ปฏิทินแม่บ้านปัจฉิมวัย....ในฝรั่งเศส!!

สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวพันทิปทุกท่าน...

ดิฉันคิดอยู่นานสองนานว่าจะนำเรื่องราวต่างๆในฝรั่งเศสลงในนี้หรือไม่...เพราะเขียนอยู่มากมายในเฟซของตัวเอง...
จนมีน้องๆหลานๆจากพันทิปไปขอแอด...และตัดพ้อว่า ไม่เห็นไปเล่าให้ฟังบ้างเลย ต้องไปเสาะหาอยู่ตั้งนานถึงเจอ...
ดิฉันคิดว่าการที่จะมาเล่าเรื่องของตัวเองในวัยปูนนี้แล้ว...มันออกจะเวิ่นเว้อจนเกินไป
แต่เสียงต้านดังมาขรม...ว่า..ถ้าดิฉันไม่เล่า แล้วน้องๆหรือหลานๆรุ่นหลังจะรู้กันได้อย่างไร...
ทีนี้ก็มีปัญหาอีก...ว่าจะเอาไปลงในห้องไหน เพราะเขียนเล่าเรื่องสารพัด รวมทั้งเรื่องการทำอาหารการกินอย่างโลว์คอสต์ ที่มีคุณภาพ (อันเป็นสายงานดั้งเดิมที่ชำนาญ ตามประสาแม่ค้าแม่ขาย)
รวมไปถึงเรื่องการเข้าชั้นเรียนภาษาฝรั่งเศส....(ที่จะเล่าแบบเรียบเรียงไปตามกาล)
ก็เลยคิดว่าน่าจะโอเค...แทคไปตามห้องที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็แล้วกัน
ถ้าผู้อ่านท่านใดคิดว่า...ไม่สมควร...ก็จะไม่เขียนต่อค่ะ...

เริ่มเลยนะคะ...



มาถึงฝรั่งเศสตั้งแต่วันที่ 24 ตุลา 13 แล้วค่ะ  งานนี้ซื้อตั๋วเที่ยวเดียวเลย เพราะไม่คิดว่าจะกลับไปอเมริกาอีกแล้ว หรือถ้ากลับก็คงจะเป็นระยะสั้นๆ
เป็นอันว่า...ได้เริ่มชีวิตคู่กันอย่างจริงๆจังๆเสียที..หลังจากที่รอคอยกันมากว่าห้าปี ถ้านับเริ่มจากตั้งแต่รู้จักตัวตนกันก็กว่าหกปี

กว่าจะมาได้นี่..ดิฉันต้องทำสารพัดอย่างจัดว่าหนักหนาสาหัสพอควรทีเดียว เริ่มจากการที่ยังต้องทำงานแบบเต็มเหยียด (เพราะต้องเคลียร์งานที่รับไว้ให้หมด รวมทั้งฝึกคนใหม่ด้วย) ข้าวของต้องโล๊ะกันแบบชุดใหญ่  ทั้งบริจาค แจกเพื่อนฝูง และ...ทิ้ง..
ที่เหลือเอาไว้ใส่กล่องลงเรือมา คือ ข้าวของที่สำคัญต่อชีวิตจริงๆ..เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่อยากเล่าถึง..ของทั้งหมดอยู่ในระวาง 4X7X7 ฟุต ตามที่ได้ตกลงกันไว้กับบริษัท ในราคา $1,700  เป็นการส่งแบบ door to door หมายถึงเขามารับจากบ้านและส่งให้ถึงจุดหมายปลายทางที่เราระบุ
แต่วันที่มารับของนั้น  มารับโดยบริษัทขนส่งที่พอดูออกว่าเป็นบริษัทที่รับช่วงต่อ มาถึงก็มาตีราคาใหม่ เพราะบอกว่า ของของเรานั้นเกินกว่าระวางที่กำหนดไว้  พอวัดให้เขาดูว่าเป็น 4x7x7 ฟุต
เขาบอกว่า ใช่...ขนาดนั้นมันคือขนาดกล่องที่จะใส่ของ ควรจะเอาของออกบ้าง เพื่อที่จะใส่ได้พอดี  แต่...มันเอาอะไรออกไม่ได้เลย เพราะของใส่ลงในกล่องที่มีขนาดเท่าๆกันหมดแล้ว เลยถามว่า...จะคิดเงินเพิ่มเท่าไหร่...
คำตอบคือ  จาก พันเจ็ด กลายเป็น สองพันหนึ่ง....

แล้วเขาก็ยกไปแบบไม่ตีกล่องปิดให้เรา...นอกจากให้เอกสารมาว่ามีกล่องอะไรบ้าง
จำนวนเท่าไหร่...เพราะเขาว่าจะต้องมีการตรวจสอบจาก custom ก่อนที่จะผนึกลงคอนเทนเนอร์ได้....แล้วถ้ามันสูญหายไปจะทำอย่างไร?
เขาบอกว่า...ถ้าของใดมีค่ามากกว่า 500 เหรียญ...ขอให้แจ้งมา เพราะอาจจะต้องไปทำใบแจ้งต่างหาก...(เผอิญว่า...ไม่มี)
มาคิดอีกที..ช่างมันเหอะ...อะไรมันจะเอาไปก็ช่างมัน มีแต่หนังสือกับเสื้อผ้า รองเท้า..กับรูปภาพเก่าๆ ไม้กอล์ฟหลายชุดพอสมควร เพราะสะสมมานาน..แต่จะทิ้งก็เสียดาย...

ดิฉันคิดว่าการอ้างถึงเนื้อที่และคิดเงินเพิ่มในวินาทีสุดท้ายนี่ คือ กลอุบายของการค้าของทางโลจิสติกส์แบบนี้..คนส่วนใหญ่ รวมทั้งดิฉันด้วย กว่าจะบรรจุได้ขนาดนั้นก็แทบหมดลม จะมาให้เลือกสรรลดกล่องลดขนาดในวินาทีสุดท้ายเห็นทีจะไม่ไหว..
จ่ายเงินไปอีกไม่เท่าไหร่ก็ช่างมันเถอะ...นึกซะว่าซื้อความสบายใจ..





(หมายเหตุ...ของยังมาไม่ถึงนะคะ  แต่มีข้อความมาบอกว่าจะถึงภายในวันที่ 24 โดยประมาณ เท่ากับว่าเป็นเวลาสี่เดือนพอดี)

ก่อนมาไม่กี่อาทิตย์  คุณสามีได้บอกไปว่า คุณแม่ท่านสิ้นลมแล้วที่โรงพยาบาล ตอนที่เข้าโรงพยาบาลนั้นได้ถามลูกชายถึงดิฉันว่าเมื่อไหร่จะมา พอทราบเข้าว่าจะเป็นปลายตุลา ท่านถึงกับส่ายหน้า
บอกว่า คราวนี้คงจะคอยไม่ไหวแล้วละ...เพราะท่านเหนื่อยอ่อนมาก 94 เข้าไปแล้ว...
เล่นเอาน้ำตาร่วงไป...ขอให้ท่านนอนหลับให้สบาย ไปสู่สุขคติอันเป็นนิรันดร์  จากนั้นมา..ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำสารพัดของคุณสามี เพราะเอกสาร ธนาคาร รวมไปถึงประกันชีวิต
ที่จะถือว่าเป็นมรดกก็ได้กระมัง ที่เขาจะต้องมาแบ่งกันคนละครึ่งกับน้องสาว...ยังไม่กล้าถามเลยว่า เป็นจำนวนเท่าไหร่ หรือ เมื่อไหร่ถึงจะได้ เพราะทุกอย่างเขาได้ให้
notaire หรือ ทนายความตัวกลางจัดการให้หมด


ตอนไปทำวีซ่าฝรั่งเศสในซาน ฟรานซิสโกนั่นก็เป็นเรื่องขำ เพราะ เหล่ากงสุล (ที่มีไม่กี่คน) ต่างจำดิฉันได้ดี  ทักทายกันเซ็งแซ่ว่า คราวนี้จะไปอยู่จริงแล้วหรือ เพราะดิฉันยื่นแบบฟอร์มขอวีซ่าระยะยาว
(หรือที่เรียกว่า...Type D) ที่แสนสะดวกสบาย แค่พาสปอร์ต  สมุด livret de famille (พร้อมสำเนา) ภาพถ่ายหนึ่งใบ รวมทั้ง ซองและแสตมป์จ่าหน้าถึงตัวเองแบบด่วน
กงสุลบอกว่า น่าจะเป็นประมาณ 10 วัน...แต่จริงๆใช้เวลาแค่สามวันก็ได้รับเล่มคืนมาแล้ว..เร็วทันใจดีจริง...

ถึงจะได้เล่มมาเร็ว...แต่กว่าจะเดินทางก็อีกเดือนกว่า  เพราะดิฉันรีบไปทำแต่เนิ่นๆ จะได้หมดปัญหาไปเป็นเรื่องๆ...


ตั๋วเครื่องบินที่เลือกหาแบบซื้อเที่ยวเดียวนั้น ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะการบินตรงแบบเที่ยวเดียวของแอร์ฟรานซ์นั้นราคาแพงกว่าไปกลับ ยกตัวอย่าง บินไปกลับฝรั่งเศส-อเมริกา ราคา $1200 แต่ถ้าซื้อเที่ยวเดียวจะเป็น
$2000 (ตลกม๊ะ..)  หรือสายอื่นๆ ก็จะเป็นของอเมริกาส่วนใหญ่ที่จะต้องไปต่อเครื่องที่ชิคาโก ที่มีชั่วโมงบินที่ยาวนาน เลือกไปเลือกมา ได้มาลงตัวที่สายการบินของ
Vergin Atlantic ที่บินทับเส้นทางของ บริติช แอร์เวย์ คือ ซาน ฟราน-ลอนดอน-ปารีส  แต่ราคาเพียงห้าร้อยแก่ๆ  และ ใช้เวลาบินที่ลัดระยะทางกว่าของสายอื่นๆ
เลยตกลงเลือกที่จะใช้บริการกันเป็นครั้งแรก...หวั่นๆอยู่เหมือนกัน เพราะตอนที่จะเดินทางจริงๆ กระเป๋างอกมาอีกใบหนึ่ง เพราะทำใจทิ้งไม่ได้จริงๆ ยอมเสียค่ากระเป๋าเพิ่ม
แล้วก็พยายามที่จะจ่ายเงินค่ากระเป๋าล่วงหน้าทางออนไลน์ เนื่องจากจะถูกกว่า...แต่..คลิกเข้าไปไม่ได้เลย
พอวันเดินทางจริงๆ พนักงานของสายการบินที่เคาน์เตอร์ เป็นชายเชื้อสายจีน ท่าทางเป็นมิตร..ยิ้มแย้มแจ่มใส...เลยสวัสดีทักทายกันเป็นภาษากวางตุ้ง  พร้อมกับบอกปัญหาเรื่องการเข้าไปในเว็บไซต์ในการเช๊คดินกระเป๋าไม่ได้
เธอว่าไม่เป็นไร  แต่น้ำหนักกระเป๋าเกินมาห้าปอนด์  เธอก็อนุโลมให้ คิดราคาค่ากระเป๋าใบงอกนั้น หนึ่งร้อยเหรียญ ส่งตรงให้ถึงปารีสเลยทีเดียว
เหมือนยกภูเขาออกจากอก...เพราะร้อยเดียวนั้นไม่แพงเลยในเวลาที่ทุกสายการบินต่างพากันเข้มงวดกับเรื่องน้ำหนักและสัมภาระ
เป็นอันว่า...ดิฉันบินจากซาน ฟรานมาถึงลอนดอนกับ เวอร์จิน แอทแลนติก ด้วยความราบรื่น พักผ่อนนอนดูของสวยๆงามๆที่สนามบิน Heathrow ที่ลอนลอนดูของสวยๆงามๆสักสองชั่วโมง
ก็บินต่อด้วยเครื่อง บริติช แอร์เวย์ ถึงปารีส ในเวลา ห้าโมงเย็นนิดๆ...ตื่นเต้นดีจัง เพราะจะได้เจอหน้ากับเจ้าฮิปโป้ ที่คุณสามีจะพามันมารับถึงสนามบินด้วย...


พอรับกระเป๋าสองใบยักษ์เสร็จ...ก็ออกมาพบหน้ากัน...กอดหอมกับคุณสามีจบแล้ว..ทีนี้ก็เรื่องหมาๆ เพราะมันจำดิฉันได้แม่น ตะกุยตะกายร้องงื้ดง้าด ดิ้นเร่าๆด้วยความตื่นเต้นจนต้องพาออกไปเดิน
แต่มันก็ไม้ยอมเดินเดิน ร้องจะให้อุ้มเหมือนเด็กๆ  เลยต้องอุ้มแนบอก ลูกบหัวลูบหางกันอักพักใหญ่ๆ กว่าที่จะสงบลง กลับลงไปในนอนในกระเป๋าหิ้วเหมือนเดิม เพราะเรายังต้องเดินทางต่อ
จากปารีสไปยังรานซ์ (Reims) โดยรถไฟอีก 45 นาที ถ้าเป็นสายตรงแบบด่วนที่มีในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน   แต่คุณสามีบอกว่า เราจะต้องไปแบบเที่ยวหวานเย็น ที่ต้องลงต่อถึงสามต่อ
ในระยะสั้นๆ เพราะ มันพ้นชั่วโมงเร่งด่วนไปแล้ว ถ้าจะคอยแบบนั้นก็ต้องรออีกสามชั่วโมง...
สามต่อก็สามต่อ...แต่..แหม..ต้องลากกระเป๋าขึ้นลง เข้าออก ปีนขึ้นลงบันไดเลื่อน พร้อมทั้งกระเป๋าหมาสะพายมาด้วยนี่...ดูไม่จืดเลยทีเดียวละค่ะ
เอาเป็นว่า...มาถึงบ้านได้ก็แทบสลบ....แต่ก่อนสลบ ก็ต้องมาลูบหลังลูบไหล่ เอาใจคุณแมวคู่บุญกันอีกนานพอสมควร  
เรื่องแมวนี่นะคะ...เป็นเรื่องแปลกมาก...เหมือนหล่อนจะรู้ล่วงหน้าว่าดิฉันจะมา...เพราะก่อนหน้านี้ คุณสามีรายงานมาว่า มันไม่ค่อยยอมกิน และ มีอาการซึมแปลกๆ
เหมือนกับจะสิ้นเรี่ยวแรง จนเขากลัวว่ามันจะจากไปก่อนที่ดิฉันจะมา...

แต่สองสามวันก่อนที่ดิฉันจะเดินทางถึง...มันดี๊ด๊ามาก เดินเข้าออก กระโจนข้ามรั้วแผล๋ว แผล๋ว  เจริญอาหาร และ จะออกมานั่งอยู่หน้าประตูบ้านทีละนานๆ
ณ. ขณะที่ดิฉันถึงบ้าน...ลงจากรถ...เป๊ปปี้ได้นั่งอยู่ที่หน้าประตูบ้าน..รอรับหน้าอยู่เลย...




แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่