ผู้หญิงอกหัก: คุณผ่านความเจ็บปวดด้วยคติอะไร

กระทู้คำถาม
เพิ่งอกหักค่ะ..
เจ็บหนักเพราะเคยเลิกราแล้วกับมาคบกันอีกรอบ
พอมาคราวนี้เจ็บหนักยิ่งกว่าเก่าไม่รู้กี่เท่า
มันเหมือนชาๆ อึนๆ ไม่มีความรู้สึก
คิดถึงอดีตก็นึกเสียใจ เหมือนพลาดอะไรไปหลายๆอย่าง
ผิดที่เป็นคนซื่อเกินไป ผิดที่เป็นคนดีเกินไป
คิดมากจนไม่รู้จะหันไปทางไหนดี เลยตัดสินใจว่า หยุดยาวอาทิตย์หน้าจะไปบวช
เพราะมันหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้แล้วจริงๆ

คุณๆที่เคยอกหัก คุณผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายมาได้ยังไงคะ
มีคำพูดอะไรที่ฉุดคูณออกมาจากวังวนนั้นได้
เผื่อจะเป็นคำพูดที่ฉุดเราออกจากวังวนนี้ได้บ้าง
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ใช้ธรรมมะค่ะ  ธรรมมะที่ว่าไม่ใช่การไปถึงระลึกธรรมขั้นไหนๆที่ดูยุ่งยากเลย  

บังเอิญไปเจอข้อความหนึ่งเข้าพอเสริชเข้ากูเกิ้ลในวันที่เจ็บมากๆ  หยุดร้องไห้ไม่ได้

เราอ่านข้อความนี้จนจบ  จากนั้น เราไม่เคยร้องไห้อีกเลยค่ะ  มันง่ายมากอย่างไม่น่าเชื่อ  

แต่พอเราอ่านให้เพื่อนเราฟัง  เค้าไม่สนใจ  เค้าปล่อยผ่านไป   เราก็ช่วยเค้าไม่ได้เช่นกัน ของแบบนี้อยู่ที่ใจจริงๆ ว่าอยากหยุดจริงๆ

เราไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยได้มากน้อยแค่ไหน   นี่เป็นหนทางหนึ่ง ขอให้คุณเปิดใจก่อนนะคะ  

ค่อยๆทำความเข้าใจทีละประโยค  ไม่ต้องเกร็ง ถ้าคุณเริ่มมองเห็นตัวเอง  

นั่นแสดงว่าก็มีความหวังที่คุณจะสามารถหยุดความเจ็บปวดนี้ได้



ถ้าอยากหลุดจากความเจ็บปวดนี้จริงๆ..

อย่าปฏิเสธมัน ยอมรับมัน อย่าดิ้น อย่าเกลียดมัน

ใจมีทุกข์ให้รู้ว่าทุกข์
เจ็บปวด รู้ว่า เจ็บ
เสียใจ รู้ว่าเสียใจ
ไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ
ใจมันดิ้นรน อยากพ้นความเสียใจ รู้ว่าอยาก รู้ว่าดิ้น

คนที่ทุกข์เพราะความรัก ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก
แต่เพราะไม่ยอมรับความจริง ปฏิเสธความจริง
และดิ้นรนอยากให้ความจริงมันเปลี่ยนไปเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น

กุหลาบมีหนาม เป็นเรื่องธรรมชาติ
หนามมันแหลมคม ก็เป็นความจริงของธรรมชาติ

แต่กุหลาบกับหนาม มันก็อยู่ของมัน
มันไม่ได้วิ่งมาไล่ทิ่มไล่แทงเรา

เราต่างหากที่ไปเด็ด ไปหยิบมันขึ้นมา กำไว้ในมือ
แล้วก็ร้องครวญครางว่า เจ็บ..เจ็บจัง.. เจ็บมาก
แล้วก็ไปนั่งถามกุหลาบว่า ทำไมนะ ทำไมเธอต้องมีหนาม
ทำไมหนามเธอต้องคม ทำไมต้องทำให้ฉันเจ็บ

แต่ไม่เคยรู้ตัวว่า ใจเราเองนี่แหละ คือต้นเหตุ

ทุกข์ของคุณ เกิดเพราะใจ ก็ต้องดับที่ใจ
แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เข้าไปดับทุกข์ทื่อๆแบบนั้น

ท่านสอนว่า ความดับแห่งทุกข์ เกิดเพราะจิตมีปัญญา
ย้ำว่า "จิต" มีปัญญา ไม่ใช่ "เรา" มีปัญญานะ

คือถ้า "เรา" มีปัญญา มันง่ายมาก คุณสั่งตัวเองได้เลย
ต่อไปนี้ อย่าคิดอะไร อย่าทุกข์ จงชิลชิล สบายๆ
ทำได้ไหมล่ะ ไม่ได้ใช่ไหมครับ

ก็ที่พยายามแล้วล้มเหลวมาตลอด ก็วิธีแบบนี้แหละ

ถามว่า.. ทำยังไง "จิต" ถึงจะมีปัญญาได้
ก็ต้องหัดศึกษา สังเกต ตามรู้ ตามดูกายใจของตัวเอง

ตามรู้ ตามดู เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติของกายใจ
เมื่อรู้ เมื่อเข้าใจ ธรรมชาติ หรือความจริง ของกาย ของใจ
ก็เท่ากับสะสมปัญญา และจะยอมรับความจริงของทุกข์ ของสุข

คุณจะเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต
มีชีวิตอย่างรู้เท่าทันความจริงของสุข ของทุกข์ ที่เกิดในจิตใจ

ว่าทุกอย่างเป็นของชั่วคราว ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และบังคับไม่ได้
บางคนเรียกว่า มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวเรา

ที่บอกว่าธรรมชาติของกายใจ มันเป็นอย่างนั้น
พระท่านเรียกว่า ลักษณะที่แท้สามอย่าง ของกายใจ หรือเรียกเก๋ๆว่า ไตรลักษณ์

คนที่เห็นไตรลักษณ์บ่อยๆ จะเห็นเลยว่า

สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว เฉยๆ ก็ชั่วคราว
สบายก็ชั่วคราว เมื่อยก็ชั่วคราว เฉยๆ ก็ชั่วคราว
คิดดี ก็ชั่วคราว คิดไม่ดีก็ชั่วคราว เฉยๆ ไม่คิดอะไร ก็ชั่วคราว

วิธีตามรู้ตามดู กายใจ ที่ว่ามา เราเรียกว่า การเจริญสติ
สติ คือความรู้สึกตัว เป็นอาวุธเดียว ที่ใช้เรียนรู้กายใจได้ ตามความเป็นจริง

บางคนเรียกการเจริญสติว่า การภาวนา
ภาวนา แปลว่า ทำให้เจริญขึ้น

อ่านมาถึงตรงนี้ คุณสังเกตไหม
ว่าถ้าคุณสนใจ สิ่งที่ผมเขียน ทุกข์ในใจมันจะเบาลง

นี่แหละ ที่เรียกว่า ทุกข์ก็ไม่เที่ยง
ไม่เที่ยง ไม่ใช่เพราะคุณชอบ หรือไม่ชอบมัน
แต่เพราะจิตคุณถอนออกมาจากเรื่องเดิมที่คิด

ที่ถอนออก ก็ไม่ใช่เพราะคุณอยาก หรือไม่อยาก
แต่เพราะมันไปจดจ่อ ไปสนใจในสิ่งอื่น

ฉะนั้น ผมแนะนำว่า ให้หมั่นไหว้พระ ทุกเช้าเย็น
แล้วพยายามรู้สึกตัว กายเคลื่อนไหว คอยรู้สึก
ใจเคลื่อนไหว คอยรู้สึก

ช่วงนี้ งดดูทีวี งดฟังเพลงสักสามวัน เจ็ดวัน
เอาเวลาไปทำงานการที่คุณต้องรับผิดชอบ
เสร็จแล้ว มาอยู่บ้าน อยู่กับตัวเอง ทำงานบ้านไป

ทำงานบ้าน กายเคลื่อนไหว ก็คอยรู้ รู้สบายๆ รู้เล่นๆ
ใจเคลื่อนไหว ก็คอยรู้ เช่นเช็ดฝุ่นอยู่ นึกถึงเขา ก็รู้ทัน
ได้ยินเสียงโทรศัพท์ แล้วรู้สึกกังวล ดีใจ เสียใจ ก็รู้ทัน

และทุกครั้งที่คุณเผลอไปคิดนึก เรื่องอะไรไม่สน ให้รู้ทัน ว่าคิด
รู้ทันว่าจิตมันแว่บออกไปคิดนะ ไม่ต้องสนใจเรื่องที่คิด
แล้วคอยรู้ คอยดูความเปลี่ยนแปลงของจิตใจ ไปทั้งวัน

ทำแบบนี้ให้ได้สักเดือนนึง อย่าใจร้อน
เพราะนี่ไม่ใช่โฆษณาแชมพู จะได้รับรองผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ลอง
แต่ถ้ามีเวลา ปลีกวิเวก ไม่ออกนอกบ้าน ไม่ดูทีวี ไม่อ่านหนังสือพิมพ์

ไม่ทำตัวให้เข้าไปอยู่ในความคุ้นเคยเดิมๆ ที่จะทำให้ทุกข์กลับมา
คุณจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง ยิ่งกว่าพรีเซนเตอร์แชมพูคนไหนๆ

ถ้าคุณเห็นกระบวนการแว่บไปคิด แล้วเห็นความคิดมันดับเอง
นั่นแหละ คุณสอบผ่าน ป.1 ของการเจริญสติแล้ว

อธิบายมายืดยาว เพราะคุณถามว่า "ทำยังไงถึงจะตัดใจให้ขาด"
อาวุธที่ใช้ตัดใจได้ขาดจริงๆ คือสติและปัญญานี่แหละ

ที่ผ่านมา คุณมีจิตใจยาวยืดเป็นเส้นเดียว ตั้งแต่ตื่นจนหลับ
เป็นจิตที่หลงอยู่ในโลกของความคิด และการไหลตามกิเลส

แต่การมีสติ จะช่วยแบ่งซอยชีวิตคุณออกเป็นท่อนๆ
ให้คุณหลงสั้นลงๆ ทุกข์ที่ดูจะยืดยาวมาราธอน ก็จะถูกแบ่งเป็นท่อนสั้นลงๆ

สติจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับการมีชีวิต
จากทุกข์มาก ก็ทุเลา เป็นทุกข์น้อย แล้วก็ค่อยๆน้อยลงๆเรื่อยๆ

อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ทุกข์เลย เพราะสติปัญญาที่สะสมไว้ในจิตใจ
มันจะเป็นเหมือนตะแกรงร่อนกรวดออกไปให้เรา โดยอัตโนมัติ

ทั้งหมดที่พูดมา ผมรับรองว่าทำได้ แต่ต้องขยัน
หมั่นทำบ่อยๆ อย่าท้อ อย่ารีบคาดหวังผล

เราหลงหลับอยู่กับห้วงแห่งทุกข์เพราะความคิด มานานแสนนาน
จะปลุกให้จิตมันตื่น ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ภายในวันสองวัน

บอดี้เชพ ยังต้องเข้าคอร์สกันเป็นเดือน
อันนี้มันเป็นการปฏิวัติจิตใจ และสติปัญญาตัวเองใหม่ ก็ย่อมต้องอาศัยเวลา

เชื่อผมนะ



ที่มา http://www.star4life.com/forum/index.php?topic=509.msg1481#msg1481



สุดท้ายนี้ ส่งท้ายด้วยข้อความที่ไปเจออีกเช่นเคย ^^



คำสอนของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต  

สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรทำความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง
แม้กระทำความผูกพันและหมายมั่นให้สิ่งนั้นกลับมาเป็นปัจจุบัน ก็เป็นไปไม่ได้
ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว โดยความไม่สมหวังตลอดไป
อนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้น เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน

อดีตปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตปล่อยไว้ตามกาลของมัน
ปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้ เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ ไม่สุดวิสัย




ขอให้มีความสุขนะคะ  ^^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่