"ในวันที่เราจากลา โดยไม่เคยเอ่ยคำว่าลา และไม่เคยเอ่ยปากคบกันเป็นแฟน"
หลายคนอาจเคยลาจากกับคนรักด้วยการบอกลา บางคนอาจลาจากกันเพราะฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไปมีคนใหม่ บางคนอาจลาจากกันเพราะทัศนคติไม่ตรงกัน แต่สำหรับเราลาจากกันด้วยคำว่า "พี่จะไปบวช"
ย้อนเวลากลับไป ณ จุดเริ่มต้นของความรัก
เราเข้าเรียนมหาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่ง ในคณะที่ผู้เรียนส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ชาย การใช้ชีวิตในรั้วมหาลัยครั้งแรกของชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก การเรียนในเทอมที่1นั้นถือว่าหนักหนาเอาการเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะเรียนแล้ว ยังมีกิจกรรรมต่างๆมากมาย ทั้งกีฬาเฟรชชี่ การเข้าห้องเชียร์ การรับน้อง และกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย แต่การเข้าเรียนปี1ก็ทำให้เรามีโอกาสได้พบเจอเพื่อนใหม่ๆ มีพี่รหัส พี่เทค พี่โรงเรียน พี่จังหวัด หรือแม้กระทั่งพี่อำเภอก็ยังมี ตรงนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของความรัก(ที่เราอาจจะคิดไปเอง) เรามีพี่เทคคนหนึ่งเป็นคนที่เรียนค่อนข้างจะเก่งในวิชาแคลคูลัส ฟิสิกส์ และวิชาคำนวณอื่นๆ เพราะฉะนั้นเราจึงมีตัวช่วยในด้านการเรียน ทุกครั้งที่จะสอบ ไม่ว่าจะควิช กลางภาค ปลายภาค เราจะอ่านหนังสือกับพี่เค้า พี่เค้าจะช่วยติวให้เรา ในช่วงเวลานี้เองที่ทำให้เราได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยทำกิจกรรมด้วยกันบ่อย พี่เป็นตลก สนุกสนาน เฮฮา ชอบเล่าเรื่องขำขัน ชอบเล่นมุข เวลาคุยกับพี่แล้วสนุกมีความสุข มีแต่เสียงหัวเราะ ซึ่งตอนนั้นเราเองก็มีแฟนนะ แต่เรียนกันคนละมหาวิทยาลัย แฟนเราเรียนในมหาวิทยาลัยที่อยู่เหนือสุดของประเทศ ตรงนี้แหละที่เราได้สัมผัสกับคำว่า "ความใกล้ชิดและระยะทางทำให้ความรักเปลี่ยนไป" จากที่เราต้องคุยโทรศัพท์กับแฟนทุกวัน พอเราได้ใกล้ชิดพี่เรายอมรับว่าเราเปลี่ยนไป เราเริ่มไม่ค่อยอยากคุยโทรศัพท์ เราเริ่มอ้างว่างานเยอะกิจกรรมแยะ แต่เรากลับมีเวลาไปไหนมาไหนกับพี่ ทั้งกินข้าว ดูหนัง เดินเล่นในมหาวิทยาลัย ปั่นจักรยาน เวลาจะสอบตอนเช้าต่างฝ่ายก็จะโทรปลุก ติวหนังสือสอบให้ ทำงานส่งอาจารย์ให้ ฯลฯ ความรู้สึกตอนนั้นแบบเบื่อที่จะคุยกับแฟนแต่สุขใจที่ได้คุยได้ใกล้ชิดได้ทำกิจกรรมร่วมกันกับพี่ จนเราตัดสินใจเลิกคบกับแฟนโดยไม่มีคำว่า "เลิกกันเถอะ" แต่เป็นการเลิกแบบที่ต่างคนต่างค่อยๆหายไปจากชีวิตของกันและกัน จากที่คุยโทรศัพท์ทุกคืน เปลี่ยนเป็นอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง เปลี่ยนเป็นเดือนละครั้งสองครั้ง จนไม่คุยกันอีกเลย เรียกว่าเลิกแบบหายไปเรื่อยๆ ยอมรับว่าตอนนั้นไม่ได้รู้สึกผิดในการกระทำ และไม่รู้สึกเจ็บอะไร (หลายคนที่อ่านอาจคิดว่าเราไม่ดี โลเล แต่สุดท้ายหลังจากเลิกกันไปได้ปีกว่า เราได้กลับไปเจอกับแฟนเก่า พูดคุยเข้าใจสาเหตุที่เลิกกันแล้ว และเค้าเองก็ยอมรับว่าตอนนั้นเค้าก็มีคนใหม่เข้ามาในชีวิตเหมือนกัน ทุกวันนี้เราจึงเปลี่ยนสถานะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่ได้โกรธเกลียดอะไร)
เราเลิกกับแฟนหลังจากที่เรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนั้นเกือบจะจบเทอม 2 และช่วงก่อนและหลังเลิกกับแฟนความสัมพันธ์ของเรากับพี่ก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่เคยเอ่ยปากว่าเรามาคบกัน แต่ในทางปฏิบัติน่าจะเรียกว่าความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อน แต่ก็ยังไม่สามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่าแฟน อาจเป็นแค่คนสองคนที่รู้สึกดีๆต่อกัน เป็นห่วงเป็นใยกัน คอยดูแลกันและกัน คอยช่วยเหลือกัน และไม่ได้มีใครข้างๆกายทั้ง 2 คน จนถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตเราอีกครั้ง นั้นคือเราตัดสินใจย้ายมหาวิทยาลัย เราอยากเรียนในมหาวิทยาลัยในฝันของเรา ถามว่าแล้วทำไมตอนแรกถึงไม่เลือก ตอนนั้นที่เราไม่ได้เลือกเพราะเราได้เข้าเรียนในโควต้ารับตรงของมหาวิทยาลัยนี้ก่อน เราไม่อยากเสี่ยงกับการสอบไม่ติดเราจึงคว้าเอาไว้ และตัดสินใจว่าจะต้องสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในฝันให้ได้ และเราก็สามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในฝันจนได้ ตอนนั้นเราคิดแล้วว่าถึงเวลาที่คงต้องแยกจากกัน เราเองก็ไม่กล้าที่จะถามว่า ตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา พี่คิดกับหนูยังไง ตกลงเราเป็นอะไรกัน แต่เราเลือกที่จะจากมาโดยไม่ถามสิ่งที่ข้างคาใจ พี่เค้าก็ไม่ถามเค้าก็ได้แต่อวยพรให้เราโชคดี แล้วบอกว่าเดี๋ยวพี่จะโทรหาบ่อยๆนะ มีปัญหาอะไรก็นึกถึงพี่นะพี่พร้อมจะรับฟัง
เมื่อเราได้ก้าวเข้ามาอยู่มหาวิทยาลัยใหม่ เจอเพื่อนใหม่ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่กับเราคือ เรายังคิดถึงพี่ และสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ พี่จะยังคงคอยโทรถามสารทุกข์สุกดิบ โทรถามเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน กินข้าวยัง วันนี้ไปไหนมาบ้าง เหนื่อยมั๊ย อาจไม่ทุกวันแต่ก็บ่อยฟังทีไรก็ชื่นใจ ทุกครั้งที่พี่หรือเรามีสอบก็ยังคงเดิมคือต่างฝ่ายต่างโทรปลุก ทุกครั้งที่พี่มากรุงเทพจะต้องนัดเจอกัน ทานข้าวกันเสมอ ทุกวันเกิดเราพี่จะโทรมาอวยพรและมีของขวัญมาให้เสมอ บางครั้งถ้ามีวันหยุดหลายวันติดกันพ่ก็จะมาหา ทุกช่วงปิดเทอมซัมเมอร์พี่จะขึ้นมาหาทุกปี พี่เกิดในช่วงปิดเทอมเราจึงไปทำบุญวันเกิดปล่อยปลาไหว้พระด้วยกันแทบทุกปี ความสัมพันธ์ของเราเป็นไปในลักษณะนี้จนพี่เรียนจบปริญญาตรี และจนเราเรียนจบปริญญาตรี รวมๆแล้วความสัมพันธ์ของเราที่เป็นแบบนี้ก็ 6 ปี กว่า แต่ตลอดเวลา 6 ปีกว่าเราไม่เคยตกลงความสัมพันธ์ว่าเราเป็นแฟนกัน เราไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้และต่างคนต่างก็ไม่มีแฟน ถามว่าทำไมถึงไม่ถาม ยอมรับเลยว่าไม่กล้า กลัวคำตอบและกลัวจะเข้าหน้าไม่ติด เราคิดแค่เพียงเรามีความสุขในสิ่งที่เราทำ แค่รู้ว่ามีคนหนึ่งคนที่ห่วงใยเราและเราก็ห่วงใยเค้าแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสถานะคำว่าแฟนมาผูกมัดหรือยึดติด คนเราถ้าคู่กันแล้วมันคงไม่แคล้วกัน แต่แล้วเราก็ได้รู้ว่าเรากับพี่คงไม่ใช่คู่แท้กันในปีที่ 7 ปีที่หลายๆคนมักบอกว่าเลขนี้เป็นเลขอาถรรพ์
ในวันที่เราจากลา โดยไม่เคยเอ่ยคำว่าลา
จำได้ว่าวันนั้นพี่เดินเข้ามาบอกว่า "พี่จะบวชนะ" พี่ให้เหตุผลว่าพี่รอผลสอบเพื่อเข้าทำงานอยู่ เลยจะเอาเวลาที่รอไปบวชดีกว่าอยู่ว่างๆไร้สาระ เพราะตั้งแต่เรียนจบมาก้ยังไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน ได้แต่ช่วยงานของครอบครัว และจะบวชทดแทนคุณพ่อแม่ เราก็ได้แต่อนุโมทนาสาธุไปด้วย และรู้สึกดีที่พี่จะทดแทนคุณพ่อแม่ และเราก็คิดว่าพี่คงบวชไม่กี่วันอย่างมากก็คงแค่เดือนนึง เนื่องจากนิสัยพี่ไม่น่าจะทนต่อความยากลำบากได้ ไม่น่าจะทนต้อกฎระเบียบความสันโดษอะไรได้นาน เรื่องก็เหมือนจะจบแต่มันไม่จบ เมื่อพี่ตัดสินใจบวชในโครงการบวชพระสงฆ์ช่วงซัมเมอร์ของวัดดังแถบรังสิต ปทุมธานี (คงไม่ต้องเอ่ยขยายความนะค่ะ) เราไม่ได้ไปร่วมงานบวชของพี่เพราะเราไม่ศรัทธาในวัดนี้ หลังการบวชของพี่เราไม่ได้โทรหาพี่เพราะเราคิดว่าการโทรหาผู้ซึ่งเป็นภิกษุเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เราได้แต่เฝ้ามองเฟสบุ๊คและสอบถามข่าวคราวของพี่จากเพื่อนๆของพี่ เราไม่เคยไปร่วมโปรยดอกไม้ให้พี่ตอนที่รู้ข่าวว่าจะมีการเดินธุดงค์ตามถนนในกรุงเทพ ไม่เคยแม้จะไปตักบาตร จนวันนึง inbox ในเฟสบุ๊คของเราก็เด้งขึ้น มันเป็นชื่อพี่ส่งข้อความมาถามว่าเป้นยังไงบ้าง สบายดีมั๊ย ตอนนั้นพี่หายไปนานเกือบ3เดือน เราตอบกลับไปว่าสบายดีและถามไปว่าพี่สึกแล้วเหรอ แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ ยังไม่สึก และจะเลิกเล่นเฟสในชื่อนี้แล้ว พร้อมทั้งให้ชื่อเฟสบุ๊คใหม่มา และบอกว่า "พี่จะบวชตลอดชีวิต" ทุกวันนี้เราได้แต่เฝ้ามองพี่ผ่านเฟส ถ้าเพียงแต่พี่บวชในวัดธรรรมดาๆ เราคงยินดีมากกว่านี้กับการบวชตลอดชีวิต และคงได้มีโอกาสได้ทำบุญกับพี่บ้าง แต่อย่างที่บอกเราไม่ศรัทธาวัดนี้ หากเราจะทำบุญในวัดที่เราเองไม่ศรัทธาเราคงไม่มีความสุขกับการทำบุญ ทุกวันนี้เรายังไม่มีใคร เรายังคิดถึงช่วงเวลาดีๆที่เคยทำร่วมกันมากับพี่ เรายังคงไม่ลืมพี่ แต่เราก็ยินดีกับพี่ที่พี่จะเขข้าสู่ทางธรรม
นี่แหละความรักของเราที่อยากเล่าสู่กันฟังกับเพื่อนๆในช่วงวันแห่งความรัก ที่บางคนมีคู่ได้ใกล้ชิดกระหนุงกระหนิง บางคนไร้คู่ไม่มีแฟน บางคนยังลืมคนรักเก่าไม่ได้ บางคนยังงงกับความสัมพันธ์ แต่ไม่ว่าคุณจะอยู่ในกลุ่มไหนขอให้ทุกคนมีความสุขในวันแห่งความรักที่ใกล้จะถึงนะค่ะ
ในวันที่เราจากลา โดยไม่เคยเอ่ยคำว่าลา และไม่เคยเอ่ยปากคบกันเป็นแฟน
หลายคนอาจเคยลาจากกับคนรักด้วยการบอกลา บางคนอาจลาจากกันเพราะฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไปมีคนใหม่ บางคนอาจลาจากกันเพราะทัศนคติไม่ตรงกัน แต่สำหรับเราลาจากกันด้วยคำว่า "พี่จะไปบวช"
ย้อนเวลากลับไป ณ จุดเริ่มต้นของความรัก
เราเข้าเรียนมหาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่ง ในคณะที่ผู้เรียนส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ชาย การใช้ชีวิตในรั้วมหาลัยครั้งแรกของชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก การเรียนในเทอมที่1นั้นถือว่าหนักหนาเอาการเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะเรียนแล้ว ยังมีกิจกรรรมต่างๆมากมาย ทั้งกีฬาเฟรชชี่ การเข้าห้องเชียร์ การรับน้อง และกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย แต่การเข้าเรียนปี1ก็ทำให้เรามีโอกาสได้พบเจอเพื่อนใหม่ๆ มีพี่รหัส พี่เทค พี่โรงเรียน พี่จังหวัด หรือแม้กระทั่งพี่อำเภอก็ยังมี ตรงนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของความรัก(ที่เราอาจจะคิดไปเอง) เรามีพี่เทคคนหนึ่งเป็นคนที่เรียนค่อนข้างจะเก่งในวิชาแคลคูลัส ฟิสิกส์ และวิชาคำนวณอื่นๆ เพราะฉะนั้นเราจึงมีตัวช่วยในด้านการเรียน ทุกครั้งที่จะสอบ ไม่ว่าจะควิช กลางภาค ปลายภาค เราจะอ่านหนังสือกับพี่เค้า พี่เค้าจะช่วยติวให้เรา ในช่วงเวลานี้เองที่ทำให้เราได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยทำกิจกรรมด้วยกันบ่อย พี่เป็นตลก สนุกสนาน เฮฮา ชอบเล่าเรื่องขำขัน ชอบเล่นมุข เวลาคุยกับพี่แล้วสนุกมีความสุข มีแต่เสียงหัวเราะ ซึ่งตอนนั้นเราเองก็มีแฟนนะ แต่เรียนกันคนละมหาวิทยาลัย แฟนเราเรียนในมหาวิทยาลัยที่อยู่เหนือสุดของประเทศ ตรงนี้แหละที่เราได้สัมผัสกับคำว่า "ความใกล้ชิดและระยะทางทำให้ความรักเปลี่ยนไป" จากที่เราต้องคุยโทรศัพท์กับแฟนทุกวัน พอเราได้ใกล้ชิดพี่เรายอมรับว่าเราเปลี่ยนไป เราเริ่มไม่ค่อยอยากคุยโทรศัพท์ เราเริ่มอ้างว่างานเยอะกิจกรรมแยะ แต่เรากลับมีเวลาไปไหนมาไหนกับพี่ ทั้งกินข้าว ดูหนัง เดินเล่นในมหาวิทยาลัย ปั่นจักรยาน เวลาจะสอบตอนเช้าต่างฝ่ายก็จะโทรปลุก ติวหนังสือสอบให้ ทำงานส่งอาจารย์ให้ ฯลฯ ความรู้สึกตอนนั้นแบบเบื่อที่จะคุยกับแฟนแต่สุขใจที่ได้คุยได้ใกล้ชิดได้ทำกิจกรรมร่วมกันกับพี่ จนเราตัดสินใจเลิกคบกับแฟนโดยไม่มีคำว่า "เลิกกันเถอะ" แต่เป็นการเลิกแบบที่ต่างคนต่างค่อยๆหายไปจากชีวิตของกันและกัน จากที่คุยโทรศัพท์ทุกคืน เปลี่ยนเป็นอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง เปลี่ยนเป็นเดือนละครั้งสองครั้ง จนไม่คุยกันอีกเลย เรียกว่าเลิกแบบหายไปเรื่อยๆ ยอมรับว่าตอนนั้นไม่ได้รู้สึกผิดในการกระทำ และไม่รู้สึกเจ็บอะไร (หลายคนที่อ่านอาจคิดว่าเราไม่ดี โลเล แต่สุดท้ายหลังจากเลิกกันไปได้ปีกว่า เราได้กลับไปเจอกับแฟนเก่า พูดคุยเข้าใจสาเหตุที่เลิกกันแล้ว และเค้าเองก็ยอมรับว่าตอนนั้นเค้าก็มีคนใหม่เข้ามาในชีวิตเหมือนกัน ทุกวันนี้เราจึงเปลี่ยนสถานะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่ได้โกรธเกลียดอะไร)
เราเลิกกับแฟนหลังจากที่เรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนั้นเกือบจะจบเทอม 2 และช่วงก่อนและหลังเลิกกับแฟนความสัมพันธ์ของเรากับพี่ก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่เคยเอ่ยปากว่าเรามาคบกัน แต่ในทางปฏิบัติน่าจะเรียกว่าความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อน แต่ก็ยังไม่สามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่าแฟน อาจเป็นแค่คนสองคนที่รู้สึกดีๆต่อกัน เป็นห่วงเป็นใยกัน คอยดูแลกันและกัน คอยช่วยเหลือกัน และไม่ได้มีใครข้างๆกายทั้ง 2 คน จนถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตเราอีกครั้ง นั้นคือเราตัดสินใจย้ายมหาวิทยาลัย เราอยากเรียนในมหาวิทยาลัยในฝันของเรา ถามว่าแล้วทำไมตอนแรกถึงไม่เลือก ตอนนั้นที่เราไม่ได้เลือกเพราะเราได้เข้าเรียนในโควต้ารับตรงของมหาวิทยาลัยนี้ก่อน เราไม่อยากเสี่ยงกับการสอบไม่ติดเราจึงคว้าเอาไว้ และตัดสินใจว่าจะต้องสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในฝันให้ได้ และเราก็สามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในฝันจนได้ ตอนนั้นเราคิดแล้วว่าถึงเวลาที่คงต้องแยกจากกัน เราเองก็ไม่กล้าที่จะถามว่า ตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา พี่คิดกับหนูยังไง ตกลงเราเป็นอะไรกัน แต่เราเลือกที่จะจากมาโดยไม่ถามสิ่งที่ข้างคาใจ พี่เค้าก็ไม่ถามเค้าก็ได้แต่อวยพรให้เราโชคดี แล้วบอกว่าเดี๋ยวพี่จะโทรหาบ่อยๆนะ มีปัญหาอะไรก็นึกถึงพี่นะพี่พร้อมจะรับฟัง
เมื่อเราได้ก้าวเข้ามาอยู่มหาวิทยาลัยใหม่ เจอเพื่อนใหม่ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่กับเราคือ เรายังคิดถึงพี่ และสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ พี่จะยังคงคอยโทรถามสารทุกข์สุกดิบ โทรถามเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน กินข้าวยัง วันนี้ไปไหนมาบ้าง เหนื่อยมั๊ย อาจไม่ทุกวันแต่ก็บ่อยฟังทีไรก็ชื่นใจ ทุกครั้งที่พี่หรือเรามีสอบก็ยังคงเดิมคือต่างฝ่ายต่างโทรปลุก ทุกครั้งที่พี่มากรุงเทพจะต้องนัดเจอกัน ทานข้าวกันเสมอ ทุกวันเกิดเราพี่จะโทรมาอวยพรและมีของขวัญมาให้เสมอ บางครั้งถ้ามีวันหยุดหลายวันติดกันพ่ก็จะมาหา ทุกช่วงปิดเทอมซัมเมอร์พี่จะขึ้นมาหาทุกปี พี่เกิดในช่วงปิดเทอมเราจึงไปทำบุญวันเกิดปล่อยปลาไหว้พระด้วยกันแทบทุกปี ความสัมพันธ์ของเราเป็นไปในลักษณะนี้จนพี่เรียนจบปริญญาตรี และจนเราเรียนจบปริญญาตรี รวมๆแล้วความสัมพันธ์ของเราที่เป็นแบบนี้ก็ 6 ปี กว่า แต่ตลอดเวลา 6 ปีกว่าเราไม่เคยตกลงความสัมพันธ์ว่าเราเป็นแฟนกัน เราไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้และต่างคนต่างก็ไม่มีแฟน ถามว่าทำไมถึงไม่ถาม ยอมรับเลยว่าไม่กล้า กลัวคำตอบและกลัวจะเข้าหน้าไม่ติด เราคิดแค่เพียงเรามีความสุขในสิ่งที่เราทำ แค่รู้ว่ามีคนหนึ่งคนที่ห่วงใยเราและเราก็ห่วงใยเค้าแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสถานะคำว่าแฟนมาผูกมัดหรือยึดติด คนเราถ้าคู่กันแล้วมันคงไม่แคล้วกัน แต่แล้วเราก็ได้รู้ว่าเรากับพี่คงไม่ใช่คู่แท้กันในปีที่ 7 ปีที่หลายๆคนมักบอกว่าเลขนี้เป็นเลขอาถรรพ์
ในวันที่เราจากลา โดยไม่เคยเอ่ยคำว่าลา
จำได้ว่าวันนั้นพี่เดินเข้ามาบอกว่า "พี่จะบวชนะ" พี่ให้เหตุผลว่าพี่รอผลสอบเพื่อเข้าทำงานอยู่ เลยจะเอาเวลาที่รอไปบวชดีกว่าอยู่ว่างๆไร้สาระ เพราะตั้งแต่เรียนจบมาก้ยังไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน ได้แต่ช่วยงานของครอบครัว และจะบวชทดแทนคุณพ่อแม่ เราก็ได้แต่อนุโมทนาสาธุไปด้วย และรู้สึกดีที่พี่จะทดแทนคุณพ่อแม่ และเราก็คิดว่าพี่คงบวชไม่กี่วันอย่างมากก็คงแค่เดือนนึง เนื่องจากนิสัยพี่ไม่น่าจะทนต่อความยากลำบากได้ ไม่น่าจะทนต้อกฎระเบียบความสันโดษอะไรได้นาน เรื่องก็เหมือนจะจบแต่มันไม่จบ เมื่อพี่ตัดสินใจบวชในโครงการบวชพระสงฆ์ช่วงซัมเมอร์ของวัดดังแถบรังสิต ปทุมธานี (คงไม่ต้องเอ่ยขยายความนะค่ะ) เราไม่ได้ไปร่วมงานบวชของพี่เพราะเราไม่ศรัทธาในวัดนี้ หลังการบวชของพี่เราไม่ได้โทรหาพี่เพราะเราคิดว่าการโทรหาผู้ซึ่งเป็นภิกษุเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เราได้แต่เฝ้ามองเฟสบุ๊คและสอบถามข่าวคราวของพี่จากเพื่อนๆของพี่ เราไม่เคยไปร่วมโปรยดอกไม้ให้พี่ตอนที่รู้ข่าวว่าจะมีการเดินธุดงค์ตามถนนในกรุงเทพ ไม่เคยแม้จะไปตักบาตร จนวันนึง inbox ในเฟสบุ๊คของเราก็เด้งขึ้น มันเป็นชื่อพี่ส่งข้อความมาถามว่าเป้นยังไงบ้าง สบายดีมั๊ย ตอนนั้นพี่หายไปนานเกือบ3เดือน เราตอบกลับไปว่าสบายดีและถามไปว่าพี่สึกแล้วเหรอ แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ ยังไม่สึก และจะเลิกเล่นเฟสในชื่อนี้แล้ว พร้อมทั้งให้ชื่อเฟสบุ๊คใหม่มา และบอกว่า "พี่จะบวชตลอดชีวิต" ทุกวันนี้เราได้แต่เฝ้ามองพี่ผ่านเฟส ถ้าเพียงแต่พี่บวชในวัดธรรรมดาๆ เราคงยินดีมากกว่านี้กับการบวชตลอดชีวิต และคงได้มีโอกาสได้ทำบุญกับพี่บ้าง แต่อย่างที่บอกเราไม่ศรัทธาวัดนี้ หากเราจะทำบุญในวัดที่เราเองไม่ศรัทธาเราคงไม่มีความสุขกับการทำบุญ ทุกวันนี้เรายังไม่มีใคร เรายังคิดถึงช่วงเวลาดีๆที่เคยทำร่วมกันมากับพี่ เรายังคงไม่ลืมพี่ แต่เราก็ยินดีกับพี่ที่พี่จะเขข้าสู่ทางธรรม
นี่แหละความรักของเราที่อยากเล่าสู่กันฟังกับเพื่อนๆในช่วงวันแห่งความรัก ที่บางคนมีคู่ได้ใกล้ชิดกระหนุงกระหนิง บางคนไร้คู่ไม่มีแฟน บางคนยังลืมคนรักเก่าไม่ได้ บางคนยังงงกับความสัมพันธ์ แต่ไม่ว่าคุณจะอยู่ในกลุ่มไหนขอให้ทุกคนมีความสุขในวันแห่งความรักที่ใกล้จะถึงนะค่ะ