ดิฉันได้ฝึกสติตามเวทนามาหลายวันแล้ว โดยเฉพาะอาการยอดฮิตของนักปฏิบัติธรรม
ที่มักเกิดขึ้นเวลาที่นั่งสวดมนต์หรือทำสมาธิเป็นเวลานาน นั่นคือ"เหน็บชา"
ซึ่งอาการนี้ดิฉันเจอประจำ เจอทุกวัน วันไหนไม่เจอคือเรื่องแปลก โดยเฉพาะเวลานั่ง
พับเพียบสวดมนต์ ปกติถ้านั่งขัดสมาธิจะนั่งนานเป็นชั่วโมงก็จะไม่รู้สึกเลยว่าปวดขาหรือชา
แต่ถ้านั่งพับเพียบ เวทนาจะมาเร็วมากค่ะ ประมาณครึ่งชั่วโมง เหน็บชาจะมาล่ะ
อาจเป็นเพราะเรานั่งทับขาข้างเดียวแล้วทิ้งน้ำหนักไปที่ขาข้างนั้นหรือเปล่า มันเลยปวดและชาไวกว่านั่งขัดสมาธิ
ครั้งแรกที่ตั้งใจว่าจะตามดูอาการคือนั่งพับเพียบด้านขวาก่อน เพราะเป็นข้างที่ถนัด พอเวทนาเกิด
เราก็ใช้สติตามดู ขาเริ่มชา...อืม....มันเริ่มปวดนะ แล้วก็กลับมาดูจิต ดูสลับกันไปมาระหว่าง เวทนา กับ จิต
ดูกายด้วย (ถ้าเวทนามา เราจะหยุดสวดมนต์ก่อน แล้วตามดูมัน) ปกติถ้าเกิดเหน็บชาระหว่างสวดมนต์
ดิฉันก็จะเปลี่ยนข้าง จึงคิดว่าที่เราทำนี่มันคือการหนีทุกข์นะ ไม่ใช่วิธีมองทุกข์ ก็คิดใหม่ คราวนี้ไม่หนีแต่จะอยู่สู้กับทุกข์นั่น
พอนั่งไปนาน ๆ อาการมันเพิ่มขึ้น ปวดมากขึ้น ...ชามากขึ้น...มันร้อน..ร้อนเข้าไปจนถึงกระดูกเลย แล้วเราก็ดูจิต
ิดูกาย กายมันคิดจะขยับเปลี่ยนท่า จิตก็บอก "เดี๋ยวก่อน นั่งก่อน" อันนี้คือผู้รู้ดูเองหมดนะคะ กายมันก็นั่งต่อตามจิตสั่ง
แต่อาการปวดนี่สิ มันแทบหัวใจหยุดเต้นเลยคุณเอ้ย เกิดมาเป็นเหน็บก็ไม่เคยปวดเท่านี้มาก่อน ร้อนจนกระดูกแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ
ก็นั่งดูเวทนาสลับดูจิตไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่ง ชม. จึงได้เห็น..........เห็นชัดเลยว่า.....
อาการปวด มันค่อยๆ หายไปค่ะ อาการชาก็ค่อยๆเลือนไป แล้วมันจะรู้สึกเย็นๆ เป็นระยะๆตามขา แล้วอาการทั้งหมดก็แน่นิ่งไป
โอ...ใจมันคิด นี่แหละทุกขัง มีเกิด ย่อมมีดับ เราเห็นความดับของเวทนานั้นแล้ว (จิตมันเคยวิปัสสนาเห็นแต่เวทนาเป็นอนิจจัง
กับอนัตตา ตัวทุกขัง มันยังไม่เคยเห็นแบบจะจะ) พอเห็นอาการชามันหาย ดิฉันก็เลยยกมือไป
บีบๆตรงขา ปกติถ้าขาเป็นเหน็บชา จะแตะนิดเีดียวยังไม่ได้เลยนะคะ มันชาจ๊าดๆๆขึ้นทันที แต่นี่จับได้บีบได้ด้วย ไม่รู้สึกว่ามัน
เคยเป็นเหน็บชามาก่อนเลย แถมยังลุกเดินได้เลยอีกตะหาก
คราวนี้มาเมื่อคืนนี้ เราก็ลองนั่งพับเพียบอีกข้าง คือข้างซ้าย ซึ่งเป็นข้างที่ไม่ถนัด สวดมนต์ไปครึ่งชั่วโมง เวทนาก็มาค่ะ
ดิฉันก็ตามดูมัน เหมือนที่เคยดูมาแล้ว ปรากฎว่ามันปวดนานกว่าข้างขวาค่ะ ข้างซ้ายนี่มันหนักเอาการ ถามว่าทรมานไหม
เราตามดูจิตนะ มันก็ไม่ได้ปรุงแต่งอะไรมากมาย มันก็แค่บอกตามรู้สึก คือปวด..ชา...ปวดมาก..ร้อนมาก..ร้อนถึงกระดูกเลย
แต่ส่วนมากจิตจะนิ่ง เพราะมันเคยวิปัสสนามาแล้วว่ารูปที่เป็นธาตุ 4 ไม่ใช่ตัวมัน มันเลยไม่ค่อยสนใจเท่าไร (แยกจิต)
เกือบชั่วโมงที่เราตามดูอาการเหน็บชาของขาข้างซ้าย แล้วในที่สุด...เวทนาก็ดับเหมือนเดิมค่ะ อาการก่อนมันจะดับ
ก็เหมือนขาข้างขวา คือ ความปวด ความชา ค่อย ๆหายไป แล้วมันจะเย็น ๆ ก่อน (จากที่ร้อนจนแทบกระดูกแตกนะ)
ตอนนี้เลยเห็นแล้วว่าเวทนา หน้าตามันเป็นยังไง แยกกาย จิต เวทนา ออกจากกันเป็นยังไง รู้การเกิด ดับของมันแล้ว
เราก็ไม่จำเป็นต้องหนีทุกข์เวลานั่งสวดมนต์หรือสมาธิอีกต่อไป โดยต่อไปนี้ เวลานั่งสวดมนต์ก็จะนั่งท่าเดิมจนกว่าจะสวดเสร็จ
ถ้าเกิดเวทนาก็ตามดูจนมันดับไป โดยผู้รู้จะตามดูด้วยความเป็นกลางอีกตามเคย
สติเห็นเวทนา
ที่มักเกิดขึ้นเวลาที่นั่งสวดมนต์หรือทำสมาธิเป็นเวลานาน นั่นคือ"เหน็บชา"
ซึ่งอาการนี้ดิฉันเจอประจำ เจอทุกวัน วันไหนไม่เจอคือเรื่องแปลก โดยเฉพาะเวลานั่ง
พับเพียบสวดมนต์ ปกติถ้านั่งขัดสมาธิจะนั่งนานเป็นชั่วโมงก็จะไม่รู้สึกเลยว่าปวดขาหรือชา
แต่ถ้านั่งพับเพียบ เวทนาจะมาเร็วมากค่ะ ประมาณครึ่งชั่วโมง เหน็บชาจะมาล่ะ
อาจเป็นเพราะเรานั่งทับขาข้างเดียวแล้วทิ้งน้ำหนักไปที่ขาข้างนั้นหรือเปล่า มันเลยปวดและชาไวกว่านั่งขัดสมาธิ
ครั้งแรกที่ตั้งใจว่าจะตามดูอาการคือนั่งพับเพียบด้านขวาก่อน เพราะเป็นข้างที่ถนัด พอเวทนาเกิด
เราก็ใช้สติตามดู ขาเริ่มชา...อืม....มันเริ่มปวดนะ แล้วก็กลับมาดูจิต ดูสลับกันไปมาระหว่าง เวทนา กับ จิต
ดูกายด้วย (ถ้าเวทนามา เราจะหยุดสวดมนต์ก่อน แล้วตามดูมัน) ปกติถ้าเกิดเหน็บชาระหว่างสวดมนต์
ดิฉันก็จะเปลี่ยนข้าง จึงคิดว่าที่เราทำนี่มันคือการหนีทุกข์นะ ไม่ใช่วิธีมองทุกข์ ก็คิดใหม่ คราวนี้ไม่หนีแต่จะอยู่สู้กับทุกข์นั่น
พอนั่งไปนาน ๆ อาการมันเพิ่มขึ้น ปวดมากขึ้น ...ชามากขึ้น...มันร้อน..ร้อนเข้าไปจนถึงกระดูกเลย แล้วเราก็ดูจิต
ิดูกาย กายมันคิดจะขยับเปลี่ยนท่า จิตก็บอก "เดี๋ยวก่อน นั่งก่อน" อันนี้คือผู้รู้ดูเองหมดนะคะ กายมันก็นั่งต่อตามจิตสั่ง
แต่อาการปวดนี่สิ มันแทบหัวใจหยุดเต้นเลยคุณเอ้ย เกิดมาเป็นเหน็บก็ไม่เคยปวดเท่านี้มาก่อน ร้อนจนกระดูกแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ
ก็นั่งดูเวทนาสลับดูจิตไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่ง ชม. จึงได้เห็น..........เห็นชัดเลยว่า.....
อาการปวด มันค่อยๆ หายไปค่ะ อาการชาก็ค่อยๆเลือนไป แล้วมันจะรู้สึกเย็นๆ เป็นระยะๆตามขา แล้วอาการทั้งหมดก็แน่นิ่งไป
โอ...ใจมันคิด นี่แหละทุกขัง มีเกิด ย่อมมีดับ เราเห็นความดับของเวทนานั้นแล้ว (จิตมันเคยวิปัสสนาเห็นแต่เวทนาเป็นอนิจจัง
กับอนัตตา ตัวทุกขัง มันยังไม่เคยเห็นแบบจะจะ) พอเห็นอาการชามันหาย ดิฉันก็เลยยกมือไป
บีบๆตรงขา ปกติถ้าขาเป็นเหน็บชา จะแตะนิดเีดียวยังไม่ได้เลยนะคะ มันชาจ๊าดๆๆขึ้นทันที แต่นี่จับได้บีบได้ด้วย ไม่รู้สึกว่ามัน
เคยเป็นเหน็บชามาก่อนเลย แถมยังลุกเดินได้เลยอีกตะหาก
คราวนี้มาเมื่อคืนนี้ เราก็ลองนั่งพับเพียบอีกข้าง คือข้างซ้าย ซึ่งเป็นข้างที่ไม่ถนัด สวดมนต์ไปครึ่งชั่วโมง เวทนาก็มาค่ะ
ดิฉันก็ตามดูมัน เหมือนที่เคยดูมาแล้ว ปรากฎว่ามันปวดนานกว่าข้างขวาค่ะ ข้างซ้ายนี่มันหนักเอาการ ถามว่าทรมานไหม
เราตามดูจิตนะ มันก็ไม่ได้ปรุงแต่งอะไรมากมาย มันก็แค่บอกตามรู้สึก คือปวด..ชา...ปวดมาก..ร้อนมาก..ร้อนถึงกระดูกเลย
แต่ส่วนมากจิตจะนิ่ง เพราะมันเคยวิปัสสนามาแล้วว่ารูปที่เป็นธาตุ 4 ไม่ใช่ตัวมัน มันเลยไม่ค่อยสนใจเท่าไร (แยกจิต)
เกือบชั่วโมงที่เราตามดูอาการเหน็บชาของขาข้างซ้าย แล้วในที่สุด...เวทนาก็ดับเหมือนเดิมค่ะ อาการก่อนมันจะดับ
ก็เหมือนขาข้างขวา คือ ความปวด ความชา ค่อย ๆหายไป แล้วมันจะเย็น ๆ ก่อน (จากที่ร้อนจนแทบกระดูกแตกนะ)
ตอนนี้เลยเห็นแล้วว่าเวทนา หน้าตามันเป็นยังไง แยกกาย จิต เวทนา ออกจากกันเป็นยังไง รู้การเกิด ดับของมันแล้ว
เราก็ไม่จำเป็นต้องหนีทุกข์เวลานั่งสวดมนต์หรือสมาธิอีกต่อไป โดยต่อไปนี้ เวลานั่งสวดมนต์ก็จะนั่งท่าเดิมจนกว่าจะสวดเสร็จ
ถ้าเกิดเวทนาก็ตามดูจนมันดับไป โดยผู้รู้จะตามดูด้วยความเป็นกลางอีกตามเคย