อาทิตย์อับแสง (บทที่ 13)
ภูเก็ตถอนหายใจเบาๆ พยายามปกปิดร่องรอยวิตกกังวล เดินออกมายังบริเวณโถงกว้างที่เชื่อระหว่างโต๊ะทานข้าวยาว และส่วนที่เป็นห้องนั่งเล่น เขาหยุดนิ่งที่หน้าแกรนด์เปียโนสีดำ
เปียโนใหญ่ขนาดนี้ก็ต้องอยู่ในห้องใหญ่ คนที่เงินหนาๆ เท่านั้นที่จะมี แม้แต่เมื่อก่อนตอนอยู่ที่นิวยอร์ค เปียโนที่ ‘บ้าน’ ยังเป็นขนาดธรรมดา ทั้งๆ ที่ ‘เธอ’ ผู้นั้นสามารถเนรมิตได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นห้องพัก เปียโน หรือว่าอะไรก็ตาม ที่เขาเพียงแค่คิด…อยากได้
เธอมักทำให้ได้เสมอ
ชายหนุ่มวางแก้วไวน์บนโต๊ะเล็กทรงสูงที่อยู่ไม่ไกล นิ้วที่ไล่แเล่นบนแป้นคีย์ ไม่เจาะจงให้เป็นท่วงทำนองใดๆ เขาจมอยู่กับความคิดหลายอย่าง แทบไม่รู้ตัวแม้เมื่อหย่อนตัวลงบนม้านั่งสีดำหน้าเปียโนนั่น หรือแม้กระทั่งว่าเสียงของคนที่คุยโทรศัพท์นั้นเงียบไปแล้ว
เพลงที่บรรเลงเป็นเพลงที่เขาเคยคุ้น เล่นเป็นประจำ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบทดนตรีที่เขาเคยได้ยินบ่อยครั้ง เพราะเมื่อนานมาแล้ว…ระริน มักเล่นให้ฟังอยู่เสมอ
เขาไม่รู้หรอกว่าเล่นไปกี่เพลง หรือว่าเพลงอะไร
สิ่งที่บรรเลงนั้นตามอารมณ์และความรู้สึก
จนกระทั่งเสียงเอื้อยเบาๆ จากด้านหลังเรียกความคิดของเขากลับมา
ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร
ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้นเกิดในใต้ฟ้าสุธาธาร
ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม่เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา
เชยผกาโกสุมประทุมทอง
[วรรคและสะกดตามหนังสือ “พระอภัยมณี คำกลอนของ สุนทรภู่” ตามที่กรมศิลปากรอนุญาติให้พิมพ์ครั้งที่สิบสี่ เมื่อปีพ.ศ. 2517 ]
เสียงคลอเบาๆ เป็นบทกลอนท่วงทำนองเสนาะ จนคนบรรเลงพลันหยุดกึก หันมองหญิงสาวที่ยืนข้างๆ ดวงตาใสแจ๋วมองตอบก่อนที่เธอจะคลี่ยิ้ม
“ไม่คิดว่าฝรั่งจ๋าอย่างคุณจะรู้จัก” เกษราเปรยอย่างประหลาดใจ
“ตอนเด็กๆ พ่อมักจะร้องเพลงนี้ให้แม่ฟังเสมอ” แววเสียงพยายามยิ่งยวดที่จะกลบรอยขื่นๆ “ไม่รู้ว่าเป็นกลอนอะไรของคุณหรอก”
และภูเก็ตไม่อยากบอกเลยว่า เมื่อนานมาแล้วเขาเคยท่องให้…ใครบางคนฟังอยู่บ่อยครั้ง
ท่องจำ ผิดๆ ถูกๆ เพี้ยนๆ แต่อีกคนก็บรรเลงออกมาเป็นทำนองเสนาะได้ทุกครั้ง
‘ระริน…เมื่อไรหนอ ผมถึงจะลืมคุณได้เสียที’
ความคิดและความรู้สึกทั้งหมด ทำให้เขาละเลยที่จะมองเห็นหญิงสาวที่บัดนี้กำลังมองเขาอย่างพิศวง
จนกระทั่งรู้สึกตัว ภูเก็ตจึงพลันลุกขึ้น เดินผ่านร่างเล็กที่ยืนเท้าแขนบนขอบเปียโนใหญ่
“ผมรบกวนคุณมากพอแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้จะให้เขาจัดการเรื่องโอนพอร์ต วันสองวันก็เสร็จ แล้วเจ้าหน้าที่ของทีมใหม่จะติดต่อคุณเอง” หางเสียงทิ้งริ้วรอยอ่อนล้า ที่เจ้าตัวไม่ค่อยแสดงออกให้ใครอื่นเห็นบ่อยนัก “ผมขอตัว”
“นี่ภูเก็ต” เสียงของหญิงสาวไม่ได้แข็งเกินไปนัก แต่ก็ทำให้เขาหยุด “คุณเป็นอะไรมากไหมเนี่ย” เกษราถามปลายหางเสียงตวัดเล็กน้อย คิ้วโค้งราวพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวขมวดอยู่เหนือดวงตาเป็นประกายที่มองเขาเขม็ง “อย่าบอกนะว่าคุณผิดหวังที่ฉันไม่ได้ตีโพยตีพายเรื่องคุณย้ายพอร์ตของฉันให้คนอื่น”
“ผม…” ร่างสูงหันมาเพียงนิด เสียงทุ้มลงต่ำราวเจ้าตัวมีเรื่องคิดไม่ตก “ผิดหวังหลายเรื่อง แต่ว่า แต่ละเรื่อง…ไม่เกี่ยวกับคุณเลย”
“ไม่เกี่ยวก็ดี” เกษรามองหน้าเฉย ก่อนจะถาม “แล้วคุณมาหาฉันทำไม มาขอความร่วมมืออะไร”
“ถือว่าผมไม่ได้พูดก็แล้วกัน”
“เอ๊ะ! นี่คุณเป็นคนยังไง สิ่งที่คุณพูด ก็พูดออกมาแล้ว จะให้มาถือว่าไม่ได้พูดได้ยังไง”
“ก็ลืมๆ ไปซะ” น้ำเสียงตวัดห้วนอย่างรำคาญ
“ถ้าบางอย่างมันลืมง่ายๆ โลกเราก็คงไม่มีปัญหาแบบนี้ สำหรับบางคน เรื่องบางเรื่องผ่านมาเป็นปีๆ ก็ไม่ยอมลืม อดีตมีไว้เป็นบทเรียน ไม่ใช่มีเอาไว้เพื่อให้มัวแต่จมปรักจนลืมไปว่ายังมีอนาคตที่รอเราอยู่ข้างหน้า”
“เผอิญผมโชคดี ไม่มีใครหรืออะไรรอผมอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง” อีกแล้วที่แววเสียงมีริ้วรอยขื่นอยู่ในคอ
“คุณเป็นคนที่โชคร้ายต่างหาก”
คำบอกประโยคสุดท้ายของหญิงสาวยังคงดังก้อง แม้เมื่อเขากลับมาถึงห้องพักแล้ว
ใช่…เขาไม่มีใครหรือะไรที่…รอ เขา
มีเพียงแต่เขาที่เป็นฝ่าย…รอ
ไฟในอาคารสำนักงานใหญ่ของธนาคารแอลทัสถูกปิดไปเกือบหมดทุกชั้น เหลือเพียงไม่กี่ชั้นที่ยังมีไฟส่องสว่างจ้า ส่วนใหญ่เป็นเพราะแผนกที่จำต้องมีพนักงานอยู่ประจำตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง หากก็มีบางแผนกที่ในค่ำคืนนี้ พนักงานของธนาคารจำใจ จำเป็นต้องอยู่ดึกล่วงเวลา
เพียงแต่ว่ามุมหนึ่งบนชั้นสูงที่เคยมืดสนิทกลับพลันสว่างขึ้นด้วยไฟที่ถูกเปิดอยู่ดวงเดียว
ร่างที่เป็นเพียงเงาในไฟสลัวเดินช้าๆ ระแวดระวังไปที่โต๊ะทำงานที่จัดอยู่ในห้องเป็นสัดส่วน ทว่าห้องนั้นไม่ได้มีประตูเปิดปิดเป็นทางเข้าเท่านั้นเอง
ในฝ่ายนี้ ผู้ที่จะมีห้องหับส่วนตัวมิดชิดคงมีแต่เพียงผู้บริหารฝ่าย ส่วนผู้เป็นหัวหน้าทีม…ทั้งทีมเอ และทีมบี ก็คงเป็นโต๊ะทำงานที่อยู่ภายในบริเวณที่จัดเป็นสัดส่วนกึ่งห้องเดียว ต่างจากพนักงานคนอื่นๆ ที่อยู่ใน ‘คอก’ ที่มีคอกละสี่คน
จะมีความเป็นส่วนตัวก็แค่ลิ้นชั้น ตู้เอกสาร และลิ้นชักที่สามารถล็อคได้เท่านั้นเอง
พวงกุญแจพวงใหญ่ที่ คนที่ส่ถุงมือยางถือไว้ บ่งบอกว่าคนที่กำลังไขลิ้นชักนั้นไม่ใช่เจ้าของ ‘ห้อง’ นี้
การลอง…ผิด…ถูก ก็เพียงไม่ถึงนาที ก่อนลิ้นชักนั่นจะถูกเปิดอย่างง่ายดาย ตามด้วยตู้เอกสารที่อยู่ใกล้ๆ กัน
เอกสารหลายแผ่นถูกลื้อค้นอ่าน และก็มีอีกหลายแผ่นที่ถูกถ่ายรูปไปด้วยกล้องสแกนขนาดเล็ก
ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที คนที่แอบเข้าในยามวิกาลก็ปิดไฟเดินมาออกมาด้านนอก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำงานอยู่ดึก
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาออกจากออฟฟิศเป็นคนสุดท้าย
และจะไม่ใช่คืนสุดท้ายที่เขาทำเช่นนี้
“คุณณัฐนี่ขยันนะ เข้าเช้าอยู่ดึกแทบทุกวัน” หลายคนในแบงก์แอบชื่นชม
และก็มีบางคนที่เปรียบเทียบ “คุณภูเก็ตไม่เห็นอยู่ดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้บ้างเลย”
“ก็คุณภูเก็ตถือว่าคารมดี รูปงาม คงไปเจ๊าะแจ๊ะกับลูกค้า”
“แล้วทำไมคุณณัฐไม่ไปบ้าง หรือว่าเพราะคุณณัฐเข้ากับลูกค้าหลายคนไม่ได้ พูดไม่รู้เรื่อง”
ณัฐพอรู้และได้ยินสิ่งที่คนในธนาคารซุบซิบ เขาโกรธจนแทบคลั่ง แต่ก็ยังสยบความโกรธนั้นไว้ได้ภายใต้ดวงหน้าที่ปั้นตึง
มีหลายเรื่องที่คนนินทาและเอาไปเปรียบ บางคนช่างสังเกต แล้วพูดให้เข้าหูเขา “แล้วยังชอบมองคนด้วยสายตาประหลาดๆ นิ่งๆ หมิ่นๆ แค้นๆ คล้ายพวกโลกจิต”
“หลายทีเห็นว่ามองคนหัวจรดเท้าเลย” เสียงซุบซิบยังคงมีเสมอๆ
และถ้าณัฐรู้ว่ามีใครในธนาคารเปรยด้วยความจริงเช่นนั้น เขาก็จะหมายหัวคนผู้นั้นไป…จนกว่า…วันเอาคืน
แต่ระหว่างที่ยัง…ทำอะไรไม่ได้ ณัฐก็มัก ผ่อนคลาย อารมณ์กับโสเภณีชั้นสูงที่เขาเลือกซื้อ หรือไม่ก็กับกระสอบทรายที่เขาทุ่มแรงไปจนสุดกำปั้นมือ
เน้นหนักที่มือขวาของเขาที่มีรอยแผลเป็นยาว
อารมณ์และความรู้สึกอย่างเช่นที่มีในคืนนี้ ทำให้เขาแทบคลั่ง แต่ก็ยังสามารถประคองตัวกลับเข้ามาในบริเวณบ้านจัดสรรหลังเล็กในแถบชานเมือง
เขาจ้องที่กระสอบทรายในโรงรถอยู่นาน ก่อนจะเหวี่ยงกำปั้นใส่ แรงที่กำปั้นสะบัดเข้ากระสอบทรายก็เหมือนจะอ่อนไปด้วยความคิด
วันนี้…เมื่อหกปีที่แล้ว
คิดแค่นี้ ก็ทำให้เขาตะโกนร้องออกมาจนสุดเสียง ไม่สนใจว่าข้างบ้านหรือใครอื่นจะถูกรบกวนอย่างไร
“ไอ้บ้า!”
การสบถด่าเช่นนี้เขาชินชานัก
พอๆ กับความเคยชินที่ ทั้งมือและขาของเขาฟาดไปที่กระสอบทรายนั่น
มือ…แค่รอยแผลเป็น
หากขาขวา…หลุดลอยไปกับแรงกระแทก จนเจ้าตัวต้องล้มคว่ำบนพื้น
“โอ๊ยยยยย…”
“หายบ้าหรือยัง” เสียงถามห้วนจากผู้ชายผิวสองสี ตาโตจมูกโด่งราวแขกขาว
เสียงปราศจากความรู้สึกใดๆ ไม่ว่าจะสงสาร เห็นใจ หรือเข้าใจ
เป็นเสียงที่แสดงถึงความดูแคลนเสียมากกว่า
และนั่นทำให้ณัฐหันไป นัยน์ตายังปรากฏคราบหยดน้ำของความขุ่นมัวในหัวใจ ทว่าทุกอย่างจางหายไปในบัดดล เมื่อเห็นร่างบางของหญิงสาวในชุดนอนบางๆ ยืนเยื้อนไปด้านหลังของผู้ชายคนนั้น
ชายหนุ่มดันตัวลุกขึ้น ประคองตัวเองด้วยขาซ้ายที่เหลือเพียงข้างเดียว รับรู้เพียงว่าหญิงสาววิ่งมาคว้า ขาเทียมส่วนของเขาที่กระเด็นไปตกระหว่างรกหญ้า แล้วปรี่เข้ามาประคองร่างของเขาไว้
“ยังไม่กลับอีกหรือ…อิมอล์” เสียงกระด้างของณัฐถามเป็นภาษาอังกฤษ พลางผลักร่างของหญิงสาวออกไป
“น้องสาวของแกบำเรอฉันขนาดนี้ แล้วฉันจะรีบกลับไปทำไม”
คำพูดไม่ใช่เป็นการดูถูกด้วยน้ำเสียง แต่ท่าทางนั่น…เย้ยหยัน
“ข้อมูลล่ะ” อิมอล์ถาม พลางกลัดกระดุมเม็ดล่างของเสื้อเชิ้ตหยาบๆ
“นี่…” ณัฐโยนกล้องสแกนขนาดเล็กให้อีกฝ่าย แล้วคว้าขาเทียมของตัวเอง มาใส่ “กลับไปได้แล้ว”
“อาทิตย์หน้า ลูกน้องของฉันอีกสองคนจะมาจากพัทยา ก็หวังว่าการต้อนรับจะดีเช่นนี้เหมือนเดิม”
การบอกของอิมอล์มิได้ต้องการคำตอบ
ให้เพียงแค่…หุ้นส่วนรับรู้เท่านั้น
ณัฐได้แต่เพียงคว้าร่างของน้องสาวของเขาไว้แน่น
“แอนนี่…”
น้อง…แม้นคนละพ่อแม่ แต่เขาก็ผูกพัน
หากความผูกพันไม่รัดแน่นกว่าความโกรธแค้นที่สุมเป็นเพลิงไฟในหัวใจ
การให้ได้มาถึงชัยชนะ…สำคัญ
สำคัญพอๆ กับผู้หญิงคนนั้นที่เขาเคยได้มา แต่ไม่สามารถรั้งเธอให้อยู่ได้
เพียงเพราะว่า…เธอ รักผู้ชายคนอื่นมากกว่าเขา
‘แกไม่มีทางเทียบกับภูเก็ตได้แม้แต่ปลายเล็บ’
(ต่อ)
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 13) โดย มานัส
ภูเก็ตถอนหายใจเบาๆ พยายามปกปิดร่องรอยวิตกกังวล เดินออกมายังบริเวณโถงกว้างที่เชื่อระหว่างโต๊ะทานข้าวยาว และส่วนที่เป็นห้องนั่งเล่น เขาหยุดนิ่งที่หน้าแกรนด์เปียโนสีดำ
เปียโนใหญ่ขนาดนี้ก็ต้องอยู่ในห้องใหญ่ คนที่เงินหนาๆ เท่านั้นที่จะมี แม้แต่เมื่อก่อนตอนอยู่ที่นิวยอร์ค เปียโนที่ ‘บ้าน’ ยังเป็นขนาดธรรมดา ทั้งๆ ที่ ‘เธอ’ ผู้นั้นสามารถเนรมิตได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นห้องพัก เปียโน หรือว่าอะไรก็ตาม ที่เขาเพียงแค่คิด…อยากได้
เธอมักทำให้ได้เสมอ
ชายหนุ่มวางแก้วไวน์บนโต๊ะเล็กทรงสูงที่อยู่ไม่ไกล นิ้วที่ไล่แเล่นบนแป้นคีย์ ไม่เจาะจงให้เป็นท่วงทำนองใดๆ เขาจมอยู่กับความคิดหลายอย่าง แทบไม่รู้ตัวแม้เมื่อหย่อนตัวลงบนม้านั่งสีดำหน้าเปียโนนั่น หรือแม้กระทั่งว่าเสียงของคนที่คุยโทรศัพท์นั้นเงียบไปแล้ว
เพลงที่บรรเลงเป็นเพลงที่เขาเคยคุ้น เล่นเป็นประจำ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบทดนตรีที่เขาเคยได้ยินบ่อยครั้ง เพราะเมื่อนานมาแล้ว…ระริน มักเล่นให้ฟังอยู่เสมอ
เขาไม่รู้หรอกว่าเล่นไปกี่เพลง หรือว่าเพลงอะไร
สิ่งที่บรรเลงนั้นตามอารมณ์และความรู้สึก
จนกระทั่งเสียงเอื้อยเบาๆ จากด้านหลังเรียกความคิดของเขากลับมา
ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร
ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้นเกิดในใต้ฟ้าสุธาธาร
ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม่เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา
เชยผกาโกสุมประทุมทอง
[วรรคและสะกดตามหนังสือ “พระอภัยมณี คำกลอนของ สุนทรภู่” ตามที่กรมศิลปากรอนุญาติให้พิมพ์ครั้งที่สิบสี่ เมื่อปีพ.ศ. 2517 ]
เสียงคลอเบาๆ เป็นบทกลอนท่วงทำนองเสนาะ จนคนบรรเลงพลันหยุดกึก หันมองหญิงสาวที่ยืนข้างๆ ดวงตาใสแจ๋วมองตอบก่อนที่เธอจะคลี่ยิ้ม
“ไม่คิดว่าฝรั่งจ๋าอย่างคุณจะรู้จัก” เกษราเปรยอย่างประหลาดใจ
“ตอนเด็กๆ พ่อมักจะร้องเพลงนี้ให้แม่ฟังเสมอ” แววเสียงพยายามยิ่งยวดที่จะกลบรอยขื่นๆ “ไม่รู้ว่าเป็นกลอนอะไรของคุณหรอก”
และภูเก็ตไม่อยากบอกเลยว่า เมื่อนานมาแล้วเขาเคยท่องให้…ใครบางคนฟังอยู่บ่อยครั้ง
ท่องจำ ผิดๆ ถูกๆ เพี้ยนๆ แต่อีกคนก็บรรเลงออกมาเป็นทำนองเสนาะได้ทุกครั้ง
‘ระริน…เมื่อไรหนอ ผมถึงจะลืมคุณได้เสียที’
ความคิดและความรู้สึกทั้งหมด ทำให้เขาละเลยที่จะมองเห็นหญิงสาวที่บัดนี้กำลังมองเขาอย่างพิศวง
จนกระทั่งรู้สึกตัว ภูเก็ตจึงพลันลุกขึ้น เดินผ่านร่างเล็กที่ยืนเท้าแขนบนขอบเปียโนใหญ่
“ผมรบกวนคุณมากพอแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้จะให้เขาจัดการเรื่องโอนพอร์ต วันสองวันก็เสร็จ แล้วเจ้าหน้าที่ของทีมใหม่จะติดต่อคุณเอง” หางเสียงทิ้งริ้วรอยอ่อนล้า ที่เจ้าตัวไม่ค่อยแสดงออกให้ใครอื่นเห็นบ่อยนัก “ผมขอตัว”
“นี่ภูเก็ต” เสียงของหญิงสาวไม่ได้แข็งเกินไปนัก แต่ก็ทำให้เขาหยุด “คุณเป็นอะไรมากไหมเนี่ย” เกษราถามปลายหางเสียงตวัดเล็กน้อย คิ้วโค้งราวพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวขมวดอยู่เหนือดวงตาเป็นประกายที่มองเขาเขม็ง “อย่าบอกนะว่าคุณผิดหวังที่ฉันไม่ได้ตีโพยตีพายเรื่องคุณย้ายพอร์ตของฉันให้คนอื่น”
“ผม…” ร่างสูงหันมาเพียงนิด เสียงทุ้มลงต่ำราวเจ้าตัวมีเรื่องคิดไม่ตก “ผิดหวังหลายเรื่อง แต่ว่า แต่ละเรื่อง…ไม่เกี่ยวกับคุณเลย”
“ไม่เกี่ยวก็ดี” เกษรามองหน้าเฉย ก่อนจะถาม “แล้วคุณมาหาฉันทำไม มาขอความร่วมมืออะไร”
“ถือว่าผมไม่ได้พูดก็แล้วกัน”
“เอ๊ะ! นี่คุณเป็นคนยังไง สิ่งที่คุณพูด ก็พูดออกมาแล้ว จะให้มาถือว่าไม่ได้พูดได้ยังไง”
“ก็ลืมๆ ไปซะ” น้ำเสียงตวัดห้วนอย่างรำคาญ
“ถ้าบางอย่างมันลืมง่ายๆ โลกเราก็คงไม่มีปัญหาแบบนี้ สำหรับบางคน เรื่องบางเรื่องผ่านมาเป็นปีๆ ก็ไม่ยอมลืม อดีตมีไว้เป็นบทเรียน ไม่ใช่มีเอาไว้เพื่อให้มัวแต่จมปรักจนลืมไปว่ายังมีอนาคตที่รอเราอยู่ข้างหน้า”
“เผอิญผมโชคดี ไม่มีใครหรืออะไรรอผมอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง” อีกแล้วที่แววเสียงมีริ้วรอยขื่นอยู่ในคอ
“คุณเป็นคนที่โชคร้ายต่างหาก”
คำบอกประโยคสุดท้ายของหญิงสาวยังคงดังก้อง แม้เมื่อเขากลับมาถึงห้องพักแล้ว
ใช่…เขาไม่มีใครหรือะไรที่…รอ เขา
มีเพียงแต่เขาที่เป็นฝ่าย…รอ
ไฟในอาคารสำนักงานใหญ่ของธนาคารแอลทัสถูกปิดไปเกือบหมดทุกชั้น เหลือเพียงไม่กี่ชั้นที่ยังมีไฟส่องสว่างจ้า ส่วนใหญ่เป็นเพราะแผนกที่จำต้องมีพนักงานอยู่ประจำตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง หากก็มีบางแผนกที่ในค่ำคืนนี้ พนักงานของธนาคารจำใจ จำเป็นต้องอยู่ดึกล่วงเวลา
เพียงแต่ว่ามุมหนึ่งบนชั้นสูงที่เคยมืดสนิทกลับพลันสว่างขึ้นด้วยไฟที่ถูกเปิดอยู่ดวงเดียว
ร่างที่เป็นเพียงเงาในไฟสลัวเดินช้าๆ ระแวดระวังไปที่โต๊ะทำงานที่จัดอยู่ในห้องเป็นสัดส่วน ทว่าห้องนั้นไม่ได้มีประตูเปิดปิดเป็นทางเข้าเท่านั้นเอง
ในฝ่ายนี้ ผู้ที่จะมีห้องหับส่วนตัวมิดชิดคงมีแต่เพียงผู้บริหารฝ่าย ส่วนผู้เป็นหัวหน้าทีม…ทั้งทีมเอ และทีมบี ก็คงเป็นโต๊ะทำงานที่อยู่ภายในบริเวณที่จัดเป็นสัดส่วนกึ่งห้องเดียว ต่างจากพนักงานคนอื่นๆ ที่อยู่ใน ‘คอก’ ที่มีคอกละสี่คน
จะมีความเป็นส่วนตัวก็แค่ลิ้นชั้น ตู้เอกสาร และลิ้นชักที่สามารถล็อคได้เท่านั้นเอง
พวงกุญแจพวงใหญ่ที่ คนที่ส่ถุงมือยางถือไว้ บ่งบอกว่าคนที่กำลังไขลิ้นชักนั้นไม่ใช่เจ้าของ ‘ห้อง’ นี้
การลอง…ผิด…ถูก ก็เพียงไม่ถึงนาที ก่อนลิ้นชักนั่นจะถูกเปิดอย่างง่ายดาย ตามด้วยตู้เอกสารที่อยู่ใกล้ๆ กัน
เอกสารหลายแผ่นถูกลื้อค้นอ่าน และก็มีอีกหลายแผ่นที่ถูกถ่ายรูปไปด้วยกล้องสแกนขนาดเล็ก
ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที คนที่แอบเข้าในยามวิกาลก็ปิดไฟเดินมาออกมาด้านนอก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำงานอยู่ดึก
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาออกจากออฟฟิศเป็นคนสุดท้าย
และจะไม่ใช่คืนสุดท้ายที่เขาทำเช่นนี้
“คุณณัฐนี่ขยันนะ เข้าเช้าอยู่ดึกแทบทุกวัน” หลายคนในแบงก์แอบชื่นชม
และก็มีบางคนที่เปรียบเทียบ “คุณภูเก็ตไม่เห็นอยู่ดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้บ้างเลย”
“ก็คุณภูเก็ตถือว่าคารมดี รูปงาม คงไปเจ๊าะแจ๊ะกับลูกค้า”
“แล้วทำไมคุณณัฐไม่ไปบ้าง หรือว่าเพราะคุณณัฐเข้ากับลูกค้าหลายคนไม่ได้ พูดไม่รู้เรื่อง”
ณัฐพอรู้และได้ยินสิ่งที่คนในธนาคารซุบซิบ เขาโกรธจนแทบคลั่ง แต่ก็ยังสยบความโกรธนั้นไว้ได้ภายใต้ดวงหน้าที่ปั้นตึง
มีหลายเรื่องที่คนนินทาและเอาไปเปรียบ บางคนช่างสังเกต แล้วพูดให้เข้าหูเขา “แล้วยังชอบมองคนด้วยสายตาประหลาดๆ นิ่งๆ หมิ่นๆ แค้นๆ คล้ายพวกโลกจิต”
“หลายทีเห็นว่ามองคนหัวจรดเท้าเลย” เสียงซุบซิบยังคงมีเสมอๆ
และถ้าณัฐรู้ว่ามีใครในธนาคารเปรยด้วยความจริงเช่นนั้น เขาก็จะหมายหัวคนผู้นั้นไป…จนกว่า…วันเอาคืน
แต่ระหว่างที่ยัง…ทำอะไรไม่ได้ ณัฐก็มัก ผ่อนคลาย อารมณ์กับโสเภณีชั้นสูงที่เขาเลือกซื้อ หรือไม่ก็กับกระสอบทรายที่เขาทุ่มแรงไปจนสุดกำปั้นมือ
เน้นหนักที่มือขวาของเขาที่มีรอยแผลเป็นยาว
อารมณ์และความรู้สึกอย่างเช่นที่มีในคืนนี้ ทำให้เขาแทบคลั่ง แต่ก็ยังสามารถประคองตัวกลับเข้ามาในบริเวณบ้านจัดสรรหลังเล็กในแถบชานเมือง
เขาจ้องที่กระสอบทรายในโรงรถอยู่นาน ก่อนจะเหวี่ยงกำปั้นใส่ แรงที่กำปั้นสะบัดเข้ากระสอบทรายก็เหมือนจะอ่อนไปด้วยความคิด
วันนี้…เมื่อหกปีที่แล้ว
คิดแค่นี้ ก็ทำให้เขาตะโกนร้องออกมาจนสุดเสียง ไม่สนใจว่าข้างบ้านหรือใครอื่นจะถูกรบกวนอย่างไร
“ไอ้บ้า!”
การสบถด่าเช่นนี้เขาชินชานัก
พอๆ กับความเคยชินที่ ทั้งมือและขาของเขาฟาดไปที่กระสอบทรายนั่น
มือ…แค่รอยแผลเป็น
หากขาขวา…หลุดลอยไปกับแรงกระแทก จนเจ้าตัวต้องล้มคว่ำบนพื้น
“โอ๊ยยยยย…”
“หายบ้าหรือยัง” เสียงถามห้วนจากผู้ชายผิวสองสี ตาโตจมูกโด่งราวแขกขาว
เสียงปราศจากความรู้สึกใดๆ ไม่ว่าจะสงสาร เห็นใจ หรือเข้าใจ
เป็นเสียงที่แสดงถึงความดูแคลนเสียมากกว่า
และนั่นทำให้ณัฐหันไป นัยน์ตายังปรากฏคราบหยดน้ำของความขุ่นมัวในหัวใจ ทว่าทุกอย่างจางหายไปในบัดดล เมื่อเห็นร่างบางของหญิงสาวในชุดนอนบางๆ ยืนเยื้อนไปด้านหลังของผู้ชายคนนั้น
ชายหนุ่มดันตัวลุกขึ้น ประคองตัวเองด้วยขาซ้ายที่เหลือเพียงข้างเดียว รับรู้เพียงว่าหญิงสาววิ่งมาคว้า ขาเทียมส่วนของเขาที่กระเด็นไปตกระหว่างรกหญ้า แล้วปรี่เข้ามาประคองร่างของเขาไว้
“ยังไม่กลับอีกหรือ…อิมอล์” เสียงกระด้างของณัฐถามเป็นภาษาอังกฤษ พลางผลักร่างของหญิงสาวออกไป
“น้องสาวของแกบำเรอฉันขนาดนี้ แล้วฉันจะรีบกลับไปทำไม”
คำพูดไม่ใช่เป็นการดูถูกด้วยน้ำเสียง แต่ท่าทางนั่น…เย้ยหยัน
“ข้อมูลล่ะ” อิมอล์ถาม พลางกลัดกระดุมเม็ดล่างของเสื้อเชิ้ตหยาบๆ
“นี่…” ณัฐโยนกล้องสแกนขนาดเล็กให้อีกฝ่าย แล้วคว้าขาเทียมของตัวเอง มาใส่ “กลับไปได้แล้ว”
“อาทิตย์หน้า ลูกน้องของฉันอีกสองคนจะมาจากพัทยา ก็หวังว่าการต้อนรับจะดีเช่นนี้เหมือนเดิม”
การบอกของอิมอล์มิได้ต้องการคำตอบ
ให้เพียงแค่…หุ้นส่วนรับรู้เท่านั้น
ณัฐได้แต่เพียงคว้าร่างของน้องสาวของเขาไว้แน่น
“แอนนี่…”
น้อง…แม้นคนละพ่อแม่ แต่เขาก็ผูกพัน
หากความผูกพันไม่รัดแน่นกว่าความโกรธแค้นที่สุมเป็นเพลิงไฟในหัวใจ
การให้ได้มาถึงชัยชนะ…สำคัญ
สำคัญพอๆ กับผู้หญิงคนนั้นที่เขาเคยได้มา แต่ไม่สามารถรั้งเธอให้อยู่ได้
เพียงเพราะว่า…เธอ รักผู้ชายคนอื่นมากกว่าเขา
‘แกไม่มีทางเทียบกับภูเก็ตได้แม้แต่ปลายเล็บ’
(ต่อ)