สงสัย!
ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกบุกไทย
ทหารเรือหายไปไหน
สงครามโลกครั้งที่ ๒ เริ่มขึ้นในวันที่ ๑ กันยายน ๒๔๘๒ เมื่อกองทัพเยอรมันบุกโปแลนด์ หลังจากนั้น ๔ วันไทยประกาศตัวเป็นกลาง ตามพระบรมราชโองการลงวันที่ ๕ กันยายน ๒๔๘๒
นี่เป็นจุดเริ่มต้นอันมีส่วนสำคัญที่นำไทยเข้าสู่สงครามย่อยๆ คือ กรณีพิพาทอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ซึ่งไทยถือเอาโอกาสเหมาะที่ฝรั่งเศสกำลังรบติดพันและเพลี่ยงพล้ำเป็นข้อได้เปรียบที่จะเรียกร้องขอดินแดนคืนที่เสียไปเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ ในกรณี ร.ศ. ๑๑๒
กองทัพไทยเริ่มรุกเข้าดินแดนฝรั่งเศสในอินโดจีนตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๘๓ และรุกคืบได้ชัยชนะเรื่อยมา จนในที่สุดญี่ปุ่นก็ยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ย จนมีการลงนามในอนุสัญญาสันติภาพในวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๔
แม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้เราได้ดินแดนบางส่วนคืน แต่กองทัพไทยก็ตกอยู่ในสภาพบอบช้ำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกองทัพเรือต้องเสียเรือรบที่ส่งเข้าสงครามครั้งนี้ไปทั้งหมด คือ เรือหลวงธนบุรี เรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรี
จนกระทั่งวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๔๘๔ ประชาชนชาวไทยกำลังอยู่ในบรรยากาศของงานฉลองรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลจัดขึ้น โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเหตุการณ์ร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวทุกที และในที่สุดกลางดึกของคืนวันที่ ๗ ต่อเนื่องถึงเช้าวันที่ ๘ ฝันร้ายก็เกิดขึ้นแบบตั้งตัวไม่ทัน
ทางฝ่ายรัฐบาลและทหารเอง ได้เตรียมการเรื่องนี้มานานพอสมควรแล้ว แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าญี่ปุ่นจะบุกจริงๆ เพราะยังมีสนธิสัญญาที่จะไม่รุกรานกันค้ำประกันอยู่ ทางด้านการข่าว ไทยได้รับข่าวจากฝ่ายสัมพันธมิตรอยู่ตลอดเวลาให้เตรียมการในเรื่องนี้ และยืนยันว่าญี่ปุ่นวางแผนจะยึดครองอินโดจีนเป็นที่แน่นอน
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ประมาณตีสองของวันที่ ๘ ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกตลอดแนวชายฝั่งของไทย เป็นการบุกแบบสายฟ้าแลบ และก็ประสบผลสำเร็จ แทบจะเป็นเวลาเดียวกับฐานทัพอเมริกันที่เพิร์ลฮาเบอร์ถูกกองทัพญี่ปุ่นถล่มย่อยยับ
นี่คือลำดับเหตุการณ์คร่าวๆ ของการเริ่มต้นสงครามมหาเอเชียบูรพา สิ่งที่สร้างความสงสัยอย่างยิ่งในเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือ กองทัพเรือขนาดมหึมาของญี่ปุ่นเล็ดลอดการตรวจระวังชายฝั่งของกองทัพเรือมาได้อย่างไร โดยที่ไม่เกิดการปะทะกันแม้แต่เพียงเล็กน้อย หรือไม่ปรากฏว่ามีการส่งข่าวใดๆ จากกองทัพเรือ สู่แนวระวังชายฝั่งของกองทัพบก ทหารราบ ตำรวจ และชาวบ้าน มารู้ตัวก็เมื่อเห็นทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกแล้ว
ก่อนหน้านี้ข่าวทางการทหารที่ไทยได้รับจากฝ่ายสัมพันธมิตร ก็มีมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมจนกระทั่งแน่ชัดเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม เครื่องบินตรวจการณ์ของออสเตรเลียได้ตรวจพบเรือลำเลียงพลของญี่ปุ่นในอ่าวไทย นอกจากนี้ยังมีโทรเลขลับจากกระทรวงต่างประเทศอังกฤษส่งข่าวให้รัฐบาลไทยรู้ตั้งแต่วันที่ ๖ ธันวาคม และ ๗ ธันวาคม เตือนให้ไทยเตรียมการป้องกันการรุกรานของญี่ปุ่น
ทางด้านกองทัพเรือเอง ก็มีการเตรียมการในการนี้อยู่ตลอด จากเอกสารคำสั่งลับเฉพาะ ที่ ๕/๘๔ เรื่องให้จัดกองเรือออกไปลาดตระเวนอ่าว ลงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๔๘๔ โดยมี น.อ.ชลิต กุลกำม์ธร เป็นผู้บังคับกองเรือ กำหนดออกเรือจากกรุงเทพฯ ในวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๘๔ ระยะเวลา ๑๕ วัน เส้นทางเดินเรือตั้งแต่กรุงเทพฯ-หมู่เกาะอ่างทอง-สงขลา-นราธิวาส แล้วแล่นตัดข้ามอ่าวไปยังเกาะกูด-สัตหีบ-กรุงเทพฯ กองเรือนี้ประกอบด้วยเรือ ๘ ลำ เป็นเรือสลุบ ๒ ลำ คือ เรือหลวงท่าจีน และเรือหลวงแม่กลอง เรือตอร์ปิโดใหญ่ ๔ ลำ ได้แก่ เรือหลวงระยอง-เรือหลวงตราด เรือหลวงสุราษฎร์ และเรือหลวงปัตตานี เรือกวาดทุ่นระเบิด ๑ ลำ คือ เรือหลวงบางระจัน กับเรือลำเลียง ๑ ลำ คือเรือหลวงพงัน (ประวัติศาสตร์การสงครามของไทยในสงครามมหาเอเชียบูรพา ๒๕๔๐)
นอกจากนี้กองทัพเรือได้จัดกำลังบางส่วนเพื่อป้องกันฐานทัพเรือชายทะเล เช่นจัดกองต่อสู้อากาศยาน ๑ กองร้อย เพื่อป้องกันฐานทัพเรือสัตหีบ เป็นต้น
จนถึงวันที่ ๗-๘ ธันวาคม ก่อนการยกพลขึ้นบกนั่นเองที่ทหาร ตำรวจ และชาวบ้าน ได้พบกองเรือญี่ปุ่นในลักษณะต่างๆ กัน เช่น ตีสามของวันที่ ๘ นาวาโทหลวงวุฒิวารีรณ (วุฒิ สุทธิบุตร) สังเกตเห็นการลำเลียงทหารญี่ปุ่นจากเรือซิดนีย์ลงเรือเล็กเพื่อขึ้นบก ทางอ่าวประจวบฯ มีเรือลำเลียงลำหนึ่งลักษณะเป็นเรือสินค้า แล่นเข้าไปจอดที่หลังเขาล้อมหมวกทางด้านเหนือแล้วถ่ายกำลังพลลงเรือระบายพล ทางเกาะเสม็ดพบเรือลำเลียงพลจำนวน ๒ ลำ ราษฎรบนเกาะสมุยพบเรือลำเลียงขนาดใหญ่ ๒-๓ ลำ เป็นต้น
จนกระทั่งเวลาประมาณตีสองถึงตีสี่ ทหารญี่ปุ่นจึงยกพลขึ้นบกพร้อมๆ กัน ๗ แห่ง คือ สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลา และปัตตานี
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อกองทัพเรือญี่ปุ่นผ่านด่านแรกในน่านน้ำไทยไปได้อย่างสบาย โดยไม่มีการสู้รบใดๆ ในน่านน้ำทะเลอ่าวไทย จนกระทั่งเริ่มมีการปะทะกันอย่างดุเดือดตลอดแนวชายฝั่งของประเทศไทย ระหว่างทหารญี่ปุ่นกับทหารราบ ตำรวจ ยุวชนทหาร และชาวบ้าน ที่นำไปสู่ความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และกำลังใจ การสู้รบกินเวลาอยู่หลายชั่วโมง ก่อนจะมีคำสั่งหยุดยิงในเวลา ๙.๓๐ น. ของวันที่ ๘
เหตุการณ์สำคัญที่เชื่อมโยงในกรณีนี้ก็คือ พลเรือโทสินธุ์ กมลนาวิน แม่ทัพเรือขณะนั้นถูกทหารญี่ปุ่นกักตัวไว้ที่บางปู แต่ก็ได้รับการปล่อยตัว และเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีในสายวันเดียวกัน
พลเรือโทสินธุ์ กมลนาวิน เดิมคือ นาวาโทหลวงสินธุ์สงครามชัย ผู้นำทหารเรือคนสำคัญในคราวก่อการ ๒๔๗๕ เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง
หลวงสินธุ์สงครามชัยได้รับทุนไปเรียนวิชาการทหารเรือที่เดนมาร์กถึง ๑๑ ปี เป็นนายทหารเรือฝ่าย "บุ๋น" ที่นายทหารเรือยกย่องเป็น "ครู" และได้ดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพเรือเรื่อยมา ในสายเสนาธิการ จนได้เป็นแม่ทัพเรือในที่สุด และยังดำรงเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงต่างๆ อีกหลายสมัย เป็นคนผลักดันให้เกิดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และท้ายสุดในช่วงสงครามนี้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ
หากจะกล่าวว่าจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้สร้างกองทัพบกให้แข็งแกร่ง หลวงสินธุ์สงครามชัยก็คือผู้สร้างกองทัพเรือให้แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังเป็นบุคคลสำคัญที่สร้างรากฐานในการดำเนินนโยบาย "วางตัวเป็นกลาง" ของกองทัพเรือ เริ่มจากการปฏิเสธการร่วมรบในสงครามกลางเมืองของไทย คือ กบฏบวรเดช จนเป็นต้นเหตุให้กองทัพเรือขณะนั้นแบ่งออกเป็นสองขั้ว คือฝ่ายของหลวงสินธุ์ฯ ผู้ยึดมั่นในประเพณีและหลักการ กับฝ่ายของหลวงศุภชลาศัย ที่เป็นพันธมิตรกับกองทัพบก
ท้ายที่สุดทหารเรือก็เลือกหลวงสินธุ์ฯ หลวงศุภชลาศัยจำต้องย้ายออกจากกองทัพเรือไปเป็นอธิบดีกรมพลศึกษา
ถ้าหากหลวงสินธุ์ฯ หรือพลเรือโทสินธุ์ กมลนาวิน จะยึดมั่นหลักการ โดย "วางตัวเป็นกลาง" ตามคำประกาศตามพระราชโองการวันที่ ๕ กันยายน โดยไม่ยอมนำทหารเรือเข้ารบกับญี่ปุ่น ก็คงจะขัดกับนโยบายป้องกันการรุกรานที่ประกาศให้ทุกเหล่าทัพเตรียมพร้อมเต็มกำลัง และขัดกับการสั่งการให้กองทัพเรือส่งเรือลาดตระเวนทั่วอ่าวไทย กับติดตั้งปืนต่อสู้อากาศยานไว้พร้อมแล้ว
จากคำให้การของ พล.ต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส ในคดีอาชญากรสงคราม วันที่ ๓ มกราคม ๒๔๘๙ เกี่ยวกับพลเรือโทสินธุ์ กมลนาวิน ความตอนหนึ่งว่า
"...ฝ่ายสหประชาชาติลงความเห็นว่า พลเรือโทสินธุ์เป็นหัวหน้าการสนับสนุนญี่ปุ่น เมื่อวันที่ญี่ปุ่นรุกรานไทย พลเรือโทสินธุ์ได้ไปอยู่สัตหีบ ข้าพเจ้าได้ให้กองทัพอากาศจัดเครื่องบินไปรับและโทรเลขไปให้รีบกลับกรุงเทพฯ ด่วน แต่พลเรือโทสินธุ์กับพวกได้เดินทางมาโดยรถยนต์แล้วถูกทหารญี่ปุ่นจับที่บางปู (ดิเรก ชัยนาม ระบุว่าถูกกักตัวที่คลองด่าน สมุทรปราการ) ในคืนวันนั้นปรากฏว่ากองทัพเรือได้ส่งเรือออกไปลาดตระเวนในอ่าวไทย แต่เหตุใดฝ่ายญี่ปุ่นจึงได้ส่งกำลังมาขึ้นที่บางปู โดยที่กองทัพเรือมิได้ทำการต้านทานนั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบ..."
และยังกล่าวถึงความสัมพันธ์พิเศษระหว่าง นายวนิช ปานะนนท์ อธิบดีกรมพาณิชย์ (ต่อมาได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) น้องเขยพลเรือโทสินธุ์กับญี่ปุ่นว่า
"...เรื่องนี้ทางตำรวจได้สืบสวนอย่างเต็มที่ แต่ไม่ได้พยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟ้องร้องนายวนิชในขณะนั้น มาภายหลังเมื่อญี่ปุ่นบุกรุกเข้ามาเมืองไทยแล้ว จึงทราบแน่ชัดว่านายวนิชเป็นสปายให้ญี่ปุ่น ทั้งนี้ได้สังเกตว่าการประชุมปรึกษาหารือ หรือรายงานลับของรัฐบาลนั้นญี่ปุ่นมักล่วงรู้เสมอ..."
กับบันทึกของ อ.พิบูลสงคราม ที่ว่า "...เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ฟังรายงานจาก พล.อ.ต.มุนี มหาสันทนะ เวชยันต์รังสฤษดิ์ แล้วก็ฉงนใจว่าทหารญี่ปุ่นเล็ดลอดผ่านน่านน้ำไทยเข้ามาถึงบางปูได้อย่างไร ยกพลขึ้นบกที่นั่นได้อย่างไร กองเรือรบแห่งราชนาวีไทยอยู่ที่ไหน..."
คำให้การเหล่านี้ชี้ชัดว่า หลายคนก็ตั้งข้อสงสัยในการปฏิบัติการของกองทัพเรือเช่นเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่ข้อมูลเพื่อที่จะหักล้างคำกล่าวเหล่านี้ถูกเผยแพร่น้อยเต็มที คงมีแต่เพียงว่า การยกพลขึ้นบกของกองทัพเรือญี่ปุ่นนั้นอาศัยเรือสินค้าบังหน้า การเข้าตรวจค้นอาจกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ได้
และที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ ภายหลังจากที่พลเรือโทสินธ์ กมลนาวิน ได้รับการปล่อยตัวแล้ว และเข้าประชุมในคณะรัฐมนตรีในสายวันที่ ๘ ธันวาคม จากบันทึกการประชุม กลับไม่ปรากฏการซักไซ้ในเรื่องนี้แต่อย่างใด
สิ่งผิดปกติอีกอย่างหนึ่งคือ เอกสาร และบทความต่างๆ เกี่ยวกับสงครามมหาเอเชียบูรพา มักจะเริ่มต้นที่การเตรียมการของรัฐบาล และตัดตอนเข้าสู่เหตุการณ์การปะทะตามแนวชายฝั่ง โดย "ข้าม" ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนี้ไป
คำตอบของเรื่องนี้ทั้งหมดน่าจะอยู่ในบันทึกการสั่งการของกองทัพเรือในคืนวันที่ ๗-๘ ธันวาคม ซึ่งตามระเบียบจะต้องมีคำสั่งเป็นเอกสารลงนามว่าหน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติอย่างไร จึงมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ ซึ่งผิดกับวิสัยของลูกประดู่ที่เป็นนักรบเต็มตัว และเพิ่งสร้างวีรกรรมสำคัญเพื่อชาติไปเมื่อ ๑๗ มกราคม ๒๔๘๔ ในยุทธนาวีเกาะช้าง
ที่มา
http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=hahababin&topic=47
สงสัย!ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกบุกไทยทหารเรือหายไปไหน
ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกบุกไทย
ทหารเรือหายไปไหน
สงครามโลกครั้งที่ ๒ เริ่มขึ้นในวันที่ ๑ กันยายน ๒๔๘๒ เมื่อกองทัพเยอรมันบุกโปแลนด์ หลังจากนั้น ๔ วันไทยประกาศตัวเป็นกลาง ตามพระบรมราชโองการลงวันที่ ๕ กันยายน ๒๔๘๒
นี่เป็นจุดเริ่มต้นอันมีส่วนสำคัญที่นำไทยเข้าสู่สงครามย่อยๆ คือ กรณีพิพาทอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ซึ่งไทยถือเอาโอกาสเหมาะที่ฝรั่งเศสกำลังรบติดพันและเพลี่ยงพล้ำเป็นข้อได้เปรียบที่จะเรียกร้องขอดินแดนคืนที่เสียไปเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ ในกรณี ร.ศ. ๑๑๒
กองทัพไทยเริ่มรุกเข้าดินแดนฝรั่งเศสในอินโดจีนตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๘๓ และรุกคืบได้ชัยชนะเรื่อยมา จนในที่สุดญี่ปุ่นก็ยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ย จนมีการลงนามในอนุสัญญาสันติภาพในวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๔
แม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้เราได้ดินแดนบางส่วนคืน แต่กองทัพไทยก็ตกอยู่ในสภาพบอบช้ำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกองทัพเรือต้องเสียเรือรบที่ส่งเข้าสงครามครั้งนี้ไปทั้งหมด คือ เรือหลวงธนบุรี เรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรี
จนกระทั่งวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๔๘๔ ประชาชนชาวไทยกำลังอยู่ในบรรยากาศของงานฉลองรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลจัดขึ้น โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเหตุการณ์ร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวทุกที และในที่สุดกลางดึกของคืนวันที่ ๗ ต่อเนื่องถึงเช้าวันที่ ๘ ฝันร้ายก็เกิดขึ้นแบบตั้งตัวไม่ทัน
ทางฝ่ายรัฐบาลและทหารเอง ได้เตรียมการเรื่องนี้มานานพอสมควรแล้ว แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าญี่ปุ่นจะบุกจริงๆ เพราะยังมีสนธิสัญญาที่จะไม่รุกรานกันค้ำประกันอยู่ ทางด้านการข่าว ไทยได้รับข่าวจากฝ่ายสัมพันธมิตรอยู่ตลอดเวลาให้เตรียมการในเรื่องนี้ และยืนยันว่าญี่ปุ่นวางแผนจะยึดครองอินโดจีนเป็นที่แน่นอน
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ประมาณตีสองของวันที่ ๘ ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกตลอดแนวชายฝั่งของไทย เป็นการบุกแบบสายฟ้าแลบ และก็ประสบผลสำเร็จ แทบจะเป็นเวลาเดียวกับฐานทัพอเมริกันที่เพิร์ลฮาเบอร์ถูกกองทัพญี่ปุ่นถล่มย่อยยับ
นี่คือลำดับเหตุการณ์คร่าวๆ ของการเริ่มต้นสงครามมหาเอเชียบูรพา สิ่งที่สร้างความสงสัยอย่างยิ่งในเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือ กองทัพเรือขนาดมหึมาของญี่ปุ่นเล็ดลอดการตรวจระวังชายฝั่งของกองทัพเรือมาได้อย่างไร โดยที่ไม่เกิดการปะทะกันแม้แต่เพียงเล็กน้อย หรือไม่ปรากฏว่ามีการส่งข่าวใดๆ จากกองทัพเรือ สู่แนวระวังชายฝั่งของกองทัพบก ทหารราบ ตำรวจ และชาวบ้าน มารู้ตัวก็เมื่อเห็นทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกแล้ว
ก่อนหน้านี้ข่าวทางการทหารที่ไทยได้รับจากฝ่ายสัมพันธมิตร ก็มีมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมจนกระทั่งแน่ชัดเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม เครื่องบินตรวจการณ์ของออสเตรเลียได้ตรวจพบเรือลำเลียงพลของญี่ปุ่นในอ่าวไทย นอกจากนี้ยังมีโทรเลขลับจากกระทรวงต่างประเทศอังกฤษส่งข่าวให้รัฐบาลไทยรู้ตั้งแต่วันที่ ๖ ธันวาคม และ ๗ ธันวาคม เตือนให้ไทยเตรียมการป้องกันการรุกรานของญี่ปุ่น
ทางด้านกองทัพเรือเอง ก็มีการเตรียมการในการนี้อยู่ตลอด จากเอกสารคำสั่งลับเฉพาะ ที่ ๕/๘๔ เรื่องให้จัดกองเรือออกไปลาดตระเวนอ่าว ลงวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๔๘๔ โดยมี น.อ.ชลิต กุลกำม์ธร เป็นผู้บังคับกองเรือ กำหนดออกเรือจากกรุงเทพฯ ในวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๘๔ ระยะเวลา ๑๕ วัน เส้นทางเดินเรือตั้งแต่กรุงเทพฯ-หมู่เกาะอ่างทอง-สงขลา-นราธิวาส แล้วแล่นตัดข้ามอ่าวไปยังเกาะกูด-สัตหีบ-กรุงเทพฯ กองเรือนี้ประกอบด้วยเรือ ๘ ลำ เป็นเรือสลุบ ๒ ลำ คือ เรือหลวงท่าจีน และเรือหลวงแม่กลอง เรือตอร์ปิโดใหญ่ ๔ ลำ ได้แก่ เรือหลวงระยอง-เรือหลวงตราด เรือหลวงสุราษฎร์ และเรือหลวงปัตตานี เรือกวาดทุ่นระเบิด ๑ ลำ คือ เรือหลวงบางระจัน กับเรือลำเลียง ๑ ลำ คือเรือหลวงพงัน (ประวัติศาสตร์การสงครามของไทยในสงครามมหาเอเชียบูรพา ๒๕๔๐)
นอกจากนี้กองทัพเรือได้จัดกำลังบางส่วนเพื่อป้องกันฐานทัพเรือชายทะเล เช่นจัดกองต่อสู้อากาศยาน ๑ กองร้อย เพื่อป้องกันฐานทัพเรือสัตหีบ เป็นต้น
จนถึงวันที่ ๗-๘ ธันวาคม ก่อนการยกพลขึ้นบกนั่นเองที่ทหาร ตำรวจ และชาวบ้าน ได้พบกองเรือญี่ปุ่นในลักษณะต่างๆ กัน เช่น ตีสามของวันที่ ๘ นาวาโทหลวงวุฒิวารีรณ (วุฒิ สุทธิบุตร) สังเกตเห็นการลำเลียงทหารญี่ปุ่นจากเรือซิดนีย์ลงเรือเล็กเพื่อขึ้นบก ทางอ่าวประจวบฯ มีเรือลำเลียงลำหนึ่งลักษณะเป็นเรือสินค้า แล่นเข้าไปจอดที่หลังเขาล้อมหมวกทางด้านเหนือแล้วถ่ายกำลังพลลงเรือระบายพล ทางเกาะเสม็ดพบเรือลำเลียงพลจำนวน ๒ ลำ ราษฎรบนเกาะสมุยพบเรือลำเลียงขนาดใหญ่ ๒-๓ ลำ เป็นต้น
จนกระทั่งเวลาประมาณตีสองถึงตีสี่ ทหารญี่ปุ่นจึงยกพลขึ้นบกพร้อมๆ กัน ๗ แห่ง คือ สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี สงขลา และปัตตานี
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อกองทัพเรือญี่ปุ่นผ่านด่านแรกในน่านน้ำไทยไปได้อย่างสบาย โดยไม่มีการสู้รบใดๆ ในน่านน้ำทะเลอ่าวไทย จนกระทั่งเริ่มมีการปะทะกันอย่างดุเดือดตลอดแนวชายฝั่งของประเทศไทย ระหว่างทหารญี่ปุ่นกับทหารราบ ตำรวจ ยุวชนทหาร และชาวบ้าน ที่นำไปสู่ความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และกำลังใจ การสู้รบกินเวลาอยู่หลายชั่วโมง ก่อนจะมีคำสั่งหยุดยิงในเวลา ๙.๓๐ น. ของวันที่ ๘
เหตุการณ์สำคัญที่เชื่อมโยงในกรณีนี้ก็คือ พลเรือโทสินธุ์ กมลนาวิน แม่ทัพเรือขณะนั้นถูกทหารญี่ปุ่นกักตัวไว้ที่บางปู แต่ก็ได้รับการปล่อยตัว และเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีในสายวันเดียวกัน
พลเรือโทสินธุ์ กมลนาวิน เดิมคือ นาวาโทหลวงสินธุ์สงครามชัย ผู้นำทหารเรือคนสำคัญในคราวก่อการ ๒๔๗๕ เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง
หลวงสินธุ์สงครามชัยได้รับทุนไปเรียนวิชาการทหารเรือที่เดนมาร์กถึง ๑๑ ปี เป็นนายทหารเรือฝ่าย "บุ๋น" ที่นายทหารเรือยกย่องเป็น "ครู" และได้ดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพเรือเรื่อยมา ในสายเสนาธิการ จนได้เป็นแม่ทัพเรือในที่สุด และยังดำรงเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงต่างๆ อีกหลายสมัย เป็นคนผลักดันให้เกิดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และท้ายสุดในช่วงสงครามนี้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ
หากจะกล่าวว่าจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้สร้างกองทัพบกให้แข็งแกร่ง หลวงสินธุ์สงครามชัยก็คือผู้สร้างกองทัพเรือให้แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังเป็นบุคคลสำคัญที่สร้างรากฐานในการดำเนินนโยบาย "วางตัวเป็นกลาง" ของกองทัพเรือ เริ่มจากการปฏิเสธการร่วมรบในสงครามกลางเมืองของไทย คือ กบฏบวรเดช จนเป็นต้นเหตุให้กองทัพเรือขณะนั้นแบ่งออกเป็นสองขั้ว คือฝ่ายของหลวงสินธุ์ฯ ผู้ยึดมั่นในประเพณีและหลักการ กับฝ่ายของหลวงศุภชลาศัย ที่เป็นพันธมิตรกับกองทัพบก
ท้ายที่สุดทหารเรือก็เลือกหลวงสินธุ์ฯ หลวงศุภชลาศัยจำต้องย้ายออกจากกองทัพเรือไปเป็นอธิบดีกรมพลศึกษา
ถ้าหากหลวงสินธุ์ฯ หรือพลเรือโทสินธุ์ กมลนาวิน จะยึดมั่นหลักการ โดย "วางตัวเป็นกลาง" ตามคำประกาศตามพระราชโองการวันที่ ๕ กันยายน โดยไม่ยอมนำทหารเรือเข้ารบกับญี่ปุ่น ก็คงจะขัดกับนโยบายป้องกันการรุกรานที่ประกาศให้ทุกเหล่าทัพเตรียมพร้อมเต็มกำลัง และขัดกับการสั่งการให้กองทัพเรือส่งเรือลาดตระเวนทั่วอ่าวไทย กับติดตั้งปืนต่อสู้อากาศยานไว้พร้อมแล้ว
จากคำให้การของ พล.ต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส ในคดีอาชญากรสงคราม วันที่ ๓ มกราคม ๒๔๘๙ เกี่ยวกับพลเรือโทสินธุ์ กมลนาวิน ความตอนหนึ่งว่า
"...ฝ่ายสหประชาชาติลงความเห็นว่า พลเรือโทสินธุ์เป็นหัวหน้าการสนับสนุนญี่ปุ่น เมื่อวันที่ญี่ปุ่นรุกรานไทย พลเรือโทสินธุ์ได้ไปอยู่สัตหีบ ข้าพเจ้าได้ให้กองทัพอากาศจัดเครื่องบินไปรับและโทรเลขไปให้รีบกลับกรุงเทพฯ ด่วน แต่พลเรือโทสินธุ์กับพวกได้เดินทางมาโดยรถยนต์แล้วถูกทหารญี่ปุ่นจับที่บางปู (ดิเรก ชัยนาม ระบุว่าถูกกักตัวที่คลองด่าน สมุทรปราการ) ในคืนวันนั้นปรากฏว่ากองทัพเรือได้ส่งเรือออกไปลาดตระเวนในอ่าวไทย แต่เหตุใดฝ่ายญี่ปุ่นจึงได้ส่งกำลังมาขึ้นที่บางปู โดยที่กองทัพเรือมิได้ทำการต้านทานนั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบ..."
และยังกล่าวถึงความสัมพันธ์พิเศษระหว่าง นายวนิช ปานะนนท์ อธิบดีกรมพาณิชย์ (ต่อมาได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) น้องเขยพลเรือโทสินธุ์กับญี่ปุ่นว่า
"...เรื่องนี้ทางตำรวจได้สืบสวนอย่างเต็มที่ แต่ไม่ได้พยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟ้องร้องนายวนิชในขณะนั้น มาภายหลังเมื่อญี่ปุ่นบุกรุกเข้ามาเมืองไทยแล้ว จึงทราบแน่ชัดว่านายวนิชเป็นสปายให้ญี่ปุ่น ทั้งนี้ได้สังเกตว่าการประชุมปรึกษาหารือ หรือรายงานลับของรัฐบาลนั้นญี่ปุ่นมักล่วงรู้เสมอ..."
กับบันทึกของ อ.พิบูลสงคราม ที่ว่า "...เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ฟังรายงานจาก พล.อ.ต.มุนี มหาสันทนะ เวชยันต์รังสฤษดิ์ แล้วก็ฉงนใจว่าทหารญี่ปุ่นเล็ดลอดผ่านน่านน้ำไทยเข้ามาถึงบางปูได้อย่างไร ยกพลขึ้นบกที่นั่นได้อย่างไร กองเรือรบแห่งราชนาวีไทยอยู่ที่ไหน..."
คำให้การเหล่านี้ชี้ชัดว่า หลายคนก็ตั้งข้อสงสัยในการปฏิบัติการของกองทัพเรือเช่นเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่ข้อมูลเพื่อที่จะหักล้างคำกล่าวเหล่านี้ถูกเผยแพร่น้อยเต็มที คงมีแต่เพียงว่า การยกพลขึ้นบกของกองทัพเรือญี่ปุ่นนั้นอาศัยเรือสินค้าบังหน้า การเข้าตรวจค้นอาจกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ได้
และที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ ภายหลังจากที่พลเรือโทสินธ์ กมลนาวิน ได้รับการปล่อยตัวแล้ว และเข้าประชุมในคณะรัฐมนตรีในสายวันที่ ๘ ธันวาคม จากบันทึกการประชุม กลับไม่ปรากฏการซักไซ้ในเรื่องนี้แต่อย่างใด
สิ่งผิดปกติอีกอย่างหนึ่งคือ เอกสาร และบทความต่างๆ เกี่ยวกับสงครามมหาเอเชียบูรพา มักจะเริ่มต้นที่การเตรียมการของรัฐบาล และตัดตอนเข้าสู่เหตุการณ์การปะทะตามแนวชายฝั่ง โดย "ข้าม" ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนี้ไป
คำตอบของเรื่องนี้ทั้งหมดน่าจะอยู่ในบันทึกการสั่งการของกองทัพเรือในคืนวันที่ ๗-๘ ธันวาคม ซึ่งตามระเบียบจะต้องมีคำสั่งเป็นเอกสารลงนามว่าหน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติอย่างไร จึงมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ ซึ่งผิดกับวิสัยของลูกประดู่ที่เป็นนักรบเต็มตัว และเพิ่งสร้างวีรกรรมสำคัญเพื่อชาติไปเมื่อ ๑๗ มกราคม ๒๔๘๔ ในยุทธนาวีเกาะช้าง
ที่มา http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=hahababin&topic=47