ต้องออกตัวไว้ก่อนเลยว่า The Letter เป็นหนังรักที่เรารักมากที่สุดเรื่องหนึ่งที่ดูวนซ้ำมากกว่า 10 รอบ จำได้ทุกคำ ทุกประโยค ทุกท่วงทำนองของดนตรีประกอบ เมื่อรู้ว่าพี่อุ๋ย จะสร้าง Timeline โดยเปรยว่ามันเป็นภาคต่อของหนังเรื่องนี้ก็ตั้งตารอคอยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เมื่อหนังที่รักกับผู้กำกับที่ชอบมาเจอกัน มันก็ยิ่งเป็นหนังที่เราอยากดูมากที่สุด
ภาคต่อหรือแค่จุดเชื่อมโยง
The Letter ตัวเอกคือดิวกับต้น แต่ไทม์ไลน์กลับเป็น มัท กับ ทัน ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ แต่มีหลายคนบอกว่ามันเป็นแค่จุดเชื่อมโยงคือบ้านหลังเก่าที่ใช้เป็นโลเคชั่นถ่ายเท่านั้น ซึ่งเราในฐานะที่ดู The Letter จนช้ำ อยากจะบอกว่า หนังมันไม่ใช่แค่จุดเชื่อม หากเราตัดชื่อดิว กับ ต้น ออกไป เราจะพบว่า Timeline มันเป็นหนังภาคต่อที่สานเรื่องราวจาก The Letter อย่างจริงจัง เปิดเรื่องด้วยดนตรีประกอบแบบเดิมที่ใช้ในเดอะ เลตเตอร์ จดหมายถ้อยคำแบบเดิมเป๊ะๆ ที่ต้นเขียนไว้ให้ดิว (แต่ในเรื่องเปลี่ยนเป็นมัทกับทันแล้วนะ),จดหมายของคุณยาย, ยอดฟักแม้วผัด สูตรอาหารรักในตำนาน,น้าโย ตัวละครเดิมของเรื่องที่เปลี่ยนคนแสดงแต่ยังใช้ชื่อเดิม,ต้นบ๊วย,นาฬิกาลูกตุ้ม และจดหมายที่มัท(ดิว) เขียนให้ทัน (ต้น)ในตอนจบของ The Letter ซึ่งปรากฎในหนังเรื่อง Timeline ตอนที่แทนอ่านจดหมายของแม่ เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นภาคต่อชัดๆ ซึ่งหากคนรัก The Letter จริงๆ จะเข้าใจตั้งแต่เปิดเรื่องเลย แต่สำหรับใครที่ยัง งงๆ อยู่ รบกวนดู Timeline จบแล้ว ไปดู The Letter ซ้ำนะจ๊ะ จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีการพูดอย่างเป็นทางการว่าหนังเรื่องนี้เป็นภาคต่อ
ความฝัน....ความทรงจำ
Timeline ใช้บิ๊กไอเดียของเรื่องเกี่ยวกับการตามหาความฝัน การตามหาตัวตนของแทน เจมส์ จิ ซึ่งรายทางของเรื่องเต็มไปด้วยปมอีกหลายปม เช่น ความรัก 3 เส้า ระหว่าง แทน ออม จูน, ความรักระหว่างแม่กับอาวิต,ความรักระหว่างแม่กับลูก ซึ่งปมมันออกจะซ้อนเยอะกันไปหน่อยจนทำให้บิ๊กไอเดียของเรื่องไม่โดดเด่นขึ้นมา หนังใช้ Timeline แทน จดหมาย บอกเล่าถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนไป แต่ยังใช้กลวิธีเดิมในการเล่า แถมเป็นมุมเดิมที่เคยใช้ใน The Letter ด้วย ถ้าหากจำได้ เมื่อต้นตายไปแล้ว แต่กลับมีจดหมายส่งมาถึงดิว เรื่องนี้ก็เดินเรื่องตามแบบนั้นเช่นกัน แต่ไม่ขอบอกนะไปดูเอาเอง ชอบหลายสิ่งหลายอย่างในเรื่องที่มันทัชกับความรู้สึก บางอย่างของตัวละครในเรื่องมันตรงกับชีวิตเรา หลายประโยคที่เราเคยพูด หรือทำแบบที่ตัวละครพูดแบบเป๊ะๆ ยิ่งทำให้หนังเรื่องนี้ใกล้ชิดกับความรู้สึกคนดูเข้าไปอีกมาก หนังทำให้เรายิ้มได้ทุก 3 นาที และพร้อมน้ำตาคลอได้ทุกๆ 5 นาที เพราะไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบรักข้างเดียว,ความรักที่ถูกทอดทิ้ง,การรัก รอ แบบไร้เหตุผล,ความรักของแม่ที่มีต่อลูก ประเด็นเหล่านี้หว่านเข้าหาคนดูจนทำให้สะอึกได้เสมอ เพราะอย่างน้อยคุณก็จะต้องเจอกับความรักที่กล่าวมาข้างต้นไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง
อื่นๆ ใน Timeline
ชอบการแสดงของเต้ย จรินทร์พร ป๊อก ปิยะธิดา มากๆ พร้อมน้ำตาเอ่อได้เสมอ โดยเฉพาะเต้ยที่ทำให้ยิ้มและน้ำตาคลอทุกครั้ง ตอนในห้องล้างฟิล์มนี่อารมณ์พุ่งแบบสุดๆ ส่วนเจมส์ จิ ก็แสดงได้โอเค ไม่แย่อะไรเลย สิ่งที่ชอบและต้องขอบคุณทีมสร้างมากๆ คือการใช้ดนตรีประกอบเดิมของคุณชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์ ที่เคยทำไว้ใน The Letter ทำให้หนังได้กลิ่นอายความทรงจำวันเก่า แถมมีทำให้เป็นจังหวะเปียโนแบบน่ารักๆอีก แต่ยังไม่ค่อยอินกับการใช้เพลงและท่อนบางท่อนของเก็ทสึโนว่า ดูมันไม่ค่อยเข้ากับเรื่องเท่าไหร่ ขอบคุณทีมสร้างที่ยังเลือกใช้โลเคชั่นเดิมๆด้วยนะ หวังว่าจะได้ไปเยี่ยมบ้านไม้ที่สะเมิงและต้นบ๊วยที่ดอยอ่างขางสักวัน แอบเห็นชื่อผอูน จันทร์ศิริ ผู้กำกับคนก่อนกับ คงเดช จาตุรันต์รัศมี ที่เขียนบทให้ The Letter อยู่ในเรื่องด้วยแฮะ อีกอย่างของชื่นชมจากใจเป็นหนังไทยที่แทบไม่มีคำหยาบคายหรือไม่มีเลยในหนังเรื่องนี้ ขอบคุณที่ทำให้ Timeline เป็นหนังรักที่สะอาดมากๆ
สุดท้ายอยากจะบอกว่า Timeline เป็นหนังรักที่เรารักมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้จะพูดว่ายังไง แต่หลังดูจบแล้ว อิ่มใจมากที่ได้ดู ความทรงจำที่ไม่เคยจางไปกับจดหมายที่เรายังอ่านได้ตลอดเวลา
"ยอดบูชาของผม ผมจำต้องจากคุณมาไกลถึงเชียงใหม่ ดินแดนที่ผมไม่รู้จักกับสิ่งใดเลย หนาวหัวใจทุกครั้งเมื่อใกล้ค่ำ เฝ้าแต่คิดถึงแต่หน้าคุณในเสี้ยววินาทีสุดท้าย ก่อนที่จะลาจาก ผมจำได้ไม่มีวันเลือน เหมือนกับว่าคุณเป็นแสงสว่างสิ่งเดียวในชีวิตของผม แต่วันนี้ เมื่อไม่มีโอกาสได้พบสมกับที่ใจหวัง ก็เหมือนกับแสงสว่างนั้นดับวูบไป มีแต่ความเงียบวังเวง ผมเฝ้าแต่คิดถึงบทเพลงนั้น คิดถึงยามเราเต้นรำ และสวมกอด รู้สึกถึงไออุ่นของร่างกายของคุณอยู่ใกล้ๆ แต่ทุกอย่างดูจะเป็นเพียงความฝันอันไกลแสนไกล เพราะในความเป็นจริง เราทั้งสองคงหมดโอกาสที่จะได้พบกันอีกต่อไป สิ่งเดียวที่ผมจะทำได้ คงเป็นเพียงเก็บคุณไว้ในก้นบึ้งแห่งความทรงจำ คุณเป็นเสมือนน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงของผม โปรดจดจำเอาไว้ว่าหัวใจของผม จะเป็นของคุณคนเดียวทั้งชีวิต"
— ข้อความในจดหมายของคุณยายเล็ก
จาก The Letter ถึง Timeline จดหมาย ที่ไม่ใช่แค่จุดเชื่อมความทรงจำ
ภาคต่อหรือแค่จุดเชื่อมโยง
The Letter ตัวเอกคือดิวกับต้น แต่ไทม์ไลน์กลับเป็น มัท กับ ทัน ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ แต่มีหลายคนบอกว่ามันเป็นแค่จุดเชื่อมโยงคือบ้านหลังเก่าที่ใช้เป็นโลเคชั่นถ่ายเท่านั้น ซึ่งเราในฐานะที่ดู The Letter จนช้ำ อยากจะบอกว่า หนังมันไม่ใช่แค่จุดเชื่อม หากเราตัดชื่อดิว กับ ต้น ออกไป เราจะพบว่า Timeline มันเป็นหนังภาคต่อที่สานเรื่องราวจาก The Letter อย่างจริงจัง เปิดเรื่องด้วยดนตรีประกอบแบบเดิมที่ใช้ในเดอะ เลตเตอร์ จดหมายถ้อยคำแบบเดิมเป๊ะๆ ที่ต้นเขียนไว้ให้ดิว (แต่ในเรื่องเปลี่ยนเป็นมัทกับทันแล้วนะ),จดหมายของคุณยาย, ยอดฟักแม้วผัด สูตรอาหารรักในตำนาน,น้าโย ตัวละครเดิมของเรื่องที่เปลี่ยนคนแสดงแต่ยังใช้ชื่อเดิม,ต้นบ๊วย,นาฬิกาลูกตุ้ม และจดหมายที่มัท(ดิว) เขียนให้ทัน (ต้น)ในตอนจบของ The Letter ซึ่งปรากฎในหนังเรื่อง Timeline ตอนที่แทนอ่านจดหมายของแม่ เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นภาคต่อชัดๆ ซึ่งหากคนรัก The Letter จริงๆ จะเข้าใจตั้งแต่เปิดเรื่องเลย แต่สำหรับใครที่ยัง งงๆ อยู่ รบกวนดู Timeline จบแล้ว ไปดู The Letter ซ้ำนะจ๊ะ จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีการพูดอย่างเป็นทางการว่าหนังเรื่องนี้เป็นภาคต่อ
ความฝัน....ความทรงจำ
Timeline ใช้บิ๊กไอเดียของเรื่องเกี่ยวกับการตามหาความฝัน การตามหาตัวตนของแทน เจมส์ จิ ซึ่งรายทางของเรื่องเต็มไปด้วยปมอีกหลายปม เช่น ความรัก 3 เส้า ระหว่าง แทน ออม จูน, ความรักระหว่างแม่กับอาวิต,ความรักระหว่างแม่กับลูก ซึ่งปมมันออกจะซ้อนเยอะกันไปหน่อยจนทำให้บิ๊กไอเดียของเรื่องไม่โดดเด่นขึ้นมา หนังใช้ Timeline แทน จดหมาย บอกเล่าถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนไป แต่ยังใช้กลวิธีเดิมในการเล่า แถมเป็นมุมเดิมที่เคยใช้ใน The Letter ด้วย ถ้าหากจำได้ เมื่อต้นตายไปแล้ว แต่กลับมีจดหมายส่งมาถึงดิว เรื่องนี้ก็เดินเรื่องตามแบบนั้นเช่นกัน แต่ไม่ขอบอกนะไปดูเอาเอง ชอบหลายสิ่งหลายอย่างในเรื่องที่มันทัชกับความรู้สึก บางอย่างของตัวละครในเรื่องมันตรงกับชีวิตเรา หลายประโยคที่เราเคยพูด หรือทำแบบที่ตัวละครพูดแบบเป๊ะๆ ยิ่งทำให้หนังเรื่องนี้ใกล้ชิดกับความรู้สึกคนดูเข้าไปอีกมาก หนังทำให้เรายิ้มได้ทุก 3 นาที และพร้อมน้ำตาคลอได้ทุกๆ 5 นาที เพราะไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบรักข้างเดียว,ความรักที่ถูกทอดทิ้ง,การรัก รอ แบบไร้เหตุผล,ความรักของแม่ที่มีต่อลูก ประเด็นเหล่านี้หว่านเข้าหาคนดูจนทำให้สะอึกได้เสมอ เพราะอย่างน้อยคุณก็จะต้องเจอกับความรักที่กล่าวมาข้างต้นไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง
อื่นๆ ใน Timeline
ชอบการแสดงของเต้ย จรินทร์พร ป๊อก ปิยะธิดา มากๆ พร้อมน้ำตาเอ่อได้เสมอ โดยเฉพาะเต้ยที่ทำให้ยิ้มและน้ำตาคลอทุกครั้ง ตอนในห้องล้างฟิล์มนี่อารมณ์พุ่งแบบสุดๆ ส่วนเจมส์ จิ ก็แสดงได้โอเค ไม่แย่อะไรเลย สิ่งที่ชอบและต้องขอบคุณทีมสร้างมากๆ คือการใช้ดนตรีประกอบเดิมของคุณชาติชาย พงษ์ประภาพันธ์ ที่เคยทำไว้ใน The Letter ทำให้หนังได้กลิ่นอายความทรงจำวันเก่า แถมมีทำให้เป็นจังหวะเปียโนแบบน่ารักๆอีก แต่ยังไม่ค่อยอินกับการใช้เพลงและท่อนบางท่อนของเก็ทสึโนว่า ดูมันไม่ค่อยเข้ากับเรื่องเท่าไหร่ ขอบคุณทีมสร้างที่ยังเลือกใช้โลเคชั่นเดิมๆด้วยนะ หวังว่าจะได้ไปเยี่ยมบ้านไม้ที่สะเมิงและต้นบ๊วยที่ดอยอ่างขางสักวัน แอบเห็นชื่อผอูน จันทร์ศิริ ผู้กำกับคนก่อนกับ คงเดช จาตุรันต์รัศมี ที่เขียนบทให้ The Letter อยู่ในเรื่องด้วยแฮะ อีกอย่างของชื่นชมจากใจเป็นหนังไทยที่แทบไม่มีคำหยาบคายหรือไม่มีเลยในหนังเรื่องนี้ ขอบคุณที่ทำให้ Timeline เป็นหนังรักที่สะอาดมากๆ
สุดท้ายอยากจะบอกว่า Timeline เป็นหนังรักที่เรารักมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้จะพูดว่ายังไง แต่หลังดูจบแล้ว อิ่มใจมากที่ได้ดู ความทรงจำที่ไม่เคยจางไปกับจดหมายที่เรายังอ่านได้ตลอดเวลา
"ยอดบูชาของผม ผมจำต้องจากคุณมาไกลถึงเชียงใหม่ ดินแดนที่ผมไม่รู้จักกับสิ่งใดเลย หนาวหัวใจทุกครั้งเมื่อใกล้ค่ำ เฝ้าแต่คิดถึงแต่หน้าคุณในเสี้ยววินาทีสุดท้าย ก่อนที่จะลาจาก ผมจำได้ไม่มีวันเลือน เหมือนกับว่าคุณเป็นแสงสว่างสิ่งเดียวในชีวิตของผม แต่วันนี้ เมื่อไม่มีโอกาสได้พบสมกับที่ใจหวัง ก็เหมือนกับแสงสว่างนั้นดับวูบไป มีแต่ความเงียบวังเวง ผมเฝ้าแต่คิดถึงบทเพลงนั้น คิดถึงยามเราเต้นรำ และสวมกอด รู้สึกถึงไออุ่นของร่างกายของคุณอยู่ใกล้ๆ แต่ทุกอย่างดูจะเป็นเพียงความฝันอันไกลแสนไกล เพราะในความเป็นจริง เราทั้งสองคงหมดโอกาสที่จะได้พบกันอีกต่อไป สิ่งเดียวที่ผมจะทำได้ คงเป็นเพียงเก็บคุณไว้ในก้นบึ้งแห่งความทรงจำ คุณเป็นเสมือนน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงของผม โปรดจดจำเอาไว้ว่าหัวใจของผม จะเป็นของคุณคนเดียวทั้งชีวิต"
— ข้อความในจดหมายของคุณยายเล็ก