สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
Artist คือคนที่พบทางที่เขาสามารถหาความสุขทางใจได้ งานของเค้าเติมเต็มชีวิต มีความสุข ถึงแม้ว่าบางครั้งอาจจะทำให้ถึงกับอัตคัตทางกายภาพบ้าง แต่ทางจิตใจแล้ว อิ่มเอมกับงานที่ทำ Heirachy of needs ของคนกลุ่มนี้เป็นแบบกลับหัวครับ เริ่มต้นที่ Self-actualization คือการหาตัวเองให้พบ แล้วใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่เชื่อ ความต้องการอื่นๆเป็นรอง
ผิดกับคนทั่วๆไปส่วนใหญ่ ที่ใช้ชีวิตตาม Heirachy of needs แบบปกติ เริ่มที่ความต้องการทางกายภาพ ความปลอดภัยในชีวิต ความรักและยอมรับจากผู้อื่น โดยส่วนใหญ่จะติดแหง่กกันอยู่แค่นี้ทั้งชีวิต ไม่เคยได้สัมผัสแรงจูงใจระดับเดียวกับเหล่า Artist สักเท่าไหร่ ไม่แปลกที่จะไม่เข้าใจครับ
และยิ่งน้อยคนหนักเข้าไปอีกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในระดับของ Self-transcend หรือการก้าวข้ามผ่านตัวตน ใช้ชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น เพื่อโลก เพื่อสังคม
เป็นเรื่องของจิตใจครับ ไม่ใช่เรื่องของปากท้อง(ของตัวเอง) สำหรับคนที่ก้าวผ่านฐานของปิรามิดไปแล้ว คิดให้ตายก็ไม่เข้าใจหรอกครับ ถ้ายังไม่เคยได้สัมผัสด้วยตัวเอง
ผิดกับคนทั่วๆไปส่วนใหญ่ ที่ใช้ชีวิตตาม Heirachy of needs แบบปกติ เริ่มที่ความต้องการทางกายภาพ ความปลอดภัยในชีวิต ความรักและยอมรับจากผู้อื่น โดยส่วนใหญ่จะติดแหง่กกันอยู่แค่นี้ทั้งชีวิต ไม่เคยได้สัมผัสแรงจูงใจระดับเดียวกับเหล่า Artist สักเท่าไหร่ ไม่แปลกที่จะไม่เข้าใจครับ
และยิ่งน้อยคนหนักเข้าไปอีกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในระดับของ Self-transcend หรือการก้าวข้ามผ่านตัวตน ใช้ชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น เพื่อโลก เพื่อสังคม
เป็นเรื่องของจิตใจครับ ไม่ใช่เรื่องของปากท้อง(ของตัวเอง) สำหรับคนที่ก้าวผ่านฐานของปิรามิดไปแล้ว คิดให้ตายก็ไม่เข้าใจหรอกครับ ถ้ายังไม่เคยได้สัมผัสด้วยตัวเอง
ความคิดเห็นที่ 49
สมัยทำงานบริษัทฯ เงินเดือน 6 หมื่นโดยเฉลี่ยค่ะ
เเต่ทำงานเหมือนเครื่องจักร ไม่มีเวลาให้ตัวเอง
ลาออกมาเป็นศิลปินไส้เเห้งอยู่ 6 เดือนเพราะรอเงินค่าลิขสิทธิ์
ปจบ. ดิฉันมีรายได้โดยเฉลี่ย ไม่ต่ำกว่า 2 เเสน/ เดือน
นอนเเก้เครียดปีละ 2 - 3 เดือนเป็นอย่างน้อย อยากไปไหนก็ไป ไม่ต้องลานาย
อยากทำงานกลางวัน กลางคืน ก็ตามใจตัวเอง ช่วงไหนบ้างานก็โน่น 10 - 18 ชม. / วัน
ช่วงไหนไม่อยากทำก็ไม่ทำเลย ชีวิตอิสระ เป็นนายตัวเองมากกว่านี้ไม่มีอีกเเล้ว
สมัยนี้มัน Talent age คุณ ถ้ามีความสามารถ มองตลาดที่ตัวเองทำออกเเล้วมีความขยัน อดทน ตั้งเป้าหมายให้ชีวิตได้ก็รุ่ง ดีกว่าเป็นลูกจ้างเค้าตลอดชีวิต รับเงินเดือนประจำ ขึ้นปีละหลักร้อย หลักพันนะครัช!
อย่ามองเเค่มุมตัวเองคนเดียว ศิลปินไม่ได้ไส้เเห้งทุกคนไป -*-
เเต่ทำงานเหมือนเครื่องจักร ไม่มีเวลาให้ตัวเอง
ลาออกมาเป็นศิลปินไส้เเห้งอยู่ 6 เดือนเพราะรอเงินค่าลิขสิทธิ์
ปจบ. ดิฉันมีรายได้โดยเฉลี่ย ไม่ต่ำกว่า 2 เเสน/ เดือน
นอนเเก้เครียดปีละ 2 - 3 เดือนเป็นอย่างน้อย อยากไปไหนก็ไป ไม่ต้องลานาย
อยากทำงานกลางวัน กลางคืน ก็ตามใจตัวเอง ช่วงไหนบ้างานก็โน่น 10 - 18 ชม. / วัน
ช่วงไหนไม่อยากทำก็ไม่ทำเลย ชีวิตอิสระ เป็นนายตัวเองมากกว่านี้ไม่มีอีกเเล้ว
สมัยนี้มัน Talent age คุณ ถ้ามีความสามารถ มองตลาดที่ตัวเองทำออกเเล้วมีความขยัน อดทน ตั้งเป้าหมายให้ชีวิตได้ก็รุ่ง ดีกว่าเป็นลูกจ้างเค้าตลอดชีวิต รับเงินเดือนประจำ ขึ้นปีละหลักร้อย หลักพันนะครัช!
อย่ามองเเค่มุมตัวเองคนเดียว ศิลปินไม่ได้ไส้เเห้งทุกคนไป -*-
ความคิดเห็นที่ 23
ขอตอบในฐานะที่เป็นนักเขียนจบศิลปกรรมมานะคะ(รู้สึกว่าเข้าข่าย2ใน3)
ถามว่าไม่กลัวลูกเมียลำบากหรอ?(ถ้าเป็นชะนีอย่างเดี๊ยนคงหมายถึงพ่อแม่พี่น้องละมั้ง) เพราะส่วนมากทำตัวเพ้อๆอดอยากปากแห้ง...บลาๆๆ
ถามว่าไม่กลัวครอบครัวลำบากเหรอ...กลัวค่ะ ความกลัวนี้น่าจะเป็นกันทุกคน แต่ในอีกแง่นึง มันคือแรงผลักดันที่ดีมาก
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนที่มีอาชีพอิสระ ก็คือครอบครัว เพราะความไม่มั่นคงในแง่ต่างๆทำให้คนในครอบครัวขาดความเชื่อมั่น ซึ่งบั่นทอนกำลังใจกันโคตรๆ ไม่ใช่ไม่กลัวนะ แต่พยายามอยู่ ขอให้เข้าใจในจุดๆนี้
ส่วนมากทำตัวเพ้อๆอดอยากปากแห้ง
เฮ้ย! คิดได้ไง ส่วนมากตรงไหน เท่าที่เห็นนักเขียนค่อนไปทางพอมีพอกินมากเลยนะ เพราะว่าส่วนใหญ่ ใหญ่มากๆ ไม่ได้เขียนหากินอย่างเดียว เค้าทำอาชีพอื่นด้วย เพราะข้อแรกไงคะ กลัวครอบครัวลำบาก อันชื่อว่าเป็นนักเขียน ความฝันสูดสุดก็คือการได้เขียน(แบบที่มีจะ-) แต่สังคมสมัยนี้มันยาก เลยต้องพยายามเป็นสองเท่าตัว กลางวันทำงานประจำกลางคืนนั่งเขียนต๊อกแต๊กๆไปเรื่อย มันเหนื่อยนะ เอาตรงๆเลยตอนที่นิยายตัวเองยังขายไม่ได้ เจ็บปวดมาก เคยนั่งทบทวนตัวเองหลายรอบว่ามันใช่รึเปล่า ตอบเลยว่า ใช่ไม่ใช่ไม่รู้ แต่รักไปแล้ว(ที่บ้านไม่รู้ด้วย) แต่พอนิยายขายได้ตีพิมพ์ได้เงิน ถึงเป็นเงินไม่กี่หมื่น แต่สิ่งแรกที่ทำคือให้พ่อกับแม่ อยากบอกเค้าว่า ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ฟังดูละเมอเพ้อพก แต่มันก็เป็นจริงได้นะ ตอนนี้แฮปปี้มาก เมื่อขายได้เรื่องหนึ่ง เรื่องต่อๆไปก็ตามมา ทำฟรีแลนซ์เขียนแบบ เขียนนิยายอยู่บ้าน มีความสุข ได้ดูแลพ่อแม่ เวลาทุกวินาทีใช้ไปอย่างคุ้มค่า
ขอบอกเลยว่า ครอบครัวคือสิ่งสำคัญ เป็นทั้งแรงใจ และสิ่งที่บั่นทอนกำลังใจได้มากที่สุด เอาตรงๆตอนนี้ พ่อแม่ก็ยังไม่เข้าใจ เค้าเป็นข้าราชการ เค้ามีแนวคิดอีกแบบนึง ถึงกระนั้นก็เข้าใจพ่อแม่นะ ทุกครั้งที่ทางบ้านคุยถึงความเป็นไปในชีวิต ถึงได้เงินเฉลี่ยเดือนละเยอะ แต่เค้าก็รู้สึกว่ามันไม่มั่นคงอยู่ดี รู้สึกเจ็บในอก แต่ก็ยิ้มๆชวนคุยเรื่องอื่นไป แอบร้องไห้แอบน้อยใจ เวลาเจอปัญหาก็บอกไม่ได้ ต้องพยายามจัดการด้วยตัวเอง พออยู่ต่อหน้าครอบครัวก็ต้องสวมบทเป็นลูก เป็นเด็กร่าเริงคนเดิม เป็นคนๆเดิมของครอบครัว มันทรมานนะ... ต่อให้ใครชื่นชมเรามากมายเท่าไหร่ ก็ไม่เท่าเศษเสี้ยวความเข้าใจของคนในครอบครัวหรอก
อินมาก อยากตอบแทนน้องของจขกท. ถ้าเห็นคนที่บ้านมาต้องกระทู้แบบนี้ เข้าใจ แต่คงเสียใจมากจริงๆ
ถามว่าไม่กลัวลูกเมียลำบากหรอ?(ถ้าเป็นชะนีอย่างเดี๊ยนคงหมายถึงพ่อแม่พี่น้องละมั้ง) เพราะส่วนมากทำตัวเพ้อๆอดอยากปากแห้ง...บลาๆๆ
ถามว่าไม่กลัวครอบครัวลำบากเหรอ...กลัวค่ะ ความกลัวนี้น่าจะเป็นกันทุกคน แต่ในอีกแง่นึง มันคือแรงผลักดันที่ดีมาก
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนที่มีอาชีพอิสระ ก็คือครอบครัว เพราะความไม่มั่นคงในแง่ต่างๆทำให้คนในครอบครัวขาดความเชื่อมั่น ซึ่งบั่นทอนกำลังใจกันโคตรๆ ไม่ใช่ไม่กลัวนะ แต่พยายามอยู่ ขอให้เข้าใจในจุดๆนี้
ส่วนมากทำตัวเพ้อๆอดอยากปากแห้ง
เฮ้ย! คิดได้ไง ส่วนมากตรงไหน เท่าที่เห็นนักเขียนค่อนไปทางพอมีพอกินมากเลยนะ เพราะว่าส่วนใหญ่ ใหญ่มากๆ ไม่ได้เขียนหากินอย่างเดียว เค้าทำอาชีพอื่นด้วย เพราะข้อแรกไงคะ กลัวครอบครัวลำบาก อันชื่อว่าเป็นนักเขียน ความฝันสูดสุดก็คือการได้เขียน(แบบที่มีจะ-) แต่สังคมสมัยนี้มันยาก เลยต้องพยายามเป็นสองเท่าตัว กลางวันทำงานประจำกลางคืนนั่งเขียนต๊อกแต๊กๆไปเรื่อย มันเหนื่อยนะ เอาตรงๆเลยตอนที่นิยายตัวเองยังขายไม่ได้ เจ็บปวดมาก เคยนั่งทบทวนตัวเองหลายรอบว่ามันใช่รึเปล่า ตอบเลยว่า ใช่ไม่ใช่ไม่รู้ แต่รักไปแล้ว(ที่บ้านไม่รู้ด้วย) แต่พอนิยายขายได้ตีพิมพ์ได้เงิน ถึงเป็นเงินไม่กี่หมื่น แต่สิ่งแรกที่ทำคือให้พ่อกับแม่ อยากบอกเค้าว่า ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ฟังดูละเมอเพ้อพก แต่มันก็เป็นจริงได้นะ ตอนนี้แฮปปี้มาก เมื่อขายได้เรื่องหนึ่ง เรื่องต่อๆไปก็ตามมา ทำฟรีแลนซ์เขียนแบบ เขียนนิยายอยู่บ้าน มีความสุข ได้ดูแลพ่อแม่ เวลาทุกวินาทีใช้ไปอย่างคุ้มค่า
ขอบอกเลยว่า ครอบครัวคือสิ่งสำคัญ เป็นทั้งแรงใจ และสิ่งที่บั่นทอนกำลังใจได้มากที่สุด เอาตรงๆตอนนี้ พ่อแม่ก็ยังไม่เข้าใจ เค้าเป็นข้าราชการ เค้ามีแนวคิดอีกแบบนึง ถึงกระนั้นก็เข้าใจพ่อแม่นะ ทุกครั้งที่ทางบ้านคุยถึงความเป็นไปในชีวิต ถึงได้เงินเฉลี่ยเดือนละเยอะ แต่เค้าก็รู้สึกว่ามันไม่มั่นคงอยู่ดี รู้สึกเจ็บในอก แต่ก็ยิ้มๆชวนคุยเรื่องอื่นไป แอบร้องไห้แอบน้อยใจ เวลาเจอปัญหาก็บอกไม่ได้ ต้องพยายามจัดการด้วยตัวเอง พออยู่ต่อหน้าครอบครัวก็ต้องสวมบทเป็นลูก เป็นเด็กร่าเริงคนเดิม เป็นคนๆเดิมของครอบครัว มันทรมานนะ... ต่อให้ใครชื่นชมเรามากมายเท่าไหร่ ก็ไม่เท่าเศษเสี้ยวความเข้าใจของคนในครอบครัวหรอก
อินมาก อยากตอบแทนน้องของจขกท. ถ้าเห็นคนที่บ้านมาต้องกระทู้แบบนี้ เข้าใจ แต่คงเสียใจมากจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
คนที่เป็นนักเขียน ศิลปิน อาร์ตติสเค้าไม่กลัวลูกเมียลำบากหรอคะ เห็นส่วนมากทำตัวเพ้อๆ อดอยากปากแห้ง
แล้วผู้หญิงกล้าแต่งกับคนแบบนี้ได้ไง
น้องชายเราเป็นพวกติสต์ตอนนี้ที่บ้านเครียดมาก
เพือ่นร่วมรุ่นสองสามคนได้สามีเป็นติสต์ โห ชีวิตลำบากมากกกก