ความรู้ และปัญญา ของผมน้องนัทตี้ครับ

กระทู้สนทนา
วันนี้ วันมาฆบูชา วันดีทางพุทธศาสนา น้องนัทตี้ก็เลยถือโอกาสโพสทข้อความ บทสนทนาต่างๆ ที่เคยคุยกับคนนั้น คนนี้ให้ฟัง ให้คุณตาคุณยาย ลุงป้าน้าอาได้อ่านกันครับ

คำว่า ความรู้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Knowledge และปัญญา Intelligence นั้น ต่างกันอย่างไร ความรู้ หรือKnowledge คือความรู้ต่างๆ ที่ได้จากการเล่าเรียนหนังสือ ครูบาอาจารย์สอนสั่งอบรม การค้นคว้าด้วยตนเอง การฟังวิทยุ เล่นเนท หรือ search ข้อมูลทางเนท และetc ส่วนปัญญา Intelligence หรือ T...alent นั้น เกิดจากความรู้ที่ได้รับมา แล้วตนเองทำการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ไตร่ตรอง กลั่นกรอง หรือ screen แล้วออกมาเป็นการกระทำ หรือคำพูด จะรู้ได้อย่างไรว่า คนนี้ เก่งหรือ ฉลาด ก็ดูจาก
1. การกระทำ Action or behaviour
2. คำพูด Speech
3. บทความที่เค้าเขียน หรือรายงานที่เค้าทำ Articles produced

คนเรียนเก่ง expert หรือ ผู้ทรงบาลี หรือนักเศรษฐศาสตร์ หรือ ด็อกเตอร์ทั้งหลายเป็นผู้มีความรู้ดี แต่อาจจะไม่ใช่เป็นผู้มีปัญญาดีก็ได้ครับ

จะขอลำดับเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา ในรอบ 4-5 ปีนี้ให้ฟัง ว่าปัญญาคืออย่างไร โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามลำดับเวลา
1. ตอนที่ไปสัมภาษณ์ขอทุนจากมหาวิทยาลัย ผู้สัมภาษณ์มีอธิการบดี นายกสภา และผู้ทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัยนั่งซักถาม หนึ่งในคำถามที่ท่านถามคือ
ถาม : ทำไมนิสิต ไม่ขอทุนไปเรียนต่อปริญญาโท ภาษาจีน ที่ไต้หวัน หรืออเมริกา เพราะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว มีอาจารย์ และ professors เก่งๆมากมาย
ตอบ :... ผมใช้เวลาคิดอยู่ 1 นาที เพราะถ้าตอบไม่ดี เงินทุนเรียนปริญญาโท 2 ล้านบาท ก็อาจจะหายไปในพริบตา ผมเลยตอบไปว่า : อาจารย์ครับ ฝรั่งที่เค้าสนใจเรียนภาษาไทย เค้าจะเลือกเรียนภาษาไทยที่ไหนครับ ที่ศรีสะเกษ ที่เชียงใหม่ หรือที่กรุงเทพครับ คำตอบคือ ฝรั่งก็ต้องเลือกที่กรุงเทพ เพราะภาษาไทยที่คนกรุงเทพพูดนั้น เป็นภาษามาตรฐานของภาษาไทย ไวยากรณ์ภาษาไทย และการอ่านออกเสียงที่ถูกต้อง (Pronunciation ) ก็มาจากภาษาไทยของกรุงเทพ ไม่ใช่ภาษาไทยของศรีสะเกษ หรือภาษาไทยที่เชียงใหม่ เฉกเช่นเดียวกับภาษาจีน ก็ต้องเป็นภาษาจีนที่ปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน ที่พูดภาษาจีนได้มาตรฐานครับ ไม่ใช่ภาษาจีนที่ไต้หวัน หรืออเมริกาครับ
อาจารย์ทั้งหลายต่างได้ยินได้ฟังคำตอบของผม ต่างพึงพอใจเป็นอย่างมาก ถามอีก 2 คำถาม แล้วก็พูดว่า มหาวิทยาลัยอนุมัติทุนให้แล้วนะ ผมเห็นเป็นโอกาสอันดี น้ำขึ้นให้รีบตักก็เลยบอกว่า ผมไม่ได้มีความรู้ภาษาจีนสมัยเรียนตรี อยากจะเชิญอาจารย์ชาวจีนมาสอนติวให้ก่อนไปเมืองจีน เป็นการปูพื้นฐาน เพราะอักษรจีนที่ปักกิ่งใช้จีนตัวย่อ อักษรจีนในเมืองไทยใช้จีนตัวเต็ม ท่านก็อนุมัติอีก เท่ากับว่าได้เรียนจีน เดือนละ 5,000 บาท บวกกับทุนการศึกษา Scholarship อีก สบายใจแฮ นี่คือผลบุญของการใช้ปัญญาครับ

2. ด่านที่สอง ของการศึกษามหาหินนั้นคือ ตอนไปสัมถาษณ์เข้าคอร์สปริณณาโท ที่ ม. ปักกิ่ง มี professors ของมหาวิทยาลัย อายุประมาณ 60-70 ปีนั่งเรียงแถวเป็น panel ซักถามผม
ถาม : เธอไม่ได้เรียนภาษาจีนมาเลย ในระดับปริญญาตรี ดูจาก Transcript แล้ว ไม่ได้ take course ภาษาจีนสัก 1 ตัวแล้วจะมาเรียนภาษาจีนระดับปริญญาโทที่นี่เชียวหรือ
ตอบ : ผมใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ หากตอบไปว่า ถ้าเราใช้ความขยันหมั่นเพียร หรืออิท...ธิบาท 4 ของพระพุทธเจ้าเพียงคำตอบเดียว ก็อาจจะกินแห้ว แพคกระเป๋ากลับเมืองไทยได้ เพราะเค้าอาจไม่ให้เรียน ผมมองไปที่กรรมการสอบสัมภาษณ์ ก็มีอาจารย์ผู้หญิงนั่งอยู่ด้วย ท่านจะช่วยเรามั้ย ก็คิดว่าคำตอบที่น่าจะโน้มน้าวใจอาจารย์มหาหินเหล่านั้นได้ ต้องให้เหตุผล มากกว่า 1 ข้อ เพียงคำตอบของอิทธิบาท 4 ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะถ้าใช้อิทธิบาท 4 มั่วๆซั่วๆ เต้าอาจจะให้ไปเรียนภาษาจีน 4 ปีปริญญาตรี ก็ซวยเลย ทันใดนั้น ก็เลยรวบรวมความคิดที่มีอยู่ แล้วตอบว่า
1. 勤能补拙 ผมยกสุภาษิตจีนขึ้นมาตอบประโยคแรกก่อนเลยครับ เพราะรู้ว่า คนจีนชอบสุภาษิตจีน ประวัติศาสตร์จีน มีมายาวนานกว่า 5,000 ปี มากกว่าศาสนาพุทธอีก แปลความว่า ความวิริยะ และความอุตสาหะทั้งหลาย สามารถเอาชนะความโง่เขลาของผมได้ครับ ผมเป็นเด็กโง่ที่ไม่มีความรู้ภาษาจีนสมัยเรียนปริญญาตรี แต่ความรู้ภาษาอังกฤษและโครงสร้างภาษาอังกฤษ ที่ผมเรียนมานั้นว่า ประธานมาก่อน ตามด้วยกริยา และกรรม ภาษาจีนก็มีโครงสร้างภาษาเช่นนี้เหมือนกัน ไม่เหมือนภาษาญี่ปุ่นที่เอากรรมมาก่อน ผมสามารถเอาความรู้นี้มาต่อยอดภาษาจีน ที่ม. ปักกิ่งได้
2. ผมตอบอีกว่า ผมมาเรียนครั้งนี้ ได้ทุนมาจากจุฬา มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของไทย ซึ่งต้องเลือกเฟ้นผมมาแล้วอย่างดี ผมใช้คำว่า เลือกเฟ้น หรือ select ไม่ใช่ เลือก หรือ choose ธรรมดา ซึ่งจุฬาก็เป็นมหาวิทยาลัยรัฐบาล ไม่ใช่เอกชน เต้าคงไม่คัดเลือคนซี้ซั้ว
3. เหตุผลที่ 3 ที่ผมยกมาโน้นน้าวใจ professors นั้นคือ ผมเป็นเด็กไทยที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีเยียม ดูจากโล่ห์ Trophy ที่ผมได้รับรางวัลชนะเลิศจาก Speech Contest ของจุฬา ประกอบกับผมมีความตั้งใจแน่วแน่ ที่จะมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษ และภาษาจีนเป็นเลิศ Bi-lingual Excellence เพื่อที่จะนำความรู้นี้กลับมาช่วยเหลือประเทศชาติ จากนั้น ผมก็ทำหน้าตาน่าสงสาร หรือ facial expression และ eye contact ไปที่กรรมการผู้หญิง ทำนองว่า นะ นะ อนุมัติเถิดนะ ผมคิดว่า น่าจะได้ผล เพราะการสอบสัมภาษณ์ไม่ใช่ objective ที่ต้องการคำตอบอันเป็นวัตถุวิสัยว่า ต้องตอบ A หรือ B แต่การสอบสัมภาษณ์เป็นการตอบแบบ subjective อัตวิสัย ที่ตอบได้อย่างอิสระ ไม่มีคำตอบที่ตายตัว
ปรากฏว่า สายตา และท่าทางบนใบหน้าที่ผมแสดง ที่ฝึกมาจากสมัยเรียนตรี กล่าวสุนทรพจน์ได้ผล คณะกรรมการ ม. ปักกิ่ง อนุมัติให้ผมเรียน course ภาษาจีน อักษรศาสตร์มหาบัณฑิตระดับปริญญาโทได้ โดยที่ผมไม่เคยเรียนจีนสัก 1 ตัว ตอนเรียนปริญญาตรี ไม่เหมือนเพื่อนชาวญี่ปุ่น ชาวเกาหลี หรือชาวจีน ต่างก็มีความรู้ภาษาจีนในระดับปริญญาตรีมาแล้วทั้งสิ้น ถือว่าเป็นนิสิตคนแรก และคนเดียวจริงๆของมหาวิทยาลัย ที่ไม่มีความรู้ภาษาจีนระดับปริญญาาตรี แต่ก็เรียน ปริญญาโท ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ได้สำเร็จ ต่อมาภายหลัง ได้ออกมาเป็นกฏว่า นิสิตปริญญาโท ต้องจบปริญญาตรี ที่เรียนภาษาจีน ไม่งั้นไม่รับ ด้วยปัญญาอันกลั่นกรองดีแล้ว ผมจึงผ่านมหาหินก้อนที่ 2 มาได้ ( หินก้อนนี้ คงจะเป็นหินขนาดเดียวกับที่พระเทวทัต โยนลงมาถล่มพระพุทธเจ้าเป็นแน่แท้ ยากซะเหลือเกิน )

3. ตอนที่เลือกทำหัวข้อวิทยานิพนธ์นั้น (Thesis) เพื่อนๆ และรุ่นพี่ได้มาสอบถามผมว่า จะทำหัวข้ออะไร ตอนแรกผมคิดที่จะเลือกทำ หัวข้อการเปรียบเทียบภาษาไทย และภาษาจีนในมุมใดมุมหนึ่ง เช่น โครงสร้าง วลี วากยสัมพันธ์ คำนาม morphology etc แต่คิดไปคิดมา หัวข้อเหล่านั้น นิสิตต่างชาติ เช่น ชาวญี่ปุ่น ชาวเกาหลี ชาวฝรั่งชอบทำ เช่น เปรียบเทียบระหว่างภาษาญี่ปุ่นกับภาษาจีน หรือเปรียบเทีบยภาษาเกาหลีกับภาษาจีน หรือภา...ษาอังกฤษกับภาษาจีน ผมเห็นว่า หัวข้อเหล่านี้เหมาะกับเป็นหัวข้อของการทำรายงาน ( Report) ซะมากกว่า ทำเพื่อที่จะได้เกรด ไม่เหมาะกับเป็นหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์ในระดับปริญญาโท เพราะการเปรียบเทียบภาษาใดภาษาหนึ่งกับภาษาจีน ก็เหมือนกับเขียนอธิบายคนขายของ 2 ประเภท คือคนขายขนมครก และคนขายขนมเบื้องญวณ ซึ่งต้องใช้เตาเหมือนกัน คนขายขนมครกก็พูดไปทาง คนขายขนมเบื้องญวณก็พูดไปทาง เช่นเดียวกับ พรรณาคุณลักษณะของภาษาไทย ภาษาแม่ไปพลาง ภาษาญึ่ปุ้นไปพลาง และพรรณนาภาษาจีนไปอีกทาง แล้วก็ตามด้วยบทสรุปที่ idiotic summary ว่า ขนมครก เหมือนกันหรือต่างกันกับ ขนมเบื้องญวณ อย่างนั้น อย่างนี้ ใช้ไฟแรงต่างกัน ครกขนาดต่างกัน ใช้กะทะ พูดไปน้ำไหลไฟดับ เฉกเช่นเดียวกับพูดว่าภาษาไทย ต่างกับภาษาจีนอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเหมือนกันอย่างนี้อย่างนี้ ขอถามว่า น่าสนใจมั้ย มีนวัตกรรมใหม่ๆ ( Innovation ) เกิดขึ้นใน บรรณภิภพ มั้ย ทำแล้วผู้อ่านได้ get อะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนมั้ย

ด้วยความกลั่นกรองอย่างละเอียด ( in-depth and keen consideration ) ผมเลยตัดสินใจไม่เลือกหัวข้อ การเปรียบเทียบระหว่างภาษาไทย กับภาษาจีนในมุมใดมุมหนึ่ง แต่กลับเลือกที่จะเจาะโครงสร้างภาษาจีนคือ S+ VP1 + [ ] + VP 2 โดยเขียนเป็นภาษาจีนทั้งหมด ประมาณ 10,000 กว่าตัวอักษรจีนครับ สำหรับวิทยานิพนธ์ นับเป็นก้อนหินทางปัญญาที่ยากเป็นลำดับ 3

จากการศึกษาในครั้งนี้ ทำให้รู้สึกว่า การเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง อันดับ 1 ของจีน และมีชื่อเสียงอันดับ 1 ของโลกทางด้านอักษรศาสตร์จีนนี้ ช่างยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน สำหรับเด็กไทยตัวน้อยๆอย่างผม เรียนที่จุฬา ยังไม่หนักเท่านี้เลยครับ แต่ไม่เคยแอบร้องไห้นะ จะบอกให้

ด้วยความวิริยะ และความอุตสาหะมาอย่างต่อเนื่อง บวกกับขยันแบบฉลาดๆ ไม่ใช่ขยันแบบโง่ๆ ทำให้ผมสามารถฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง จนจบปริญญาโท จาก ม. ปักกิ่งแห่งนี้ได้สำเร็จ ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.95 เกียรตินิยมอันดับ 1 ( First-Class Honors) M.A. ( Grammatical Chinese Structure)

มาถึงวันนี้ ผมน้องนัทตี้ หรือชื่อจีน Xiao Lin เล่อ เล่อ สามารถบอกได้เต็มปากว่า ผมอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ภาษาจีน มากกว่าอ่านหนังสือภาษาไทยเสียอีก และทุกครั้งที่ผมเจอภาษาอังกฤษ ภาษาจีนที่ไหน ผมจะรู้สึกถึงความผูกพัน ว่าสิ่งนี้เป็นของเรา เป้นคนสนิทของเรา เป็นเพื่อนเรา ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่เราจะต้องรู้สึกกลัวครับ

ป.ล. หนังสือภาษาไทย ที่ผมอ่านเยอะนี่ ก็หนังสือธรรมะ ของพระพุทธเจ้า นี่แหละครับ ชอบอ่าน เพราะได้แง่คิดดีๆ และเป็นที่น่าแปลกใจ ที่น้องนัทตี้คันพบว่า : นักปราชญ์จีนเหล่านี้ กับพระพุทธเจ้า ไม่เคยพบปะเจอะเจอกัน เพราะศาสนาพุทธ มีอายุ 2,600 ปีชยันโต แต่ปรัชญาจีน อายุนานถึง 5,000 ปี แต่สิ่งที่คนทั้งสองกลุ่มนี้พูดจา และถ่ายทอดนี่เหมือนกัน เกือบ 95 % เลยครับ ลึกซึ้ง แยบยล ไพเราะ เกิดปัญญาพอๆกัน 英雄所见略同 !

เว้นแต่ที่พระพุทธองค์สอนให้รู้จักนิพพาน ( Deliverence ) มากกว่านิดเดียวเองครับ

คุณลุงป้าน้าอา ว่าผม ใช้ปัญญาต่อปัญหา เหล่านี้ดีมั้ยครับ ช่วย comment หน่อย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่