ถ้าไม่ชอบกิจกรรมทางศาสนาเลย (เน้นพุทธ) แต่ไม่อยากมีปัญหากับคนรอบข้าง ควรศึกษากิจกรรมอะไรบ้างครับ

กระทู้คำถาม
ส่วนตัวคือไม่เชื่อเรื่องศาสนาเลยครับ คือไม่เชื่อว่ามีศาสดาจริงๆ สนแค่หลักคำสอน ถ้าอันไหนดี เห็นด้วย ก็เอามาปรับใช้
เรื่องกิจกรรม เช่น ไหว้พระ ทำบุญบ้านทำบุญบริษัท สวดมนต์ ผมมองว่ามันแค่กิจกรรมให้ศาสนาดูมีอะไรๆจับต้องได้ แต่ผมไม่ได้แคร์เลย และรู้สีกทำไมเราต้องเอาเงินที่หามาลำบากมาจ่ายกับอะไรพวกนี้ โดยที่ผมไม่ได้อะไรเลย ...อันนี้ความคิดส่วนตัวครับ

เพียงแต่ ในโลกความเป็นจริง ผมคงไม่สามารถบอกเรื่องแบบนี้ไปตรงๆได้ ด้วยคนรอบข้างก็ยังศรัทธาเรื่องพวกนี้ และในสังคมที่ผมแวดล้อม การไม่ศรัทธาเรื่องพวกนี้ยังเป็นเรื่องแปลก และมีผลกระทบกับความสัมพันธ์และหน้าที่การงาน

เอาตรงๆก็คือ ด้วยสังคมแบบนี้ ผมต้องทำตัว เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม  กับเรื่องพวกนี้อยู่

อยากทราบว่า กิจกรรมหรือขั้นตอนอะไรบ้าง ที่ผมควรศึกษาไว้บ้างครับ เพื่อให้ไม่ดูแปลกแยกจนเกินไป
...จะมองว่ามันเป็นเหมือนงานชิ้นนึงที่ต้องทำครับ จะไม่เอาอารมณ์ความรู้สึกมาตัดสิน
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
ก็เข้าใจแหละ แต่คนที่คิดว่าคำสอนทางศาสนาไม่จำเป็น ก็เป็นคนที่ยังไม่เคยศึกษาและไม่อยากศึกษา ไม่ได้หมายความว่าคำสอนทางศาสนามันไม่มีประโยชน์จริง ๆ แค่เขายังไม่อยู่ในสถานการณ์ที่มองเห็นว่าอะไรสำคัญกับชีวิตเฉย ๆ

ผมเจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอมานาน เขาจบปริญญาเอกเมืองนอก เปิดบริษัทที่เมืองนอก กลับมาเมืองไทย เราไปพูดคุยกัน ชีวิตเขาประสบความสำเร็จสายตรงเลยทีเดียว ดังนั้นผมไม่มีอะไรจะแลกเปลี่ยนกับเขา นอกจากเรื่องความจริงของชีวิตเท่านั้น

แน่นอนว่าเขาไม่สนใจเลย แม้จะดูให้เกียรติเราเพราะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาก แต่เราเข้าใจเขาแหละ ทั้งชีวิตเราไม่มีอะไรดีกว่าความไม่ประมาทในชีวิตที่จะบอกเขาอีกแล้ว คุยกันพอเหมาะแล้วก็แยกย้ายโดยที่เขาคงไม่เห็นประโยชน์ในสิ่งที่ผมพูดเท่าไร

แต่สักพักเขาก็โทรมา น้ำเสียงเปลี่ยนไป อยากฟังเรื่องที่เราพูดขึ้นมา แต่เราก็ยุ่ง ๆ นะไม่ได้ว่างคุย แต่เห็นว่าเขาไม่เป็นอะไรมาก ปรากฏว่าเขารถคว่ำต้องนอนโรงพยาบาลทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย ถึงตรงนี้เห็นอะไรไหมครับ คนเราจะรู้ว่าอะไรควรรู้ อะไรไม่ควรรู้ ก็ตอนที่มีบางอย่างเกิดขึ้นกับชีวิตที่ทำให้ชีวิตมันไม่เหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่เรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องปกติเลย คือ ความตายที่ใกล้ตัวเรามากและไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้หากมันมาถึง แต่พอสถานการณ์กลับมาปกติก็ไม่สนใจเหมือนเดิม

แต่ว่านะ ความคิดและความเคยชินของคนมันเปลี่ยนยาก แม้คนที่เข้าวัดมานาน ๆ หากไปทำงานจนวุ่นวาย ก็จะเห็นความสำคัญเฉพาะงานที่ทำเฉพาะหน้า เรียกว่าทำงานลืมตายกันเลยทีเดียว รู้ตัวอีกทีอาจเป็นตอนแก่ ตอนนอนโรงพยาบาล ตอนที่ชีวิตมันผลิกพันด้วยความธรรมดาของชีวิต และไม่รู้ว่าก่อนตายจะนอนคิดเรื่องอะไร

เราคงไปห้ามมดไม่ให้วิ่งหาน้ำหวานไม่ได้หรอก ฉะนั้น หากคุณเป็นประเภทให้ความสำคัญแค่ชีวิตที่ตัวเองเป็นอยู่ ไม่อยากรับรู้เรื่องอื่นที่อาจจะสำคัญกว่า ก็ไม่เห็นต้องทำอะไร ไม่เห็นต้องไปเกรงใจใครมาก แค่ไม่ทำความเดือดร้อนให้ใครก็พอ อย่างมากคนเขาก็ว่าแปลกและพูดบ่อยเท่านั้นเอง ในเมื่อไม่มีใครเปลี่ยนความคิดเราได้ แล้วเราจะไปสนใจที่จะเปลี่ยนความคิดคนอื่นทำไม แต่เราควรศึกษาเรื่องมารยาทที่เป็นเรื่องสาธารณะ ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว อะไรไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ตาม ๆ เขาไป นอกจากเราจะถือเคร่งเรื่องห้ามปฏิบัติตนตามศาสนาใด ๆ เหมือนเราไปเที่ยวประเทศอื่นที่เขามีวัฒนธรรมต่างกับเรา เราก็ต้องให้เกียรติเขา แม้จะไม่ชอบใจหรืออะไรก็ตาม

ที่จริงคนไม่เชื่อศาสนาชีวิตควรจะง่ายนะครับ เพราะทำอะไรก็ได้ ไม่มีผล ไม่ต้องคำนึงว่ามันจะมีผลร้ายด้วยซ้ำ เราตั้งใจทำงานมาก ๆ ร่างกายเรามันให้รางวัลเราไหม มันก็มีแต่แก่ลง เสื่อมลง ตอบแทนเรา นี่นะ ถ้าเราได้พักผ่อนหย่อนคลาย ไปทำอะไรที่ไม่ต้องคิด ไม่ต้องเคลื่อนไหวมากมายดูบ้าง อาจจะดีกับร่างกายและจิตใจเรามากขึ้นก็ได้ เหมือนคนที่เดินทางไกล การโหมแรงไม่ใช้เรื่องที่ดีเท่าไร ต้องทำ ๆ หยุด ๆ จึงจะดี

ที่จริงกิจกรรมที่ไม่มีประโยชน์และเราชอบทำก็น่าจะมีบ้างนะครับ และคงมีคนอีกหลายคนที่คิดว่าสิ่งที่เราทำมันไม่มีประโยชน์หรือประโยชน์น้อย สรุปที่เรามีปัญหาคือความชอบส่วนตัว หรือเรื่องประโยชน์กันแน่ เพราะทุกคนก็ย่อมทำสิ่งที่ตัวเองชอบและเห็นประโยชน์ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องเห็นด้วยกับสิ่งที่เราทำทั้งหมด เช่นเดียวกับที่คุณไม่เห็นประโยชน์ของสิ่งที่คนอื่นทำ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันต้องไม่มีประโยชน์เสมอไป

เรื่องศาสนาผมแนะนำให้ทดไว้ในใจครับ ยังไม่เห็นประโยชน์ตอนนี้ แต่สักวันคุณอาจจะเห็นประโยชน์ของมันเมื่อเวลามาถึงก็ได้ ซึ่งเวลานั้นมันต้องมาถึงเหมือนกันทุกคน ชีวิตเราอีก 10 ปี อีก 20 ปี อีก 30 ปี จะไม่มีทางเหมือนวันนี้ เวลาก่อนตายเราก็จะไม่มีทางคิดเหมือนทุกวันนี้ และหลังจากตายก็ไปว่ากันอีกที คำสอนทางศาสนามันเกี่ยวกับเรื่องความเป็นความตายที่ทุกคนเจอกันคนละครั้งนี่แหละครับ ดังนั้น จะไม่เห็นประโยชน์ตอนนี้มันก็ไม่แปลก เหมือนเด็กที่วิ่งเล่นเพราะยังไม่ถึงเวลาสอบและไม่อยากอ่านหนังสือนั่นเอง

ถ้าจะปฏิเสธจริง ๆ ก็ปฏิเสธแบบสุภาพ คงไม่มีใครเขาติดใจเอาความหรอกครับ เรื่องกิริยามารยาทและการใช้คำพูดที่ดี น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ที่จะทำให้เราปรับตัวเข้ากับคนอื่นและจบปัญหาได้ง่าย ไม่ว่าจะคนที่นับถือหรือไม่นับถือศาสนานะครับ อย่าไปติดใจแค่ว่าเราจะไม่ตามใคร หรือใครต้องตามเราเลยครับ ก็ต่างคนต่างอยู่ไป แต่เราจะกั้นขอบเขตด้วยความแข็งหรือความอ่อน ก็อยู่ที่เราครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่