แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย กระทู้ที่แล้วเค้าทำอะไรลงไปเนี่ย O_o" อ่านๆไปเริ่มรู้สึกเหมือนนอกใจตาสนูปี้ยังไงยังงั้นเลยค่ะ ต้องขออภัยแฟนๆตาหนุ่มแห้งมา ณ ที่นี้ด้วยเด้อ
กลับมาเข้าเรื่องกันค่ะ...
ช่วงนี้ิ เราเริ่มงอแงขอให้ตานุปปี้สอนถาษาญี่ปุ่นให้แล้วค่ะ แกรมม่งแกรมม่าช่างมันก่อน ตอนนี้เริ่มให้ฮีสอนพูดให้บ้าง แต่ด้วยความที่เราเป้นคนหัวช้ามากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ก็เลยไปกันได้ทีละนิดเดียว เพราะก่อนที่จะมีแฟนญี่ปุ่น เราเป็นคนที่ไม่ได้สนใจอะไรกะวัฒนธรรมบ้านเค้าเลยซักนิด นอกจากโนดาเมะและการ์ตูนอีกไม่กี่เรื่อง ความรู้เกี่ยวกับญี่ปุ่นถือว่าเป็นศูนย์ค่ะ เหอๆๆ
ทีนี้ เราก็เลยไปเดินหาซื้อหนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเองมาเล่มนึง และมางุ้งงิ้งๆกะฮี ให้สอนพูดให้หน่อย (คือเรียนเองก็ได้ แต่คนมันอยากอ้อนอะฮ่าาาา) ฮีก็ทำหน้าประมาณว่า จริงอ๊ะ (ตอนเค้ามาไทย สอนเพื่อนเราพูดกันขำๆ เราก็นั่งบื้อประหนึ่งว่า ชั้นไม่เอาด้วยล่ะย่ะ) และฮีก็พยักหน้าทันที
เริ่มเรียนกันได้แล้ววววววววววว
ก็เรียนคำที่ใช้กันปกติทั่วไป แต่อยากจะบอกว่าลีลาการสอนของฮีมันไม่ธรรมดาเลยค่ะ อยู่ในโหมดการทักทาย ตอนแรกเราก็สวัสดีตอนเช้า ตอนนู่นตอนนี่กันอยู่ ซํกพักเริ่มมีแอคติ้งประกอบ
ฮี : นี่ๆ ลองดูนะ เรากลับมาถึงบ้าน (ทำท่าเปิดประตู แล้วโบกมือนิดๆ) กลับมาแล้วคร้าบบบบบบบบบบบบบบ
เรา : อ่าฮะ (ขำท่าอยู่)
ฮี : ส่วนเธอก็ (เอามือประกบกัน แปะไว้ข้างแก้ม แล้วเอียงหัวด้วยท่าทางแรดมาก ทำเสียงเล็กเสียงน้อย) ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่าาาาาาา
อะจ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หลังจากนั้น เหตุการณ์ก็ยังคงดำเนินต่อไป มีกระทั่ง ราตรีสวัวดิ์ค่ะดาร์ลิ้ง หรือ ที่รักหล่อจังเลยยยยยยย ถ้าไม่ดาร์ลิ้ง ก็โอนี่จัง และเมื่อเราพูดแบบเอ๋อๆ ฮีก็จะส่ายหน้า บอก ไม่เอาๆ น่ารักกว่านี้อีกสิ แล้วก็จะทำท่าให้ดู ไอ้ท่าแอ๊บแบ๊วที่เราเคยเห็นกันทั้งหลาย ท่าเอามือชกหัว ชกหน้าตัวเอง พี่แกทำโม้ดดดดดดดดดดดดดดดดด (จริงๆนุปปี้เด็กกว่า จขกท ปีกว่าๆค่ะ)
วันนึงเริ่มเซ็ง บ่นกะฮีว่า ไม่เรียนแล้วได้ปะ ฮีบอกว่า เรียนสิ เดี๋ยวต่อไปเธอมาอยู่ที่นี่เธอก็ต้องใช้นะ เพราะคนญี่ปุ่นไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษนะ ก็เลยย้อนฮีกลับไปว่า เธอกํหัดพูดไทยดิ ฮีเลยสวนกลับมาว่า นี่ไง พูดได้แล้ว อะไรวะ โชเฮต้มยำกุ้ง (อันนี้ศัพท์ใหม่ฮีคิดเองค่ะเอามาจชื่อตัวเองบวกต้มยำกุ้ง วันดีคืนดีจะกลายเป็น รักนะต้มยำกุ้ง) รักนะแพนจัง ที่รักค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
อา...อยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายจริงๆ
ถามว่าตอนนี้เราได้อะไรบ้าง...ไม่ได้เลยอะ 5555555555555555555555
ปล.ใครมีหนังสือฝึกพูดญี่ปุ่นดีๆ อ่านเข้าใจง่ายๆ ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ช่วยแนะนำกันมาหน่อยนะคะ จขกท อยากได้อีกอ่ะ หุหุหุ
เรื่องถัดมา มันคือเรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่ค่ะ เพราะว่า จขกท ลืมเขียนตั้งแต่ตอนนู้นนนนนนนนนนนนนนน (ตอนไหนไม่รู้ จำไม่ได้ นานเกิ๊น) เพิ่งมานึกได้ก็อีตอนมาเจออากาศร้อนเมืองไทยแล้วบ่นอุบเลยว่าอยากกลับนิวยอร์ค ก็เลยนึกขึ้นได้ว่าอากาศที่นั่นมันหนาวขนาดไหน เพราะตอนนั้นก็แทบตายเหมือนกันค่ะ
เนื่องจากว่าเราเป้นผู้หญิงผอมแห้ง บอบบาง(เหรออออ) ดังนั้น ดีกรีการต้านทานความหนาวของเราเท่ากับศูนย์ เรียกว่าอยู่เมืองไทย ใครเปิดแอร์ต่ำกว่ายี่สิบห้า เราก็เริ่มจะงอแงเอาผ้าหห่มมาห่อตัวเองเป้นดักแด้แล้ว แล้วนี่อะไร้ ไปเจออากาศติดลบยังงั้นเรอะ หึๆๆ
ช่วงที่ จขกท ไปถึงที่นั่นเป็นช่วงปลายๆฤดูใบไม้ผลิค่ะ ความหนาวไม่มีเลยสักนิด (เย็นๆบ้างเป็นบางวัน แต่ยังอยู่ในระดับที่พอทนได้อะนะ) และเป็นความซวยมากที่ไม่เคยมีเสื้อผ้าหน้าหนาวที่มันอุ่นพอสำหรับอากาศที่นั่นชัวร์ๆ ก็เลยไม่เอาอะไรไปเลย(เพราะน้ำหนักเกิน) สุดท้าย ระหว่าวงเดินเล่นอยู่ในเบอร์ลิงตัน ซึ่งเป็นร้านขายของเแบรนด์กลางๆ ราคาไม่แพงมาก น่าจะตกรุ่นแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ จขกท ก็เลยสอยเสื้อโค้ทมาตัวนึงค่ะ สีน้ำตาลหนานุ่มชุ่มชีส...ไม่ใช่ละ มีขนๆ(ปลอม)ที่คอกับข้อมือ ดูแล้วอุ่นชัวร์ กับเสื้อโค้ทของGuessสีม่วงแปร๊ดมาอีกตัว ซึ่งตัวนั้นถือเป้นรักแรกพบเลยค่ะ ชอบม้ากมาก
สรุปว่าวันนั้น...หมดตูด...
เดือนกันยา พอเริ่มหนาว ก็ยังใส่แจ็กเก็ตได้อยู่บ้าง แต่เริ่มมีเลกวอร์ม เสื้อคอเต่า เริ่มมีเลกกิ้งเข้ามาเอี่ยว
หลังจากผานไป เข้าเดือนตุลาคม...เสื้อโค้ทเหอะ ^^"
พฤศจิกายน ทุกอย่างเริ่มมีสองชั้น ยิ้งช่วงปลายเดือนเริ่มเข้าขั้นโคม่า ตอนนี้ จขกท ต้องใส่ทุกอย่างสองชั้น เลกกิ้งก็สองชั้น ถึงขั้นไปซื้ออุปกรณ์กันหนาวมาเพิ่มทั้งๆที่รู้แล้วว่ากำลังจะกลับเมืองไทย เนื่องจากมันไม่ไหวจริงๆค่ะ ถ้าไม่ซื้อมา จขกท อาจกลายเป็นไอติมอยู่ที่นิวยอร์คเป็นแน่แท้ วันนั้นหมดไปร้อยกว่าเหรียญ หมดตูดอีกแล้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว ที่น่าโมโหกว่าก็คือ ไปซื้อของวันจันทร์กับเพื่อนสาว และเพื่อนมานึกได้อีตอนกลับมาแล้วว่า วันศุกร์นี้มัน Black Friday หลังวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งทุกร้านมันจะลดราคาของกระหน่ำ!! ไม่ทันแล้ว ฮือออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ
อีกหนึ่งความทรมานของ จขกท ก็คือ ไอ้เจ้าเสื้อโค้ทขน(ปลอม)นั่นล่ะค่ะ ใส่แรกๆก็อุ่นดีหรอก แต่พอเริ่มหนาวมากๆ จขกท ก็ต้องใส่ข้างในหลายชั้นเข้า สุดท้ายบอกได้คำเดียวว่าเดี้ยง
คงเป็นที่น้ำหนักเสื้อผ้าด้วย เพราะมันทั้งหลายชั้นมาก ทั้งหนา หลังจากผ่านไปสี่ห้าวัน จขกท ถึงขั้นป่วยค่ะ กล้ามเนื้อระบมไปทั้งตัว ปวดเหมือนโดนใครตื้บมาชุดใหญ่ (แต่ถ้าดูจากความกวนประสาท มันก็เป็นไปได้นะ ที่จะมีใครแอบวางยาแล้วรุมประชาทัณฑ์ซะ) สุดท้ายก็เลยต้องเลิกใส่ (ซื้อมาตัวละร้อยเหรียญ ใส่อยู่สามวัน เจริญค่าาาา)
ทีนี้ จขกท ก็เลยไปปรึกษาเพื่อนว่า จะเอาไงดี ใส่อีเสื้อนี่ไม่ไหวแล้วจริงๆ เพื่อนก็เลยบอกว่า ไปซื้อเสื้อโค้ทของยูนิโคล่มาใส่ดิ หรือแบรนด์อืน พวกคาลวิน ไคลน์ หรืออะไรเทือกๆนี้ เค้าก็ทำเสื้อแบบน้ำหนักเบาออกมาขายแล้วนะ แต่ด้วยความที่เพื่อนคนไทย (ถ้าใครอ่านมาตั้งแต่ตอนแรก ก็คนที่ไมไ่ด้ไปรับ จขกท นั่นล่ะค่ะ) เค้าบอกว่า เสื้อพวกนี้ใส่ตอนหนาวจัดๆก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน แต่เพื่อนญี่ปุ่นยืนยันว่ามันอุ่น ไปลองดูละกัน จขกท ก็เลย เอ้า เอาวะ ลองดูซํกหน่อย ถ้าไม่พอยังไงเรายังมีเสื้อโต้ทบางอีกตัว ใส่ด้วยกันมันก็คงพอได้อยู่หรอก
ปรากฏว่า เสื้อโค้ทใหม่นั่นมันอุ่นม้ากง่ะ และเพราะช่วงเดือนธันวา มกรา จขกท ใส่ทุกอย่างสามสี่ชั้นหมด แน่นอนว่ามันก็อุ่นค่ะ จริงๆเรื่องอุ่นเนี่ยมันไม่เป้นปัญหาเท่าไหร่ แต่ทำยังไงให้อุ่นและเบานี่ล่ะ ก็เลยตัดปัญหาไปได้เยอะเลยทีเดียวเพราะเสื้อมันเบา (นึกออกกันใช่ไหมคะ มันมีรุ่นเบาบางทั้งหลาย ที่พับยัดใส่ถุงผ้าเล็กๆที่มากับเสื้อได้ สะดวกดีแท้)
แต่ปัญหาโลกแตกก็ยังไม่หมดซะทีเดียว เพราะอย่างที่รู้กันว่า อุณหภูมิย่อมมีขึ้นมีลง แต่ขอโทษเถอะ...มันจะขึ้นลงอะไรกันหวือหวาขนาดนั้นเล่า
วันก่อนลบสิบสอง หนาวจัดมาก วันถัดมาขึ้นมาเป็นสีองศาซะงั้น อีกวันขึ้นไปสิบเอ็ด วันนั้น จขกท ถึงขั้นเดินถอดโต้ทยัดใส่ถุงไว้ ใส่แต่เสื้อคอเต่าสองตัวซ้อนกัน กับกระโปรง แต่มีเลกกิ้งและรองเท้าบู๊ทอยู่ครบ เดินเล่นกลางไทม์สแควร์ โดยมีสายตาของนักท่องเที่ยวทั้งหลายมองแบบงงๆ ประมาณว่ายัยนี่มันบ้าหรือเปล่า แต่อุณหภูมิปลี่ยนเร็วขนาดนั้น จากติดลบมาเป็นสิบกว่าองศา จขกท ก็ถือว่าอุ่นแล้วค่ะ (เริ่มชิน อิอิ)
ต้นมกรา ช่วงนั้นเมืองไทยอากาศเย็น เห้นเพื่อนไปเที่ยวเชียงใหม่กัน อุณหภูมิสิบองศานิดๆ ทุกคนใส่โค้ทและเอียร์มัฟ จขกท แทบจะกรี๊ดใส่จอคอม (เป็นนางร้ายไม่ดีนะฮ้า) อยากแว้กใส่ว่า อย่ามาหนาวว้อย ตอนนี้ชั้นอยากได้ไอ้สิบกว่าองศานั่นมาก เพราะที่นี่พายุหิมะเข้า หนาวติดลบ หิมะท่วมยันเข่า
นิวยอร์ค บทจะร้อนก็ร้อนจนแทบแก้ผ้าเดิน บทจะหนาวก็หนาวจนเท้าชา โลกนี้มีอะไรพอดีมั่งเนี่ยยยยยย
แต่จนแล้วจนรอด จขกท ก็ไม่ได้ทำท่าแอ๊บแบ๊วใส่เอียร์มัฟซะที เพราะหลังจากลองใส่ไปครั้งนึงก็ต้องโยนทิ้ง (ยืมเพื่อนมา ทิ้งได้ไงเล่า) เพราะมันน่ารำคาญมากค่ะ เหมือนก้อนอะไรมาจุกที่หู โดยเฉพาะแบบฟูๆทั้งหลาย ไม่ไหวจริงๆ ว่าแล้วก็มาสวมหมวกไหมพรมถักเหมือนเดิม เอาผ้าพันหน้าเหลือแต่ลูกกะตาโผล่เหมือนเดิม อ๊ะหุๆๆๆ
ช่วงนั้นนุปปี้บ่นว่า โอซาก้าหนาวจัง พอเช็คแล้วแค่สิบสององศา เลยแกล้งกัดเธอไปว่า ที่นี่ลบสิบห้า มาแลกกันมะล่ะ หึหึหึ
แต่เพราะรู้ว่าหนาว จขกท ก็เลยทำผ้าพันคอส่งไปให้ฮีที่ญี่ปุ่น แต่ด้วยความเป้นแม่ศรีเรือน ก็ไม่สามารถทำเองจบเองได้ ต้องส่งกลับไทยไปให้แม่ช่วยทำให้เสร็จค่ะ ="= และแม่ก็เลยแถมหมวกให้อีกใบ ใช้น้องชายส่งไปญี่ปุ่น ซึ่งพ่อคุณก็น่ารักมาก จ่าหน้ากล่อง ชื่อและที่อยู่ผู้ส่งเป้นภาษาไทย มีแปะคำว่าไทยแลนด์เป็นภาษาอังกฤษอยู่คำเดียว ชื่อผู้รับเป็นภาษาปะกิดตามปกติ ตอนที่ของไปถึงญี่ปุ่น ฮีก็กำลังคุยกับ จขกท ตามปกติ จนแม่มาเคาะห้องให้ออกไปหาหน่อย เงียบไปสักพักก็มีเสียงกรี๊ดขึ้นมา ตามด้วยเสียงคุยไม่ได้ศัพท์ (แหงสิ เธอฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออกนี่ยะ) สักพักคุณชายก็พันผ้าพันคอเดินเ้ข้ามา หุหุหุ เซอไพรส์!!!!!
ดูเถิด ญี่ปุ่นคงหนาวจริงๆ ขนาดซ้อมบัลเล่ต์ก็ยัง...
ได้เวลาชิ่งแล้ว เดี๋ยว จขกท ต้องไปตามล่าสมัครงานต่อค่ะ ยังไม่ได้งานเลย เมืองไทยนี่งานช่างหาได้ยากเย็นยิ่งนัก
จบดื้อๆเลย เต้นออกฉากไปเนียนๆ ช่วงนี้อากาศร้อน รักษาสุขภาพกันด้วยนะค้าาาาา (เอ่อ เพื่ออะไร??)
เรื่องเล่าจากสาวเอ๋อ :: เมื่อSnoopy Boyเริ่มสอนภาษาญี่ปุ่น และแพนจังกับหน้าหนาวในนิวยอร์ค
กลับมาเข้าเรื่องกันค่ะ...
ช่วงนี้ิ เราเริ่มงอแงขอให้ตานุปปี้สอนถาษาญี่ปุ่นให้แล้วค่ะ แกรมม่งแกรมม่าช่างมันก่อน ตอนนี้เริ่มให้ฮีสอนพูดให้บ้าง แต่ด้วยความที่เราเป้นคนหัวช้ามากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ก็เลยไปกันได้ทีละนิดเดียว เพราะก่อนที่จะมีแฟนญี่ปุ่น เราเป็นคนที่ไม่ได้สนใจอะไรกะวัฒนธรรมบ้านเค้าเลยซักนิด นอกจากโนดาเมะและการ์ตูนอีกไม่กี่เรื่อง ความรู้เกี่ยวกับญี่ปุ่นถือว่าเป็นศูนย์ค่ะ เหอๆๆ
ทีนี้ เราก็เลยไปเดินหาซื้อหนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเองมาเล่มนึง และมางุ้งงิ้งๆกะฮี ให้สอนพูดให้หน่อย (คือเรียนเองก็ได้ แต่คนมันอยากอ้อนอะฮ่าาาา) ฮีก็ทำหน้าประมาณว่า จริงอ๊ะ (ตอนเค้ามาไทย สอนเพื่อนเราพูดกันขำๆ เราก็นั่งบื้อประหนึ่งว่า ชั้นไม่เอาด้วยล่ะย่ะ) และฮีก็พยักหน้าทันที
เริ่มเรียนกันได้แล้ววววววววววว
ก็เรียนคำที่ใช้กันปกติทั่วไป แต่อยากจะบอกว่าลีลาการสอนของฮีมันไม่ธรรมดาเลยค่ะ อยู่ในโหมดการทักทาย ตอนแรกเราก็สวัสดีตอนเช้า ตอนนู่นตอนนี่กันอยู่ ซํกพักเริ่มมีแอคติ้งประกอบ
ฮี : นี่ๆ ลองดูนะ เรากลับมาถึงบ้าน (ทำท่าเปิดประตู แล้วโบกมือนิดๆ) กลับมาแล้วคร้าบบบบบบบบบบบบบบ
เรา : อ่าฮะ (ขำท่าอยู่)
ฮี : ส่วนเธอก็ (เอามือประกบกัน แปะไว้ข้างแก้ม แล้วเอียงหัวด้วยท่าทางแรดมาก ทำเสียงเล็กเสียงน้อย) ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่าาาาาาา
อะจ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หลังจากนั้น เหตุการณ์ก็ยังคงดำเนินต่อไป มีกระทั่ง ราตรีสวัวดิ์ค่ะดาร์ลิ้ง หรือ ที่รักหล่อจังเลยยยยยยย ถ้าไม่ดาร์ลิ้ง ก็โอนี่จัง และเมื่อเราพูดแบบเอ๋อๆ ฮีก็จะส่ายหน้า บอก ไม่เอาๆ น่ารักกว่านี้อีกสิ แล้วก็จะทำท่าให้ดู ไอ้ท่าแอ๊บแบ๊วที่เราเคยเห็นกันทั้งหลาย ท่าเอามือชกหัว ชกหน้าตัวเอง พี่แกทำโม้ดดดดดดดดดดดดดดดดด (จริงๆนุปปี้เด็กกว่า จขกท ปีกว่าๆค่ะ)
วันนึงเริ่มเซ็ง บ่นกะฮีว่า ไม่เรียนแล้วได้ปะ ฮีบอกว่า เรียนสิ เดี๋ยวต่อไปเธอมาอยู่ที่นี่เธอก็ต้องใช้นะ เพราะคนญี่ปุ่นไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษนะ ก็เลยย้อนฮีกลับไปว่า เธอกํหัดพูดไทยดิ ฮีเลยสวนกลับมาว่า นี่ไง พูดได้แล้ว อะไรวะ โชเฮต้มยำกุ้ง (อันนี้ศัพท์ใหม่ฮีคิดเองค่ะเอามาจชื่อตัวเองบวกต้มยำกุ้ง วันดีคืนดีจะกลายเป็น รักนะต้มยำกุ้ง) รักนะแพนจัง ที่รักค้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
อา...อยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายจริงๆ
ถามว่าตอนนี้เราได้อะไรบ้าง...ไม่ได้เลยอะ 5555555555555555555555
ปล.ใครมีหนังสือฝึกพูดญี่ปุ่นดีๆ อ่านเข้าใจง่ายๆ ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ช่วยแนะนำกันมาหน่อยนะคะ จขกท อยากได้อีกอ่ะ หุหุหุ
เรื่องถัดมา มันคือเรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่ค่ะ เพราะว่า จขกท ลืมเขียนตั้งแต่ตอนนู้นนนนนนนนนนนนนนน (ตอนไหนไม่รู้ จำไม่ได้ นานเกิ๊น) เพิ่งมานึกได้ก็อีตอนมาเจออากาศร้อนเมืองไทยแล้วบ่นอุบเลยว่าอยากกลับนิวยอร์ค ก็เลยนึกขึ้นได้ว่าอากาศที่นั่นมันหนาวขนาดไหน เพราะตอนนั้นก็แทบตายเหมือนกันค่ะ
เนื่องจากว่าเราเป้นผู้หญิงผอมแห้ง บอบบาง(เหรออออ) ดังนั้น ดีกรีการต้านทานความหนาวของเราเท่ากับศูนย์ เรียกว่าอยู่เมืองไทย ใครเปิดแอร์ต่ำกว่ายี่สิบห้า เราก็เริ่มจะงอแงเอาผ้าหห่มมาห่อตัวเองเป้นดักแด้แล้ว แล้วนี่อะไร้ ไปเจออากาศติดลบยังงั้นเรอะ หึๆๆ
ช่วงที่ จขกท ไปถึงที่นั่นเป็นช่วงปลายๆฤดูใบไม้ผลิค่ะ ความหนาวไม่มีเลยสักนิด (เย็นๆบ้างเป็นบางวัน แต่ยังอยู่ในระดับที่พอทนได้อะนะ) และเป็นความซวยมากที่ไม่เคยมีเสื้อผ้าหน้าหนาวที่มันอุ่นพอสำหรับอากาศที่นั่นชัวร์ๆ ก็เลยไม่เอาอะไรไปเลย(เพราะน้ำหนักเกิน) สุดท้าย ระหว่าวงเดินเล่นอยู่ในเบอร์ลิงตัน ซึ่งเป็นร้านขายของเแบรนด์กลางๆ ราคาไม่แพงมาก น่าจะตกรุ่นแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ จขกท ก็เลยสอยเสื้อโค้ทมาตัวนึงค่ะ สีน้ำตาลหนานุ่มชุ่มชีส...ไม่ใช่ละ มีขนๆ(ปลอม)ที่คอกับข้อมือ ดูแล้วอุ่นชัวร์ กับเสื้อโค้ทของGuessสีม่วงแปร๊ดมาอีกตัว ซึ่งตัวนั้นถือเป้นรักแรกพบเลยค่ะ ชอบม้ากมาก
สรุปว่าวันนั้น...หมดตูด...
เดือนกันยา พอเริ่มหนาว ก็ยังใส่แจ็กเก็ตได้อยู่บ้าง แต่เริ่มมีเลกวอร์ม เสื้อคอเต่า เริ่มมีเลกกิ้งเข้ามาเอี่ยว
หลังจากผานไป เข้าเดือนตุลาคม...เสื้อโค้ทเหอะ ^^"
พฤศจิกายน ทุกอย่างเริ่มมีสองชั้น ยิ้งช่วงปลายเดือนเริ่มเข้าขั้นโคม่า ตอนนี้ จขกท ต้องใส่ทุกอย่างสองชั้น เลกกิ้งก็สองชั้น ถึงขั้นไปซื้ออุปกรณ์กันหนาวมาเพิ่มทั้งๆที่รู้แล้วว่ากำลังจะกลับเมืองไทย เนื่องจากมันไม่ไหวจริงๆค่ะ ถ้าไม่ซื้อมา จขกท อาจกลายเป็นไอติมอยู่ที่นิวยอร์คเป็นแน่แท้ วันนั้นหมดไปร้อยกว่าเหรียญ หมดตูดอีกแล้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว ที่น่าโมโหกว่าก็คือ ไปซื้อของวันจันทร์กับเพื่อนสาว และเพื่อนมานึกได้อีตอนกลับมาแล้วว่า วันศุกร์นี้มัน Black Friday หลังวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งทุกร้านมันจะลดราคาของกระหน่ำ!! ไม่ทันแล้ว ฮือออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ
อีกหนึ่งความทรมานของ จขกท ก็คือ ไอ้เจ้าเสื้อโค้ทขน(ปลอม)นั่นล่ะค่ะ ใส่แรกๆก็อุ่นดีหรอก แต่พอเริ่มหนาวมากๆ จขกท ก็ต้องใส่ข้างในหลายชั้นเข้า สุดท้ายบอกได้คำเดียวว่าเดี้ยง
คงเป็นที่น้ำหนักเสื้อผ้าด้วย เพราะมันทั้งหลายชั้นมาก ทั้งหนา หลังจากผ่านไปสี่ห้าวัน จขกท ถึงขั้นป่วยค่ะ กล้ามเนื้อระบมไปทั้งตัว ปวดเหมือนโดนใครตื้บมาชุดใหญ่ (แต่ถ้าดูจากความกวนประสาท มันก็เป็นไปได้นะ ที่จะมีใครแอบวางยาแล้วรุมประชาทัณฑ์ซะ) สุดท้ายก็เลยต้องเลิกใส่ (ซื้อมาตัวละร้อยเหรียญ ใส่อยู่สามวัน เจริญค่าาาา)
ทีนี้ จขกท ก็เลยไปปรึกษาเพื่อนว่า จะเอาไงดี ใส่อีเสื้อนี่ไม่ไหวแล้วจริงๆ เพื่อนก็เลยบอกว่า ไปซื้อเสื้อโค้ทของยูนิโคล่มาใส่ดิ หรือแบรนด์อืน พวกคาลวิน ไคลน์ หรืออะไรเทือกๆนี้ เค้าก็ทำเสื้อแบบน้ำหนักเบาออกมาขายแล้วนะ แต่ด้วยความที่เพื่อนคนไทย (ถ้าใครอ่านมาตั้งแต่ตอนแรก ก็คนที่ไมไ่ด้ไปรับ จขกท นั่นล่ะค่ะ) เค้าบอกว่า เสื้อพวกนี้ใส่ตอนหนาวจัดๆก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน แต่เพื่อนญี่ปุ่นยืนยันว่ามันอุ่น ไปลองดูละกัน จขกท ก็เลย เอ้า เอาวะ ลองดูซํกหน่อย ถ้าไม่พอยังไงเรายังมีเสื้อโต้ทบางอีกตัว ใส่ด้วยกันมันก็คงพอได้อยู่หรอก
ปรากฏว่า เสื้อโค้ทใหม่นั่นมันอุ่นม้ากง่ะ และเพราะช่วงเดือนธันวา มกรา จขกท ใส่ทุกอย่างสามสี่ชั้นหมด แน่นอนว่ามันก็อุ่นค่ะ จริงๆเรื่องอุ่นเนี่ยมันไม่เป้นปัญหาเท่าไหร่ แต่ทำยังไงให้อุ่นและเบานี่ล่ะ ก็เลยตัดปัญหาไปได้เยอะเลยทีเดียวเพราะเสื้อมันเบา (นึกออกกันใช่ไหมคะ มันมีรุ่นเบาบางทั้งหลาย ที่พับยัดใส่ถุงผ้าเล็กๆที่มากับเสื้อได้ สะดวกดีแท้)
แต่ปัญหาโลกแตกก็ยังไม่หมดซะทีเดียว เพราะอย่างที่รู้กันว่า อุณหภูมิย่อมมีขึ้นมีลง แต่ขอโทษเถอะ...มันจะขึ้นลงอะไรกันหวือหวาขนาดนั้นเล่า
วันก่อนลบสิบสอง หนาวจัดมาก วันถัดมาขึ้นมาเป็นสีองศาซะงั้น อีกวันขึ้นไปสิบเอ็ด วันนั้น จขกท ถึงขั้นเดินถอดโต้ทยัดใส่ถุงไว้ ใส่แต่เสื้อคอเต่าสองตัวซ้อนกัน กับกระโปรง แต่มีเลกกิ้งและรองเท้าบู๊ทอยู่ครบ เดินเล่นกลางไทม์สแควร์ โดยมีสายตาของนักท่องเที่ยวทั้งหลายมองแบบงงๆ ประมาณว่ายัยนี่มันบ้าหรือเปล่า แต่อุณหภูมิปลี่ยนเร็วขนาดนั้น จากติดลบมาเป็นสิบกว่าองศา จขกท ก็ถือว่าอุ่นแล้วค่ะ (เริ่มชิน อิอิ)
ต้นมกรา ช่วงนั้นเมืองไทยอากาศเย็น เห้นเพื่อนไปเที่ยวเชียงใหม่กัน อุณหภูมิสิบองศานิดๆ ทุกคนใส่โค้ทและเอียร์มัฟ จขกท แทบจะกรี๊ดใส่จอคอม (เป็นนางร้ายไม่ดีนะฮ้า) อยากแว้กใส่ว่า อย่ามาหนาวว้อย ตอนนี้ชั้นอยากได้ไอ้สิบกว่าองศานั่นมาก เพราะที่นี่พายุหิมะเข้า หนาวติดลบ หิมะท่วมยันเข่า
นิวยอร์ค บทจะร้อนก็ร้อนจนแทบแก้ผ้าเดิน บทจะหนาวก็หนาวจนเท้าชา โลกนี้มีอะไรพอดีมั่งเนี่ยยยยยย
แต่จนแล้วจนรอด จขกท ก็ไม่ได้ทำท่าแอ๊บแบ๊วใส่เอียร์มัฟซะที เพราะหลังจากลองใส่ไปครั้งนึงก็ต้องโยนทิ้ง (ยืมเพื่อนมา ทิ้งได้ไงเล่า) เพราะมันน่ารำคาญมากค่ะ เหมือนก้อนอะไรมาจุกที่หู โดยเฉพาะแบบฟูๆทั้งหลาย ไม่ไหวจริงๆ ว่าแล้วก็มาสวมหมวกไหมพรมถักเหมือนเดิม เอาผ้าพันหน้าเหลือแต่ลูกกะตาโผล่เหมือนเดิม อ๊ะหุๆๆๆ
ช่วงนั้นนุปปี้บ่นว่า โอซาก้าหนาวจัง พอเช็คแล้วแค่สิบสององศา เลยแกล้งกัดเธอไปว่า ที่นี่ลบสิบห้า มาแลกกันมะล่ะ หึหึหึ
แต่เพราะรู้ว่าหนาว จขกท ก็เลยทำผ้าพันคอส่งไปให้ฮีที่ญี่ปุ่น แต่ด้วยความเป้นแม่ศรีเรือน ก็ไม่สามารถทำเองจบเองได้ ต้องส่งกลับไทยไปให้แม่ช่วยทำให้เสร็จค่ะ ="= และแม่ก็เลยแถมหมวกให้อีกใบ ใช้น้องชายส่งไปญี่ปุ่น ซึ่งพ่อคุณก็น่ารักมาก จ่าหน้ากล่อง ชื่อและที่อยู่ผู้ส่งเป้นภาษาไทย มีแปะคำว่าไทยแลนด์เป็นภาษาอังกฤษอยู่คำเดียว ชื่อผู้รับเป็นภาษาปะกิดตามปกติ ตอนที่ของไปถึงญี่ปุ่น ฮีก็กำลังคุยกับ จขกท ตามปกติ จนแม่มาเคาะห้องให้ออกไปหาหน่อย เงียบไปสักพักก็มีเสียงกรี๊ดขึ้นมา ตามด้วยเสียงคุยไม่ได้ศัพท์ (แหงสิ เธอฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออกนี่ยะ) สักพักคุณชายก็พันผ้าพันคอเดินเ้ข้ามา หุหุหุ เซอไพรส์!!!!!
ดูเถิด ญี่ปุ่นคงหนาวจริงๆ ขนาดซ้อมบัลเล่ต์ก็ยัง...
ได้เวลาชิ่งแล้ว เดี๋ยว จขกท ต้องไปตามล่าสมัครงานต่อค่ะ ยังไม่ได้งานเลย เมืองไทยนี่งานช่างหาได้ยากเย็นยิ่งนัก
จบดื้อๆเลย เต้นออกฉากไปเนียนๆ ช่วงนี้อากาศร้อน รักษาสุขภาพกันด้วยนะค้าาาาา (เอ่อ เพื่ออะไร??)