สื่อดังเมืองผู้ดี เดลี่ เมล์ ฟันธงฉับ 10 เหตุผล 'หงส์แดง' ลิเวอร์พูล มีโอกาสแซงทุกทีมเต็งพุ่งทะยานเข้าป้ายแชมป์พรีเมียร์ลีกในบั้นปลาย ชี้พลังการถล่มประตูจากหลากหลายทุกรูปแบบ ตลอดจนมีสุดยอดคู่หู 'เอสเอเอส' หลุยส์ ซัวเรซ กับ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ อยู่ในทีม พร้อมด้วยกำลังเสริมอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ ราฮีม สเตอร์ลิง แถมปลอดศึกหนักในเกมยุโรป คือปัจจัยสำคัญชัดเจน
เดลี่เมล์ หนังสือพิมพ์ดังของอังกฤษ วิเคราะห์การไล่ล่าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ ที่กำลังทวีความเข้มข้นอย่างสูงสุดมากกว่าหลายปีที่ผ่านมา โดยชี้ว่าจากการที่ เชลซี, อาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต่างกำลังเผชิญกับความยากลำบากในการรักษาตำแหน่งจ่าฝูง ประกอบกับ "แชมป์เก่า" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด น่าจะหลุดพ้นวงโคจรในการลุ้นป้องกันแชมป์ไปแล้วนั้น เท่ากับเป็นการเปิดทางให้ ลิเวอร์พูล ที่เพิ่งฉายฟอร์มเด่นถล่ม "ไอ้ปืนใหญ่" 5-1 เมื่อวันเสาร์ที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา กลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ในบัดดล
นี่คือ 10 เหตุผลว่าทำไมลูกทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส จึงมีโอกาสแปลงร่างเป็น "ม้ามืด" แซงหน้าเหล่าบรรดาทีมเต็งทั้งหลายเข้าป้ายครองถ้วยชนะเลิศลีกสูงสุดเมืองผู้ดีได้สำเร็จเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1990 หรือในรอบ 24 ปี ซึ่งนับเป็นสมัยที่ 19 ในบั้นปลาย
1. พลพรรค "หงส์แดง" เคยทำได้มาก่อนในฤดูกาล 1985-86 ทีมของ เคนนี่ ดัลกลิช ตกเป็นฝ่ายตามหลังจ่าฝูง เอฟเวอร์ตัน 5 คะแนน โดยที่เหลือเกมลงเตะอีก 13 นัดเท่านั้น แถมช่องว่างยังถูกถ่างกว้างออกไปอีกเป็น 8 แต้ม เมื่อเหลือเกมอีก 12 นัด หลังพลาดท่าแพ้ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" 0-2 คาสนามแอนฟิลด์ แต่ชัยชนะ 11 นัด และเสมอ 1 นัดในเวลาต่อมาก็หนุนส่งให้ ลิเวอร์พูล แซงหน้าทีมของ ฮาวเวิร์ด เคนดัลล์ คว้าแชมป์ในบั้นปลายโดยเก็บคะแนนได้มากกว่า 2 คะแนนด้วยกัน
2. ลิเวอร์พูล มีสถิติลงเล่นในบ้านดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีก ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี ยังต้องออกมาเยือนถิ่นแอนฟิลด์...และในขณะที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีม เชลซี พร่ำบอกอย่างไม่เลิกราว่าทีมของตนจะไม่ได้เป็นแชมป์ในปีนี้ ดังนั้น การเอาชนะให้ได้ทั้งสองทีมย่อมหมายความว่า ลิเวอร์พูล มาถูกทางแล้วสำหรับการไล่ล่าแชมป์
3. ลิเวอร์พูล อาจจะไม่ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มาแล้ว 5 ปี แต่เมื่อพ้นยุคเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไปแล้ว ใครจะกล้าทุ่มพนันหมดหน้าตักไปเลยล่ะว่าพวกเขาจะไม่มีทางเพิ่มความทุกข์ระทมขมขื่นให้กับ เดวิด มอยส์ มากขึ้นไปอีกในเดือนหน้า ด้วยการเอาชนะแบบไปกลับในซีซั่นนี้? ยิ่งไปกว่านั้น เวสต์บรอมฯ, เอฟเวอร์ตัน, นิวคาสเซิ่ล และ สเปอร์ส ก็เพิ่งจะบุกไปทำ "ปีศาจแดง" น้ำตาตกไปก่อนแล้ว ลืม สวอนซี ในเอฟเอ คัพ ไปแล้วหรือไร?
4. หลังโดน ลิเวอร์พูล ถล่ม 5-1 อาร์เซน่อล ก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายร้ายแรงต่อการวืดแชมป์อีกครั้ง และอาจถึงขั้นสูญเสียสถานะการเป็นทีมลุ้นแชมป์ในท่ามกลางผู้ท้าชิง 4 อันดับแรกที่มีอยู่มากมายหลายทีม ถ้า "เดอะ กันเนอร์ส" แพ้ ลิเวอร์พูล ในเอฟเอ คัพ และแพ้ บาเยิร์น มิวนิค ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปแล้วล่ะก็ นั่นอาจจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความมั่นใจของทีมในถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ได้เลยทีเดียว เพราะ ลิเวอร์พูล อาจแซงพวกเขาขึ้นไปได้ภายในระยะเวลาอันใกล้
5. การที่ไม่ต้องไปเหนื่อยนักในศึก ยูโรป้า ลีก หรือต้องเดินทางไกลไปลงเตะที่ยูเครนหรือประเทศต่างๆในภาคพื้นทวีปยุโรป ย่อมทำให้ ลิเวอร์พูล มีสมาธิและความพร้อมอย่างมากสำหรับการไล่ล่า 2 ถ้วยสำคัญภายในประเทศ
6. ไม่มีใครยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้มากกว่า หลุยส์ ซัวเรซ หรือ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ในเมื่อทั้งคู่ซัลโวรวมกันไปได้ถึง 39 ประตูแล้ว โดยแบ่งออกเป็น 23 ลูกจาก ซัวเรซ และ 16 ลูกจาก สเตอร์ริดจ์
7. เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อาจไม่นับรวม สตีเว่น เจอร์ราร์ด ว่าเป็น "สุดยอดของสุดยอดนักเตะ" แต่เขาก็เป็นแค่คนกลุ่มน้อยเท่านั้น กัปตันทีม "หงส์แดง" เกิดใหม่อีกครั้งในฐานะมิดฟิลด์ตัวคุมเกมตามบทบาทที่ ร็อดเจอร์ส มอบหมายให้ การวิ่งพล่านไม่ยอมหยุดระหว่างกรอบเขตโทษทั้งสองฝั่งอาจลดน้อยถอยลงไปบ้าง แต่ในแง่ของการผ่านบอลย่อมเป็นอาหารทิพย์จากสรวงสวรรค์สำหรับ ซัวเรซ และ สเตอร์ริดจ์ รวมทั้งการเปิดลูกตั้งเตะก็ยังเป็นอีกหนึ่งอาวุธสุดอันตรายที่ออกมาจากฝีเท้าของ "สตีวี่ จี" ด้วยเช่นกัน
8. ราฮีม สเตอร์ลิง กำลังดีวันดีคืน เห็นได้จากผลงานอันโดดเด่นในเกมบอมบ์ทัพ "ปืนโต" หมาดๆ ไม่ว่าจะเป็นปีกซ้ายหรือขวา ฝีเท้าและความเร็วของ สเตอร์ลิง คือฝันร้ายของกองหลังฝั่งตรงข้าม และการประสานงานกับ ซัวเรซ ยังเกื้อหนุนเสริมส่งประสิทธิภาพการถล่มประตูของคู่หู "เอสเอเอส" (ซัวเรซ กับ สเตอร์ริดจ์) ได้อีกต่างหาก ทำเอา รอย ฮ็อดจ์สัน กุนซือทีมชาติอังกฤษ ยังอดใจไม่ไหวที่จะต้องวางแผนการให้ สเตอร์ลิง เข้ามาทำหน้าที่แทน ธีโอ วัลค็อตต์ ในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมากๆสำหรับดาวเตะวัย 19 ปีผู้นี้
9. มีเพียง อาร์เซน่อล เท่านั้นที่มีสถิติที่ดีกว่าในการประจัญบานกับเหล่าบรรดาทีมที่อยู่ในส่วนครึ่งล่างของตารางคะแนน และนั่นอาจจะไม่ใช่สถิติที่ยืนยงยาวนานอีกต่อไป จาก 15 เกมที่พบกับทีมอันดับ 11 และต่ำกว่า ลิเวอร์พูล ชนะถึง 12 นัด เสมอ 2 นัด และแพ้แค่นัดเดียวเท่านั้น คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 2.5 คะแนนต่อเกม ด้วยอีก 5 เกมที่เหลือที่ต้องเจอกับทีมในกลุ่มดังกล่าว อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะเก็บคะแนนได้อีกไม่ต่ำกว่า 12.5-13 คะแนนเลยทีเดียว
10. ลิเวอร์พูล เป็นราชันย์แห่งลูกฟรีคิกในทุกพื้นที่ของสนาม ลูกทีมของ ร็อดเจอร์ส ยิงไปแล้ว 22 ประตูจากลูกนิ่งมากกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 ลูก และมากกว่า เชลซี 8 ลูก เมื่อบวกกับอีก 43 ลูกจากการทำเกมแล้ว ย่อมเขย่าขวัญสั่นประสาทแนวรับคู่แข่งทั้งหลายทั้งปวงที่ยังต้องรอดวลแข้งกับพวกเขาในเกมที่เหลือของฤดูกาลนี้อย่างแน่นอนที่สุด
http://www.siamsport.co.th/tablet/views.php?code=140214011124
10 เหตุผลหงส์ทะยานแชมป์พรีเมียร์ลีก
เดลี่เมล์ หนังสือพิมพ์ดังของอังกฤษ วิเคราะห์การไล่ล่าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ ที่กำลังทวีความเข้มข้นอย่างสูงสุดมากกว่าหลายปีที่ผ่านมา โดยชี้ว่าจากการที่ เชลซี, อาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต่างกำลังเผชิญกับความยากลำบากในการรักษาตำแหน่งจ่าฝูง ประกอบกับ "แชมป์เก่า" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด น่าจะหลุดพ้นวงโคจรในการลุ้นป้องกันแชมป์ไปแล้วนั้น เท่ากับเป็นการเปิดทางให้ ลิเวอร์พูล ที่เพิ่งฉายฟอร์มเด่นถล่ม "ไอ้ปืนใหญ่" 5-1 เมื่อวันเสาร์ที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา กลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ในบัดดล
นี่คือ 10 เหตุผลว่าทำไมลูกทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส จึงมีโอกาสแปลงร่างเป็น "ม้ามืด" แซงหน้าเหล่าบรรดาทีมเต็งทั้งหลายเข้าป้ายครองถ้วยชนะเลิศลีกสูงสุดเมืองผู้ดีได้สำเร็จเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1990 หรือในรอบ 24 ปี ซึ่งนับเป็นสมัยที่ 19 ในบั้นปลาย
1. พลพรรค "หงส์แดง" เคยทำได้มาก่อนในฤดูกาล 1985-86 ทีมของ เคนนี่ ดัลกลิช ตกเป็นฝ่ายตามหลังจ่าฝูง เอฟเวอร์ตัน 5 คะแนน โดยที่เหลือเกมลงเตะอีก 13 นัดเท่านั้น แถมช่องว่างยังถูกถ่างกว้างออกไปอีกเป็น 8 แต้ม เมื่อเหลือเกมอีก 12 นัด หลังพลาดท่าแพ้ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" 0-2 คาสนามแอนฟิลด์ แต่ชัยชนะ 11 นัด และเสมอ 1 นัดในเวลาต่อมาก็หนุนส่งให้ ลิเวอร์พูล แซงหน้าทีมของ ฮาวเวิร์ด เคนดัลล์ คว้าแชมป์ในบั้นปลายโดยเก็บคะแนนได้มากกว่า 2 คะแนนด้วยกัน
2. ลิเวอร์พูล มีสถิติลงเล่นในบ้านดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีก ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี ยังต้องออกมาเยือนถิ่นแอนฟิลด์...และในขณะที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีม เชลซี พร่ำบอกอย่างไม่เลิกราว่าทีมของตนจะไม่ได้เป็นแชมป์ในปีนี้ ดังนั้น การเอาชนะให้ได้ทั้งสองทีมย่อมหมายความว่า ลิเวอร์พูล มาถูกทางแล้วสำหรับการไล่ล่าแชมป์
3. ลิเวอร์พูล อาจจะไม่ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด มาแล้ว 5 ปี แต่เมื่อพ้นยุคเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไปแล้ว ใครจะกล้าทุ่มพนันหมดหน้าตักไปเลยล่ะว่าพวกเขาจะไม่มีทางเพิ่มความทุกข์ระทมขมขื่นให้กับ เดวิด มอยส์ มากขึ้นไปอีกในเดือนหน้า ด้วยการเอาชนะแบบไปกลับในซีซั่นนี้? ยิ่งไปกว่านั้น เวสต์บรอมฯ, เอฟเวอร์ตัน, นิวคาสเซิ่ล และ สเปอร์ส ก็เพิ่งจะบุกไปทำ "ปีศาจแดง" น้ำตาตกไปก่อนแล้ว ลืม สวอนซี ในเอฟเอ คัพ ไปแล้วหรือไร?
4. หลังโดน ลิเวอร์พูล ถล่ม 5-1 อาร์เซน่อล ก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายร้ายแรงต่อการวืดแชมป์อีกครั้ง และอาจถึงขั้นสูญเสียสถานะการเป็นทีมลุ้นแชมป์ในท่ามกลางผู้ท้าชิง 4 อันดับแรกที่มีอยู่มากมายหลายทีม ถ้า "เดอะ กันเนอร์ส" แพ้ ลิเวอร์พูล ในเอฟเอ คัพ และแพ้ บาเยิร์น มิวนิค ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปแล้วล่ะก็ นั่นอาจจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความมั่นใจของทีมในถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ได้เลยทีเดียว เพราะ ลิเวอร์พูล อาจแซงพวกเขาขึ้นไปได้ภายในระยะเวลาอันใกล้
5. การที่ไม่ต้องไปเหนื่อยนักในศึก ยูโรป้า ลีก หรือต้องเดินทางไกลไปลงเตะที่ยูเครนหรือประเทศต่างๆในภาคพื้นทวีปยุโรป ย่อมทำให้ ลิเวอร์พูล มีสมาธิและความพร้อมอย่างมากสำหรับการไล่ล่า 2 ถ้วยสำคัญภายในประเทศ
6. ไม่มีใครยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้มากกว่า หลุยส์ ซัวเรซ หรือ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ในเมื่อทั้งคู่ซัลโวรวมกันไปได้ถึง 39 ประตูแล้ว โดยแบ่งออกเป็น 23 ลูกจาก ซัวเรซ และ 16 ลูกจาก สเตอร์ริดจ์
7. เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อาจไม่นับรวม สตีเว่น เจอร์ราร์ด ว่าเป็น "สุดยอดของสุดยอดนักเตะ" แต่เขาก็เป็นแค่คนกลุ่มน้อยเท่านั้น กัปตันทีม "หงส์แดง" เกิดใหม่อีกครั้งในฐานะมิดฟิลด์ตัวคุมเกมตามบทบาทที่ ร็อดเจอร์ส มอบหมายให้ การวิ่งพล่านไม่ยอมหยุดระหว่างกรอบเขตโทษทั้งสองฝั่งอาจลดน้อยถอยลงไปบ้าง แต่ในแง่ของการผ่านบอลย่อมเป็นอาหารทิพย์จากสรวงสวรรค์สำหรับ ซัวเรซ และ สเตอร์ริดจ์ รวมทั้งการเปิดลูกตั้งเตะก็ยังเป็นอีกหนึ่งอาวุธสุดอันตรายที่ออกมาจากฝีเท้าของ "สตีวี่ จี" ด้วยเช่นกัน
8. ราฮีม สเตอร์ลิง กำลังดีวันดีคืน เห็นได้จากผลงานอันโดดเด่นในเกมบอมบ์ทัพ "ปืนโต" หมาดๆ ไม่ว่าจะเป็นปีกซ้ายหรือขวา ฝีเท้าและความเร็วของ สเตอร์ลิง คือฝันร้ายของกองหลังฝั่งตรงข้าม และการประสานงานกับ ซัวเรซ ยังเกื้อหนุนเสริมส่งประสิทธิภาพการถล่มประตูของคู่หู "เอสเอเอส" (ซัวเรซ กับ สเตอร์ริดจ์) ได้อีกต่างหาก ทำเอา รอย ฮ็อดจ์สัน กุนซือทีมชาติอังกฤษ ยังอดใจไม่ไหวที่จะต้องวางแผนการให้ สเตอร์ลิง เข้ามาทำหน้าที่แทน ธีโอ วัลค็อตต์ ในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมากๆสำหรับดาวเตะวัย 19 ปีผู้นี้
9. มีเพียง อาร์เซน่อล เท่านั้นที่มีสถิติที่ดีกว่าในการประจัญบานกับเหล่าบรรดาทีมที่อยู่ในส่วนครึ่งล่างของตารางคะแนน และนั่นอาจจะไม่ใช่สถิติที่ยืนยงยาวนานอีกต่อไป จาก 15 เกมที่พบกับทีมอันดับ 11 และต่ำกว่า ลิเวอร์พูล ชนะถึง 12 นัด เสมอ 2 นัด และแพ้แค่นัดเดียวเท่านั้น คิดเป็นคะแนนเฉลี่ย 2.5 คะแนนต่อเกม ด้วยอีก 5 เกมที่เหลือที่ต้องเจอกับทีมในกลุ่มดังกล่าว อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะเก็บคะแนนได้อีกไม่ต่ำกว่า 12.5-13 คะแนนเลยทีเดียว
10. ลิเวอร์พูล เป็นราชันย์แห่งลูกฟรีคิกในทุกพื้นที่ของสนาม ลูกทีมของ ร็อดเจอร์ส ยิงไปแล้ว 22 ประตูจากลูกนิ่งมากกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 ลูก และมากกว่า เชลซี 8 ลูก เมื่อบวกกับอีก 43 ลูกจากการทำเกมแล้ว ย่อมเขย่าขวัญสั่นประสาทแนวรับคู่แข่งทั้งหลายทั้งปวงที่ยังต้องรอดวลแข้งกับพวกเขาในเกมที่เหลือของฤดูกาลนี้อย่างแน่นอนที่สุด
http://www.siamsport.co.th/tablet/views.php?code=140214011124