตรงไหนก็ขาดทุน ใช่ม้าาาาา??
ซื้อ 5 บาท ซื้อ 4 บาท ซื้อ 3 บาท ก็ขาดทุนเรื่อยๆ แล้วเราจะไปซื้อทำไม ในเมื่อภาพยังเป็นขาลง !!!!
เพราะซื้อตรงไหนมันก็ขาดทุนอ๊ะะะะ
(เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว Risk > Reward แล้วยังจะเข้าซื้ออีกหรือ???
ทำไมไม่รอให้ลงมาให้สะเด็ดน้ำก่อน ค่อยซื้อก็ยังทันถูกม๊ะะะ ???
)
ตลาดหุ้นไม่ได้สวยนะ
มีคนได้
ก็ต้องมีคนเสีย
(เว้นแต่ถือระยะยาว 10 ปี++ อาจเสียกลับมาเป็นได้จากปันผลก็ได้
)
แล้วน้องสี่ว่า เราควรต้องลองตั้งคำถาม แล้วถามตัวเราเองว่าเราอยากอยู่ตรงไหนของตลาด ????
ถ้าจะพูดให้ง่ายๆ
ก็เหมือนกับการเล่นหมากกระดาน ไม่ว่าจะเป็นหมากฮอส(Makhos Thai) หมากล้อม(GO)
ต่าง
ส่วนล้วนต้องมีรูปแบบ (Pattern) และกลยุทธ์ในการเดินเกม (Strategy)
โดยดูว่าเค้าจะเปิดเกมมาแบบไหน เราจะได้ตั้งรับได้แบบที่เหมาะสม เพื่อให้เราหยั่งเชิงกับคู่แข่งได้ดีที่สุด
(หรือจะให้พูดง่ายๆ ก็คือ อ่านเกมเค้าให้ออก รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง !!!! ถ้าตัวเองยังไม่รู้เลย จะไปรบกับใครก็แพ้ !!!)
โดยสรุปแล้ว
เราต้องอ่านเกมเจ้าให้ออก ดู Pattern ตามน้ำ ถอยเมื่อดูไม่ดี (อย่ากลัวขาดทุน)
ไม่งั้นจะเข้าสำนวนที่ว่า "เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย"
ดังนั้นแล้ว
เราต้องยอมเสียน้อย เพื่อให้ได้มาก
เช่น จะทำธุรกิจก็ต้องมีต้นทุน แม้ต้นทุนจะสูง
แต่ถ้ารู้ว่าทำไปแล้วจะได้เงินกลับมาเยอะกว่า ก็ยังน่าทำ เพราะนั่นคือมีกำไร
ซึ่งต้นทุนนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเงินอย่างเดียว อาจเป็น "แรงกาย" และ "เวลา" ผสมกันไปด้วยก็ได้
และหากไม่ยอมเสียอะไรเลย ก็จะไม่ได้อะไรเลยเช่นกัน
หลักการทำกำไรในตลาดหุ้นที่ง่ายและใช้ได้จริง =^o^= จุ๊ฟๆ <3
จากกราฟ Week จะเห็นว่า มี 2 วงกลม (เหลือง กับ ชมพู)
โดย วงกลมเหลืองเป็นขาขึ้น ส่วนวงกลมชมพูเป็นขาลง
จะเห็นว่าเมื่อเป็นขาขึ้น
เราซื้อตรงไหนก็กำไร ถูกม๊ะะะ??
ซื้อ 2 บาท ซื้อ 3 บาท หรือ ซื้อ 4 บาท ก็กำไรเรื่อยๆ แล้วเอาไปขายตรงจุดกลับตัวด้านบนประมาณ 5 บาท ก็กำไรแล้ว
(หลักการง่ายๆ ดูจากเส้นค่าเฉลี่ย Moving Average (5 วัน กับ 10 วัน) หรือ (5 วัน กับ 15 วัน) ตัดลงเมื่อไหร่ก็ Take กำไรออกมา ^o^)
ส่วนถ้าเป็นขาลง
เราซื้อตรงไหนก็ขาดทุน ใช่ม้าาาาา??
ซื้อ 5 บาท ซื้อ 4 บาท ซื้อ 3 บาท ก็ขาดทุนเรื่อยๆ แล้วเราจะไปซื้อทำไม ในเมื่อภาพยังเป็นขาลง !!!!
เพราะซื้อตรงไหนมันก็ขาดทุนอ๊ะะะะ
(เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว Risk > Reward แล้วยังจะเข้าซื้ออีกหรือ???
ทำไมไม่รอให้ลงมาให้สะเด็ดน้ำก่อน ค่อยซื้อก็ยังทันถูกม๊ะะะ ???)
ตลาดหุ้นไม่ได้สวยนะ
มีคนได้ ก็ต้องมีคนเสีย
(เว้นแต่ถือระยะยาว 10 ปี++ อาจเสียกลับมาเป็นได้จากปันผลก็ได้ )
แล้วน้องสี่ว่า เราควรต้องลองตั้งคำถาม แล้วถามตัวเราเองว่าเราอยากอยู่ตรงไหนของตลาด ????ถ้าจะพูดให้ง่ายๆ
ก็เหมือนกับการเล่นหมากกระดาน ไม่ว่าจะเป็นหมากฮอส(Makhos Thai) หมากล้อม(GO)
ต่าง
ส่วนล้วนต้องมีรูปแบบ (Pattern) และกลยุทธ์ในการเดินเกม (Strategy)โดยดูว่าเค้าจะเปิดเกมมาแบบไหน เราจะได้ตั้งรับได้แบบที่เหมาะสม เพื่อให้เราหยั่งเชิงกับคู่แข่งได้ดีที่สุด
(หรือจะให้พูดง่ายๆ ก็คือ อ่านเกมเค้าให้ออก รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง !!!! ถ้าตัวเองยังไม่รู้เลย จะไปรบกับใครก็แพ้ !!!)
โดยสรุปแล้ว
เราต้องอ่านเกมเจ้าให้ออก ดู Pattern ตามน้ำ ถอยเมื่อดูไม่ดี (อย่ากลัวขาดทุน)
ไม่งั้นจะเข้าสำนวนที่ว่า "เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย"
ดังนั้นแล้ว
เราต้องยอมเสียน้อย เพื่อให้ได้มาก
เช่น จะทำธุรกิจก็ต้องมีต้นทุน แม้ต้นทุนจะสูง
แต่ถ้ารู้ว่าทำไปแล้วจะได้เงินกลับมาเยอะกว่า ก็ยังน่าทำ เพราะนั่นคือมีกำไร
ซึ่งต้นทุนนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเงินอย่างเดียว อาจเป็น "แรงกาย" และ "เวลา" ผสมกันไปด้วยก็ได้
และหากไม่ยอมเสียอะไรเลย ก็จะไม่ได้อะไรเลยเช่นกัน