Lost 'HER' in irreconcilable : การเติบโตของจอนซ์จนเขาเขียนจดหมายไถ่โทษที่เคยไม่เข้าใจอดีตภรรยา [เปิดเผยเนื้อหาบางส่วน]

Lost 'HER' in irreconcilable
ด้วยรักจากใจ 'จอนซ์'



Her (2013)
Genre: Drama, Romance, Sci-fi

Director: Spike Jonze
Writer: Spike Jonze


รีวิวบทนี้ถือเป็นการ 'พยายาม' ลองอะไรใหม่ ๆ ของผม ซึ่งอาจจะมีความยาวมากกว่าปกติที่เคยเขียนรีวิวมา และยังเรียบเรียงได้ไม่ค่อยดี รวมถึงประเด็นที่อยากเขียนถึงเยอะ ซึ่งผมก็อยากให้ทุกท่านได้อ่านกันแบบเต็ม ๆ เพื่อจะได้วิจารณ์กันได้เต็มที่ หากผิดพลาดประการใดท้วงติงติเตียนกันได้เต็มที่ครับ ทุกความเห็นมีส่วนให้ผมไม่หยุดอยู่กับที่ครับ

***เปิดเผยเนื้อหาบางส่วน แต่ผมเชื่อว่าระหว่างทางของหนังสำคัญกว่าปลายทางครับ***

ถ้าคุณบอกว่า Lost in Translation คือจดหมายบอกสาเหตุการหย่าร้างของโซเฟีย คอปโปล่าที่มีต่อสไปค์ จอนซ์
ผมก็คิดว่า Her คือการเติบโตของจอนซ์จนเขาเขียนจดหมายไถ่โทษที่เคยไม่เข้าใจอดีตภรรยา

ต้องขอย้อนความไปหา Lost in Translation ก่อนครับ หากคุณจำกันได้ว่าตัวละคร 'ชาร์ล็อตต์' ที่รับบทโดยสกาเล็ตต์ โยแฮนสัน (และยังเป็นเจ้าของเสียง 'ซาแมนธ่า' ใน Her อีกด้วย) นั้นคือตัวโซเฟีย คอปโปล่าเอง เธอติดตามสามีไปทำงานในญี่ปุ่น แต่ปรากฎว่าสามียุ่งอยู่แต่กับงาน ทิ้งเธอให้อยู่ในโรงแรมต่างถิ่นไม่รู้ภาษา ทำให้เธอรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว เบื่อหน่าย ตัวละครสามีนั่นแหละครับคือตัวแทนของสไปค์ จอนซ์ สามีเธอ ณ เวลานั้น ก่อนที่จะหย่าร้างกันในที่สุด

กลับมาที่ Her ผมขออนุญาตใช้ 'ภาพภายนอกของตัวละคร' ชี้นำคุณก่อนเลยครับว่า 'แคทเธอรีน' ที่ (รับบทโดยรูนี่ย์ มาร่า) นั้นคือสัญลักษณ์ถึงอดีตภรรยาของเขาอย่างแน่นอน ขอชี้นำคุณด้วยฉากที่ 'แคทเธอรีน' มานั่งเซ็นใบหย่าต่อหน้า 'ธีโอดอร์' (รับบทโดย วาคีน ฟินิกซ์) การแต่งตัว ทรงผม ตลอดจนบุคลิกนั้นคือโซเฟีย คอปโปล่าชัด ๆ





แน่นอนว่า 'ธีโอดอร์' คือสไปค์ จอนซ์

บทสนทนาฉากหนึ่งใน Her ที่ 'ธีโอดอร์' พูดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ 'แคทเธอรีน' นั้นก็เหมือนเป็นการยอมรับสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโซเฟีย ฉากนั้นเขาพูดถึงเหตุการหย่าร้างว่า "I left her alone in the relationship." ซึ่งตรงกับสาเหตุที่โซเฟียสื่อออกมาใน Lost in Translation

และเพื่อให้คุณเชื่อว่าหนังของเขากำลังเล่าความสัมพันธ์ของเขา ผมขอชี้นำคุณด้วยตัวละคร 'เอมี่' เพื่อนสนิทของธีโอดอร์ที่รับบทโดยเอมี่ อดัมส์นั้น ทรงผมตลอดจนการแต่งตัวของเธอมันถอดแบบมาจากมิแรนด้า จูไล เพื่อนสนิทของสไปค์ จอนซ์ชัด ๆ (หากคุณยังไม่เคลิ้มตาม ผมขอให้ลองเปิดกูเกิ้ลค้นหารูป Miranda July ครับ)



เหตุผลอีกอย่างที่เสริมความเป็นไปได้ว่าสไปค์ จอนซ์นำความสัมพันธ์ในชีวิตจริงของเขามาทำเป็นหนังก็คือ 'บทหนัง' ที่เขาเขียนขึ้นเอง (original screenplay) เช่นเดียวกับที่โซเฟีย คอปโปล่าก็เขียนบทหนัง Lost in Translation ด้วยตัวเองครับ

ถึงตอนนี้ถ้าคุณเชื่อว่า 'แคทเธอรีน' และ 'เอมี่' มีตัวตนจริง ๆ ล่ะก็ ผมได้ยินบอร์ดนอกเขาแอบคิดกันว่า 'ซาแมนธา' อาจจะเป็นตัวแทนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมิเชล วิลเลี่ยมส์ครับ (ผมไม่มีข้อมูลความรักของสองคนนี้ตลอดจนเหตุแห่งการเลิกรา ดังนั้นต้องขอปล่อยผ่านนะครับ)



และหากคุณสงสัยว่าผู้กำกับคนหนึ่งจะทำหนังที่มี hidden agenda ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ขอให้นึกถึง On the Waterfront (1954) ซึ่งเป็นหนังที่ Elia Kazan ใช้แสดงจุดยืนทางการเมืองของเขาว่าไม่ใช่พวกคอมมิวนิสต์

Her เล่าเรื่องของ 'ธีโอดอร์' นักเขียนหนุ่มขี้เหงาช้ำรัก เขาเพิ่งแยกกันอยู่กับภรรยาและยังทำใจไม่ได้ที่จะเซ็นใบหย่า จนกระทั่งเขาได้รู้จักและตกหลุมรัก OS 1 ที่มีชื่อว่า 'ซาแมนธ่า'



หากเรานึกถึงบทบาทของ 'ปัญญาประดิษฐ์' (Artificial Intelligence) ในโลกภาพยนตร์ เราจะพบว่า Hollywood มักหยิบเจ้าเทคโนโลยีล้ำสมัยให้กลายเป็น 'ตัวร้าย' บนแผ่นฟิล์ม ตั้งแต่ Hal 9000 ใน 2001: A Space Odyssey, Skynet จาก The Terminator, Eagle Eye, I Robot, The Matrix และอาจรวมถึง Transcendence แต่บทบาทของ 'ปัญญาประดิษฐ์' ในหนังเรื่อง Her นั้น สไปค์ จอนซ์เลือกที่จะใช้ 'เธอ' ในแง่ปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะมีความรู้สึกนึกคิดมีจิตใจจนสามารถตกหลุมรักกับมนุษย์ได้เช่นเดียวกับที่มนุษย์ตกหลุมรักเธอ



ด้วยประสบการณ์การดูหนังอันน้อยนิดของผม ผมเพิ่งจะเคยดูหนังที่ใช้ธีม sci-fi มาทำเป็นหนังโรแมนซ์ดี ๆ ไม่กี่เรื่อง ระดับเทพยังไงก็ต้องยกให้ Eternal Sunshine of the Spotless Mind ที่หยิบธีมการล้างความทรงจำมาทำเป็นหนังที่พูดถึงความสัมพันธ์ได้สมจริงและเป็นผู้ใหญ่มาก ๆ, Solaris ก็หยิบธีมการสร้างสสารจำลองมาชดเชยความรู้สึกในใจ

จนกระทั่งการมาของ Her ที่พูดถึง 'ปัญญาประดิษฐ์' ที่พัฒนาจากเทคโนโลยีที่เป็นไปได้ในปัจจุบัน ลองนึกสภาพ 'Siri' หรือ 'Google Now' สามารถสนทนาโต้ตอบกับเราได้อย่างชาญฉลาด และยังสามารถพัฒนาความคิดเป็นของตัวเองจากการเรียนรู้บุคลิกเจ้าของผ่านการอีเมล อ่านข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ จนทำให้ 'เข้าใจ' ตัวตนของผู้ใช้งาน (user) นั่นแหละครับที่ผมกำลังพูดถึง 'ซาแมนธ่า' ใน Her



แต่หากเรามองว่า 'ปัญญาประดิษฐ์' เป็นสิ่งที่ล้ำเกินไป หรือหากรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัวเพราะมันคือจดหมายรักจากสไปค์ถึงโซเฟีย ทำไมเราไม่ลองแทนค่า 'ซาแมนธ่า' ให้ใกล้ตัวมากขึ้น เป็นความสัมพันธ์ข้ามประเทศ/จังหวัด ผ่าน Skype ผ่าน Voice Call ต่าง ๆ ซึ่งก็เป็นความสัมพันธ์ที่มีลักษณะคล้ายบทบาทของ 'ซาแมนธ่า' ใน Her ที่มีความใกล้เคียงกับมนุษย์เพียงแต่การสื่อสารผ่าน voice call ต่าง ๆ นั้นมีอุปสรรคในแง่ระยะทางทำให้ไม่สะดวกในการสัมผัสพบเจอ ดังนั้น 'ซาแมนธ่า' ในสายตาผมจึงหมายถึง 'ความสัมพันธ์ระยะไกลดี ๆ ผ่านการแชทที่มีโอกาสพัฒนาเป็นความรัก'

'ธีโอดอร์' เพิ่งแยกทางกับภรรยา เขาอยู่ในช่วงที่ยังไม่พร้อมจะเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่จริงจังกับใครเพียงเพราะยังห่วงใยภรรยาเก่า เขาไม่ได้ปฏิเสธการเดท เขาไม่ได้ต่อต้านสังคม (antisocial) เขายังคงปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัวรวมถึงเปิดตัวเองในการคบหาดูใจกับผู้อื่น เพียงแค่เขารู้สึกเหงายามอยู่คนเดียว ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่ยังไม่ชินกับการอยู่คนเดียว



เมื่อแรกเริ่มความสัมพันธ์ 'ธีโอดอร์' ถูกชะตา 'ซาแมนธ่า' ตรงที่เธอสดใส ฉลาด สื่ออารมณ์ได้ตามที่ตัวเองต้องการ และยังอ่านงานเขียนของเขา! ซึ่งตรงกับสิ่งที่สไปค์เคยบรรยายและคาดหวังในตัวโซเฟีย คอปโปล่า แต่เมื่อ 'ซาแมนธ่า' พัฒนาความคิดของตัวเอง (ในมุมมองมนุษย์หมายถึงการเติบโตขึ้น) เขาก็เริ่มรู้สึกสับสนความสัมพันธ์ของตัวเอง

'ซาแมนธ่า' ในสายตาของจอนซ์ อาจจะเป็นตัวแทนของการเติบโตทางความคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์จนทำให้เขายอมรับการตัดสินใจของโซเฟียในท้ายที่สุด



เปรียบเทียบกับเมื่อ 'ธีโอดอร์' ถูกถามถึงความรู้สึกของการแต่งงาน มันจึงเหมือนเป็นการบรรยายความเห็นตัวเองที่มีต่อชีวิตคู่ของเขากับโซเฟีย คอปโปล่า เขาบอกว่า "มันยากที่จะพูด แต่การได้แบ่งปันชีวิตตัวเองกับใครสักคนก็เป็นเรื่องที่ดี เราโตมาด้วยกัน (ทั้งคู่รู้จักกันปี 1992 แต่งงานปี 1999 หย่ากันปี 2003) ผมอ่านทุกสิ่งที่เธอเขียนในงานปริญญาเอก เธอก็อ่านทุกสิ่งที่ผมเขียนเช่นกัน เรามีอิทธิพลต่อกันและกัน แต่เมื่อเราโตขึ้น เรากลับยิ่งห่างเหิน ผมเริ่มหาข้อแก้ตัวให้สิ่งที่เธอกล่าวหาว่าผมผิด"

สไปค์ จอนซ์ กำลังรู้สึกผิด เขาเคยทิ้งให้เธออยู่คนเดียวบ่อยครั้ง (ในหนังมีประโยคที่ธีโอดอร์บอกว่า I left her alone in the relationship.), เขาเคยคาดหวังให้เธอเป็นอย่างที่เขาต้องการ (ในหนังมีประโยคที่แคทเธอรีนพูดว่า I think you've always wanted me to be happy, balancy, everything's fine)
และเขาอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับอดีตภรรยา เปรียบเทียบกับความสัมพันธ์กับเพื่อนสนิท 'เอมี่' หรือผมกำลังหมายถึงมิแรนด้า จูไล ว่าในการพูดคุยหัวข้อเดียวกัน โซเฟียกลับไม่เข้าใจเขา ในขณะที่จูไลเข้าใจเขา



'คนเราอยู่ด้วยกันไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผล ขอเพียงเข้าใจกันก็พอแล้ว' ผมเห็นด้วยกับประโยคนี้หลังจากเคยได้อ่านกระทู้งานแต่งในพันทิป

เมื่อตอนที่ 'ธีโอดอร์' บอก 'เอมี่' ว่าเขากำลังคบอยู่กับ OS 1 เธอรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นเพื่อนรักกำลังมีความสุข เธอไม่มองว่าเขา 'ประหลาด' แต่อย่างใด
ขณะเดียวกันเมื่อ 'ธีโอดอร์' บอก 'แคทเธอรีน' ว่าเขากำลังมีความสุขที่ได้คบอยู่กับ OS เธอกลับรู้สึกประหลาดใจที่เขาคบกับ 'คอมพิวเตอร์' เธอหัวเสียและวิจารณ์เขาว่า "มันไม่ใช่อารมณ์ที่แท้จริง"

ย้อนกลับไปที่ Lost in Translation โซเฟียเคยบอกกล่าวไว้ว่าสาเหตุที่เธอต้องเหงาก็เพราะสามีของเธอยุ่งอยู่แต่กับการทำงานจนไม่มีเวลาให้เธอ เป็นไปได้หรือไม่ที่ OS 1 ที่ทั้งคู่โต้เถียงกันนั้นคือตัวแทนของ 'งานที่สไปค์ จอนซ์ทำอยู่' (และเขาก็นำเรื่องที่โต้เถียงกับโซเฟียไปปรึกษาเพื่อนสนิท) เพื่อนที่เป็นคนนอกมองว่าไม่แปลกที่เขาจะขลุกอยู่กับงาน แต่ภรรยาที่เป็นคนในมองว่าควรจะมีเวลาให้กับเธอมากกว่านี้ และสไปค์ก็ใช้ Her เป็นการอธิบายแก้ต่างในมุมของเขา



หรือผมควรจะบอกว่า "คู่รักที่ดีต้องกล้าเตือน กล้าวิจารณ์อีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำเรื่องไม่ถูกต้อง" เพราะในท้ายที่สุด 'ธีโอดอร์' ก็ยอมรับในว่าความเห็นของ 'แคทเธอรีน' มีอิทธิพลต่อเขา ช่วงท้ายของหนังเขากำลังสับสนถึงความสัมพันธ์กับ 'ซาแมนธ่า' ว่าอาจจะเป็นเพียง 'การกลัวความสัมพันธ์ที่แท้จริง'

'ซาแมนธ่า' เริ่มกังวลกับความสัมพันธ์ของเธอ เธอรู้ว่าเขาต้องการมีเพศสัมพันธ์ที่เธอไม่สามารถให้ได้นอกจาก sex phone เธอจึงหาทางเยียวยาเขาด้วยการตกลงกับหญิงสาวคนหนึ่งให้เป็นตัวแทนเธอบนเตียง (Surrogates) ซึ่งกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ 'ธีโอดอร์' สับสนในความสัมพันธ์กับ 'ปัญญาประดิษฐ์'



หลังจาก 'ธีโอดอร์' เกิดความสับสนในความสัมพันธ์ของเขากับ 'ซาแมนธ่า' ก็มีฉากหนึ่งที่เขาขอคุยกับเธอ ซึ่งเหมือนเป็นการบอกเล่าว่า 'เขากำลังทำความเข้าใจโซเฟีย' ด้วยการใช้ซาแมนธ่าเป็นตัวถ่ายทอดความเห็นของเขา

"เขาบอกเธอว่าทุกอย่างปกติ แต่เขากลับทำตัวห่างเหินและฉุนเฉียว
เธอไม่ต้องการเหตุผลว่าทำไมถึงรักเขา เธอเชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเอง
เธอต้องไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นสิ่งที่เขาต้องการ เธอต้องเป็นตัวของตัวเอง และเขาต้องยอมรับข้อนี้"

+++++++++++++ มีต่อจ้า +++++++++++++++++

ติดตามเพจกันได้ที่ https://www.facebook.com/MyFavouriteFilms
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่