Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004)
Genre: Romance, Drama, Sci-fi
Director: Michel Gondry
Story: Charlie Kaufman, Michel Gondry, Pierre Bismuth
Screenplay: Charlie Kaufman
ขอต้อนรับวันวาเลนไทน์ด้วยหนังรักที่ผมคิดว่าบรรยายความสัมพันธ์ได้ 'สมจริง' ที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง หนังค่อนข้างมีความเป็นผู้ใหญ่สูงครับ
ผมนั่งดู Eternal Sunshine of the Spotless Mind รอบนี้เป็นรอบที่ 2 ซึ่งให้ความรู้สึกต่างจากรอบแรกพอสมควร ครั้งแรกที่ดู ผมรู้สึกว่าเทคนิคการเล่าเรื่องมันหวือหวา แต่ในครั้งที่สองผมพบว่าสิ่งที่เคยหวือหวามันกลับไม่สำคัญเท่าประเด็นที่หนังต้องการจะสื่อ
เป็นอีกรีวิวต่อจาก 'Her' ที่อยากทดลองเขียนครับ (
http://ppantip.com/topic/31643413)
*****มีการเปิดเผยเนื้อหาของหนังเกือบทั้งหมดครับ*****
ถ้าคุณคิดว่า 'ความรัก' คือ 'การยอมรับข้อเสียของกันและกัน'
ทุกคนย่อมมีทั้ง 'ข้อดี' และ 'ข้อเสีย'
ถ้าเราชอบแต่ข้อดีของเขา นั่นคือ 'หลง'
แต่เมื่อไรที่เรายอมรับข้อเสียของเขาได้ นั่นคือ 'ความรัก'
ทุกความสัมพันธ์ย่อมมีทั้งช่วงหวานชื่นและอยากลืม
Eternal Sunshine of the Spotless Mind จะพาเราไปสำรวจความทรงจำถึงคนรัก และการตัดสินใจลบเธอไปจากใจเป็นสิ่งที่ควรทำจริงหรือ?
'โจเอล' (Jim Carrey) ตัดสินใจโดดงานกะทันหันเพื่อไปชายหาดมอนท็อค ที่นั่นทำให้เขารู้จักกับ 'คลีเมนไทน์' (Kate Winslet) หญิงสาวที่มาชวนเขาคุยบนรถไฟจนเกิดเป็นความสัมพันธ์ดี ๆ หลังจากออกเดทด้วยกันกลางแม่น้ำ 'เขาจอดรถรอเธอเข้าไปหยิบแปรงสีฟันในห้อง'
หนังหยุดเวลาปัจจุบันไว้แค่นั้น แล้วก็พาเราแฟลชแบ็กกลับไปทันทีว่า 'โจเอล' เคยรู้จักกับ 'คลีเมนไทน์' มาก่อนแล้ว!! เขากำลังสงสัย สับสน งงงวยว่าทำไมคนรักของเขาถึงได้ทำกับเขาราวกับไม่มีตัวตน เขาไปปรึกษาเพื่อนและได้รู้ว่า 'คลีเมนไทน์' เพิ่งมาใช้บริการ 'ลบความทรงจำ'
เมื่อ 'โจเอล' รู้ว่า 'คลีเมนไทน์' เพิ่งลบเขาไปจากใจ เขาจึงตัดสินใจด้วยความ 'หุนหันพลันแล่น' ว่าจะลบเธอออกไปจากใจเช่นกัน
ในขั้นตอนการลบ 'ความทรงจำเกี่ยวกับคลีเมนไทน์' หนังใช้วิธีการเล่าแบบแฟลชแบ็คความทรงจำจากล่าสุดไปยังจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ หนังค่อย ๆ พาเราไปดูช่วงเวลาที่ทั้งสองทะเลาะกัน ย้อนไปดูช่วงที่รู้สึกดี ๆ ต่อกันจนเขาไม่อยากลบความทรงจำดี ๆ ของเธอออกไปจากใจ เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า 'การลบความทรงจำเกี่ยวกับเธอ' ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
เป็นเรื่องปกติที่ในทุกความสัมพันธ์ย่อมมีความขัดแย้งกันบ้าง
จุดเริ่มต้นของการทะเลาะกันรุนแรงเกิดจาก 'คลีเมนไทน์' เอ่ยปากอยากมีลูก ในขณะที่ 'โจเอล' รู้สึกว่ายังไม่ควรมีลูกด้วยการกล่าวโทษอีกฝ่ายว่า "คุณยังไม่พร้อม" เธอจึงสวนกลับว่าแท้จริงแล้ว 'โจเอล' นั่นแหละที่ยังไม่พร้อมจะผูกมัดกับอะไร
เมื่อ 'โจเอล' ย้อนความทรงจำถอยหลังไปถึงช่วงที่เขามีความสุข เขาเกิดเปลี่ยนใจไม่ต้องการลบเธอออกจากใจ เขารู้ว่าขั้นตอนลบความทรงจำจะลบเฉพาะความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเธอเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงพาเธอหลบไปยังความทรงจำของเขาที่ไม่เคยแบ่งปันกับเธอ
หรือว่าที่ที่เขายังไม่พร้อมมีลูกกับเธอ เป็นเพราะตัวเขาเองต่างหากที่ยังไม่พร้อม เขายังปิดกั้นตัวเองไม่ให้เธอรับรู้บางส่วนในตัวเขา
+++++++++++++++++
'แมรี่' (Kirsten Dunst) พนักงานต้อนรับของบริษัทลบความทรงจำ ดูมีความสุขกับ 'สแตน' (Mark Ruffalo) พนักงานลบความทรงจำ แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอแอบรัก 'ดร. เมียร์สเวี้ยค' (Tom Wilkinson) ทั้งที่เขามีลูกมีเมียอยู่แล้ว ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจและยังก็แสดงออกถึงความในใจด้วยการบอกรัก 'ดร. เมียร์สเวี้ยค'
หนังเฉลยให้เราทราบว่า 'แมรี่' และ 'ดร. เมียร์สเวี้ยค' เคยแอบคบชู้กันมาก่อน แต่เมื่อถูกภรรยาของคุณหมอจับได้ 'แมรี่' จึงตัดสินใจลบความทรงจำเกี่ยวกับเขาทั้งหมด
เธอลบความทรงจำเกี่ยวกับเขา แต่เธอไม่สามารถลบตัวตนของเธอได้ เช่นกันกับเขาที่ยังคงบุคลิกเดิมที่เธอชื่นชอบ
ดังนั้นถึงจะลบความทรงจำเกี่ยวกับเขาออกไป แต่การทำงานร่วมกันอีกก็ย่อมมีโอกาสที่เธอจะตกหลุมรักบุคลิกของเขาได้อีก
'แมรี่' แค่ไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับ 'ดร. เมียร์สเวี้ยค' ไม่ได้แปลว่าเธอจะเริ่มมันอีกครั้งไม่ได้
การลบความทรงจำออกไปทำให้เธอ 'ทำผิดพลาด' ซ้ำสอง เพราะเธอลบ 'บทเรียน' ออกไปจากความทรงจำหมดแล้ว
'แมรี่' เข้าใจแล้วว่าการลบความทรงจำเป็นการตัดสินใจที่ผิด เธอจึงแก้ตัวด้วยการส่ง 'เทปบรรยายความรู้สึกของคนไข้ก่อนลบความทรงจำ' คืนเจ้าของทุกคน
+++++++++++++++++
หนังควรจะจบที่ฉาก 'เขาจอดรถรอเธอเข้าไปหยิบแปรงสีฟันในห้อง' ซึ่งถ้าจบแค่ตรงนี้มันก็ถือว่าจบสวยแล้ว แต่หนังทะเยอทะยานพาผู้ชมก้าวไปอีกขั้นด้วยการให้พวกเขาทั้งสองคนฟัง 'เทป' ของกันและกัน!!
หากทั้งสองคนไม่ได้ฟัง 'เทป' ที่ตัวเองบรรยายถึงอีกฝ่าย และอีกฝ่ายบรรยายถึงตัวเอง พวกเขาก็คงคบกันได้อย่างราบรื่นในช่วงแรก สุดท้ายพวกเขาทั้งสองก็ต้องวนเวียนกลับไปที่ปัญหาเดิม ๆ เพราะทั้งคู่ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากความสัมพันธ์ครั้งก่อน พวกเขาไม่เหลือความทรงจำให้เป็นบทเรียนอีกแล้ว
แน่นอนว่าพวกเขาย่อมทำผิดพลาดอีกครั้งเหมือน 'แมรี่'
การที่ทั้งสองคนได้ฟัง 'เทป' ของกันและกัน จึงเหมือนเป็นการนั่งฟังความรู้สึกของตัวเองที่เคยมีให้อีกฝ่ายในช่วงอารมณ์โกรธเกลียด ซึ่งนั่นก็คือการพรรณาข้อเสียของอีกฝ่าย การระบายสิ่งที่ตัวเองอึดอัด คำถามคือ
'ในเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร เรายังคงจะยอมรับได้หรือไม่'
ถ้า 'ความรัก' คือ 'การยอมรับข้อเสียของกันและกัน' การฟังเทปครั้งนี้ก็เหมือนการเปิดใจ เปิดความรู้สึกตัวเอง นั่นคือเหตุผลที่จะทำให้ไม่เกิดความผิดพลาดแบบเดิมเป็นครั้งที่สอง
สิ่งที่คุณควรเรียนรู้หลังดูหนังเรื่องนี้จบก็คือ 'อย่าตัดสินใจอะไรเวลาที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้' การลืมทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่การแก้ปัญหาเลย สิ่งที่คุณควรทำคือ 'เก็บเป็นบทเรียน' แล้วเรียนรู้จากมัน
"หากคุณเจอช่วงเวลาแย่ ๆ ลองสงบสติอารมณ์แล้วค่อย ๆ นึกถึงวันที่เคยมีความสุขร่วมกัน"
'ดี' เก็บไว้เป็นความทรงจำที่หอมหวาน ฉากที่ 'โจเอล' ต้องขนของที่มีความเกี่ยวข้องกับ 'คลีเมนไทน์' ไปทำลาย เชื่อผมเถอะว่าการทำแบบนี้มันไม่มีผลดีอะไรเลย ต่อให้เลิกรักกันแล้วก็ยังเก็บข้าวของไว้เป็นความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กันก็ไม่ได้เสียหายอะไร
'ร้าย' เก็บไว้เตือนใจตัวเอง ยอมรับและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ หากยอมรับข้อเสียเขาไม่ได้ก็ต้องแยกทางจากกัน แล้วเก็บไว้แต่ส่วน 'ดี' ของเขา
พูดถึงตัวหนังกันบ้าง ความประทับใจจากครั้งแรกที่ดูคือ 'เทคนิคการเล่าเรื่อง' แบบไม่เรียงลำดับเวลา/การเล่าย้อนหลัง (non-linear) ซึ่งหนังที่ใช้เทคนิคเล่าเรื่องแบบนี้ต้องตัดต่อดี มีสัญลักษณ์ช่วยให้คนดูแยกความแตกต่างของเวลาได้ เทคนิคหวือหวาแบบนี้มีหนังหลายเรื่องใช้แล้วประสบความสำเร็จครับ เช่น 21 Grams, Memento, Slumdog Millionaire, City of God, The Hours, 500 Days of Summer
บทหนังเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งงานที่การันตีคุณภาพความคิดสร้างสรรค์ของ Charlie Kaufman (เครดิตเข้าชิงออสการ์บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม 3 ครั้งจาก Being John Malkovich, Adaptation. และ Eternal Sunshine of the Spotless Mind) เขาหยิบยืมความเป็นแฟนตาซีเล็ก ๆ ของการลบความทรงจำมาใช้ผลักดันให้ความเป็น 'หนังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่จริงจัง' ได้ลงตัวมาก ๆ ที่สำคัญคือมีพล็อตที่ดีและยังถ่ายทอดออกมาได้ดี สมราคาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมออสการ์ครับ
ปกติผมเฉย ๆ กับจิม แครี่ย์เพราะเขามักจะปรากฎตัวในหนังแนวคอเมดี้เสียเยอะ แต่ตอนดูเรื่องนี้ครั้งแรกนี่ผมเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขาเลยนะ ผมเชื่อว่าเขาเป็นอีกหนึ่งนักแสดงคุณภาพที่ยังไม่ถึงเวลาล่ารางวัลการแสดง ฮ่าๆ ส่วนเคท วินสเล็ต รายนี้นักแสดงคุณภาพมีรางวัลการันตีอยู่แล้ว เรียบ ๆ แต่ถ่ายทอดความรู้สึกตัวละครผ่านสีหน้าแววตาได้ดีครับ
อีกหนึ่งหนังรักที่พูดถึงการรักษาความสัมพันธ์ได้สมจริงมาก ๆ
10/10
ติดตามรีวิวหนังอื่น ๆ ได้ที่เพจ 'หนังโปรดของข้าพเจ้า':
https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms
Eternal Sunshine of the Spotless Mind : หากคุณเจอช่วงเวลาแย่ ๆ ลองสงบสติอารมณ์แล้วค่อย ๆ นึกถึงวันที่เคยมีความสุขร่วมกัน
Genre: Romance, Drama, Sci-fi
Director: Michel Gondry
Story: Charlie Kaufman, Michel Gondry, Pierre Bismuth
Screenplay: Charlie Kaufman
ขอต้อนรับวันวาเลนไทน์ด้วยหนังรักที่ผมคิดว่าบรรยายความสัมพันธ์ได้ 'สมจริง' ที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง หนังค่อนข้างมีความเป็นผู้ใหญ่สูงครับ
ผมนั่งดู Eternal Sunshine of the Spotless Mind รอบนี้เป็นรอบที่ 2 ซึ่งให้ความรู้สึกต่างจากรอบแรกพอสมควร ครั้งแรกที่ดู ผมรู้สึกว่าเทคนิคการเล่าเรื่องมันหวือหวา แต่ในครั้งที่สองผมพบว่าสิ่งที่เคยหวือหวามันกลับไม่สำคัญเท่าประเด็นที่หนังต้องการจะสื่อ
เป็นอีกรีวิวต่อจาก 'Her' ที่อยากทดลองเขียนครับ (http://ppantip.com/topic/31643413)
*****มีการเปิดเผยเนื้อหาของหนังเกือบทั้งหมดครับ*****
ถ้าคุณคิดว่า 'ความรัก' คือ 'การยอมรับข้อเสียของกันและกัน'
ทุกคนย่อมมีทั้ง 'ข้อดี' และ 'ข้อเสีย'
ถ้าเราชอบแต่ข้อดีของเขา นั่นคือ 'หลง'
แต่เมื่อไรที่เรายอมรับข้อเสียของเขาได้ นั่นคือ 'ความรัก'
ทุกความสัมพันธ์ย่อมมีทั้งช่วงหวานชื่นและอยากลืม
Eternal Sunshine of the Spotless Mind จะพาเราไปสำรวจความทรงจำถึงคนรัก และการตัดสินใจลบเธอไปจากใจเป็นสิ่งที่ควรทำจริงหรือ?
'โจเอล' (Jim Carrey) ตัดสินใจโดดงานกะทันหันเพื่อไปชายหาดมอนท็อค ที่นั่นทำให้เขารู้จักกับ 'คลีเมนไทน์' (Kate Winslet) หญิงสาวที่มาชวนเขาคุยบนรถไฟจนเกิดเป็นความสัมพันธ์ดี ๆ หลังจากออกเดทด้วยกันกลางแม่น้ำ 'เขาจอดรถรอเธอเข้าไปหยิบแปรงสีฟันในห้อง'
หนังหยุดเวลาปัจจุบันไว้แค่นั้น แล้วก็พาเราแฟลชแบ็กกลับไปทันทีว่า 'โจเอล' เคยรู้จักกับ 'คลีเมนไทน์' มาก่อนแล้ว!! เขากำลังสงสัย สับสน งงงวยว่าทำไมคนรักของเขาถึงได้ทำกับเขาราวกับไม่มีตัวตน เขาไปปรึกษาเพื่อนและได้รู้ว่า 'คลีเมนไทน์' เพิ่งมาใช้บริการ 'ลบความทรงจำ'
เมื่อ 'โจเอล' รู้ว่า 'คลีเมนไทน์' เพิ่งลบเขาไปจากใจ เขาจึงตัดสินใจด้วยความ 'หุนหันพลันแล่น' ว่าจะลบเธอออกไปจากใจเช่นกัน
ในขั้นตอนการลบ 'ความทรงจำเกี่ยวกับคลีเมนไทน์' หนังใช้วิธีการเล่าแบบแฟลชแบ็คความทรงจำจากล่าสุดไปยังจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ หนังค่อย ๆ พาเราไปดูช่วงเวลาที่ทั้งสองทะเลาะกัน ย้อนไปดูช่วงที่รู้สึกดี ๆ ต่อกันจนเขาไม่อยากลบความทรงจำดี ๆ ของเธอออกไปจากใจ เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า 'การลบความทรงจำเกี่ยวกับเธอ' ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
เป็นเรื่องปกติที่ในทุกความสัมพันธ์ย่อมมีความขัดแย้งกันบ้าง
จุดเริ่มต้นของการทะเลาะกันรุนแรงเกิดจาก 'คลีเมนไทน์' เอ่ยปากอยากมีลูก ในขณะที่ 'โจเอล' รู้สึกว่ายังไม่ควรมีลูกด้วยการกล่าวโทษอีกฝ่ายว่า "คุณยังไม่พร้อม" เธอจึงสวนกลับว่าแท้จริงแล้ว 'โจเอล' นั่นแหละที่ยังไม่พร้อมจะผูกมัดกับอะไร
เมื่อ 'โจเอล' ย้อนความทรงจำถอยหลังไปถึงช่วงที่เขามีความสุข เขาเกิดเปลี่ยนใจไม่ต้องการลบเธอออกจากใจ เขารู้ว่าขั้นตอนลบความทรงจำจะลบเฉพาะความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเธอเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงพาเธอหลบไปยังความทรงจำของเขาที่ไม่เคยแบ่งปันกับเธอ
หรือว่าที่ที่เขายังไม่พร้อมมีลูกกับเธอ เป็นเพราะตัวเขาเองต่างหากที่ยังไม่พร้อม เขายังปิดกั้นตัวเองไม่ให้เธอรับรู้บางส่วนในตัวเขา
+++++++++++++++++
'แมรี่' (Kirsten Dunst) พนักงานต้อนรับของบริษัทลบความทรงจำ ดูมีความสุขกับ 'สแตน' (Mark Ruffalo) พนักงานลบความทรงจำ แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอแอบรัก 'ดร. เมียร์สเวี้ยค' (Tom Wilkinson) ทั้งที่เขามีลูกมีเมียอยู่แล้ว ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจและยังก็แสดงออกถึงความในใจด้วยการบอกรัก 'ดร. เมียร์สเวี้ยค'
หนังเฉลยให้เราทราบว่า 'แมรี่' และ 'ดร. เมียร์สเวี้ยค' เคยแอบคบชู้กันมาก่อน แต่เมื่อถูกภรรยาของคุณหมอจับได้ 'แมรี่' จึงตัดสินใจลบความทรงจำเกี่ยวกับเขาทั้งหมด
เธอลบความทรงจำเกี่ยวกับเขา แต่เธอไม่สามารถลบตัวตนของเธอได้ เช่นกันกับเขาที่ยังคงบุคลิกเดิมที่เธอชื่นชอบ
ดังนั้นถึงจะลบความทรงจำเกี่ยวกับเขาออกไป แต่การทำงานร่วมกันอีกก็ย่อมมีโอกาสที่เธอจะตกหลุมรักบุคลิกของเขาได้อีก
'แมรี่' แค่ไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับ 'ดร. เมียร์สเวี้ยค' ไม่ได้แปลว่าเธอจะเริ่มมันอีกครั้งไม่ได้
การลบความทรงจำออกไปทำให้เธอ 'ทำผิดพลาด' ซ้ำสอง เพราะเธอลบ 'บทเรียน' ออกไปจากความทรงจำหมดแล้ว
'แมรี่' เข้าใจแล้วว่าการลบความทรงจำเป็นการตัดสินใจที่ผิด เธอจึงแก้ตัวด้วยการส่ง 'เทปบรรยายความรู้สึกของคนไข้ก่อนลบความทรงจำ' คืนเจ้าของทุกคน
+++++++++++++++++
หนังควรจะจบที่ฉาก 'เขาจอดรถรอเธอเข้าไปหยิบแปรงสีฟันในห้อง' ซึ่งถ้าจบแค่ตรงนี้มันก็ถือว่าจบสวยแล้ว แต่หนังทะเยอทะยานพาผู้ชมก้าวไปอีกขั้นด้วยการให้พวกเขาทั้งสองคนฟัง 'เทป' ของกันและกัน!!
หากทั้งสองคนไม่ได้ฟัง 'เทป' ที่ตัวเองบรรยายถึงอีกฝ่าย และอีกฝ่ายบรรยายถึงตัวเอง พวกเขาก็คงคบกันได้อย่างราบรื่นในช่วงแรก สุดท้ายพวกเขาทั้งสองก็ต้องวนเวียนกลับไปที่ปัญหาเดิม ๆ เพราะทั้งคู่ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากความสัมพันธ์ครั้งก่อน พวกเขาไม่เหลือความทรงจำให้เป็นบทเรียนอีกแล้ว
แน่นอนว่าพวกเขาย่อมทำผิดพลาดอีกครั้งเหมือน 'แมรี่'
การที่ทั้งสองคนได้ฟัง 'เทป' ของกันและกัน จึงเหมือนเป็นการนั่งฟังความรู้สึกของตัวเองที่เคยมีให้อีกฝ่ายในช่วงอารมณ์โกรธเกลียด ซึ่งนั่นก็คือการพรรณาข้อเสียของอีกฝ่าย การระบายสิ่งที่ตัวเองอึดอัด คำถามคือ
'ในเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร เรายังคงจะยอมรับได้หรือไม่'
ถ้า 'ความรัก' คือ 'การยอมรับข้อเสียของกันและกัน' การฟังเทปครั้งนี้ก็เหมือนการเปิดใจ เปิดความรู้สึกตัวเอง นั่นคือเหตุผลที่จะทำให้ไม่เกิดความผิดพลาดแบบเดิมเป็นครั้งที่สอง
สิ่งที่คุณควรเรียนรู้หลังดูหนังเรื่องนี้จบก็คือ 'อย่าตัดสินใจอะไรเวลาที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้' การลืมทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่การแก้ปัญหาเลย สิ่งที่คุณควรทำคือ 'เก็บเป็นบทเรียน' แล้วเรียนรู้จากมัน
"หากคุณเจอช่วงเวลาแย่ ๆ ลองสงบสติอารมณ์แล้วค่อย ๆ นึกถึงวันที่เคยมีความสุขร่วมกัน"
'ดี' เก็บไว้เป็นความทรงจำที่หอมหวาน ฉากที่ 'โจเอล' ต้องขนของที่มีความเกี่ยวข้องกับ 'คลีเมนไทน์' ไปทำลาย เชื่อผมเถอะว่าการทำแบบนี้มันไม่มีผลดีอะไรเลย ต่อให้เลิกรักกันแล้วก็ยังเก็บข้าวของไว้เป็นความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กันก็ไม่ได้เสียหายอะไร
'ร้าย' เก็บไว้เตือนใจตัวเอง ยอมรับและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ หากยอมรับข้อเสียเขาไม่ได้ก็ต้องแยกทางจากกัน แล้วเก็บไว้แต่ส่วน 'ดี' ของเขา
พูดถึงตัวหนังกันบ้าง ความประทับใจจากครั้งแรกที่ดูคือ 'เทคนิคการเล่าเรื่อง' แบบไม่เรียงลำดับเวลา/การเล่าย้อนหลัง (non-linear) ซึ่งหนังที่ใช้เทคนิคเล่าเรื่องแบบนี้ต้องตัดต่อดี มีสัญลักษณ์ช่วยให้คนดูแยกความแตกต่างของเวลาได้ เทคนิคหวือหวาแบบนี้มีหนังหลายเรื่องใช้แล้วประสบความสำเร็จครับ เช่น 21 Grams, Memento, Slumdog Millionaire, City of God, The Hours, 500 Days of Summer
บทหนังเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งงานที่การันตีคุณภาพความคิดสร้างสรรค์ของ Charlie Kaufman (เครดิตเข้าชิงออสการ์บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม 3 ครั้งจาก Being John Malkovich, Adaptation. และ Eternal Sunshine of the Spotless Mind) เขาหยิบยืมความเป็นแฟนตาซีเล็ก ๆ ของการลบความทรงจำมาใช้ผลักดันให้ความเป็น 'หนังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่จริงจัง' ได้ลงตัวมาก ๆ ที่สำคัญคือมีพล็อตที่ดีและยังถ่ายทอดออกมาได้ดี สมราคาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมออสการ์ครับ
ปกติผมเฉย ๆ กับจิม แครี่ย์เพราะเขามักจะปรากฎตัวในหนังแนวคอเมดี้เสียเยอะ แต่ตอนดูเรื่องนี้ครั้งแรกนี่ผมเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขาเลยนะ ผมเชื่อว่าเขาเป็นอีกหนึ่งนักแสดงคุณภาพที่ยังไม่ถึงเวลาล่ารางวัลการแสดง ฮ่าๆ ส่วนเคท วินสเล็ต รายนี้นักแสดงคุณภาพมีรางวัลการันตีอยู่แล้ว เรียบ ๆ แต่ถ่ายทอดความรู้สึกตัวละครผ่านสีหน้าแววตาได้ดีครับ
อีกหนึ่งหนังรักที่พูดถึงการรักษาความสัมพันธ์ได้สมจริงมาก ๆ
10/10
ติดตามรีวิวหนังอื่น ๆ ได้ที่เพจ 'หนังโปรดของข้าพเจ้า': https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms