[CR] Review : ตอนที่ 4. พิชิตดอยอินทนนท์ สูงสุดแดนสยาม โปรแกรมทริปเชียงใหม่ (วันที่ 26 – 29 ธันวาคม 2556)

มาถึงตอนที่ 4. พิชิตดอยอินทนนท์ สูงสุดแดนสยาม แล้วจ้า  หลังจากที่เราลาจาก นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง มาถึงถนนใหญ่ตามภาพด้านล่าง




เราลงมาตามทางเราต้องเลี้ยวซ้ายไปตามลูกศรชี้เลยค่ะ จากจุดนี้ไปใช้เวลาประมาณ 20 นาทีขับไปเรื่อยๆ อากาศเย็นเป็นช่วงๆ ตรงที่มีแดดส่องก็อุ่นหน่อย




ขับไปก็มีป้ายบอกทางไปเ้รื่อยๆ พอถึงป้ายนี้ ทางหลวง 1009




ก็จะมีแยกเลี้ยวไปบ้านขุนกลาง - ขุนวาง ตรงแยกนี้มีปั๊มน้ำมันน้อยๆ ให้เติมด้วยนะ แวะเติมน้ำมันให้พร้อม แถมลองถามพี่เจ้าของปั๊มดูว่า "ดอกซากุระ หรือดอกพญาเสือโคร่ง" ข้างบนบานบ้างหรือยัง คำตอบที่ได้คือ "ยังค่ะ แล้วแกก็ชี้ให้ดูต้นที่อยู่เลยไปจากร้านแกหน่อยนึงว่าถ้าบานตรงนี้ก็ต้องบานด้วย ต้นที่เห็นมันยังโกร๋นอยู่เลย เซ็ง"




และขับไปต่อเรื่อยๆ ก็จะเจอลานกางเ๊ต็นทฺ์ และตลาดขายผัก ผลไม้ของชาวม้งจ้า ขับมาจนถึงทางโค้งนี่ เราเจอสิ่งไม่คาดฝันค่ะ มันคือ....ทะเลหมอก....ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หาดูได้ยากยิ่งที่ดอยอินทนนท์ (สำหรับเรา) มีรถจอดชมวิวเป็นระยะ เราก็เอามั้งลงไปถ่ายรูปดีกว่า




มันไม่ใช่ปุยเมฆนะ มันคือ...ทะเลหมอก....หนามาก และที่สำคัญมันกำลังเคลื่อนตัวไหลลงมาทางขวา (ตามภาพเลยค่ะ) ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นตอนช่วงเวลา 10.00 โมง กว่าๆ  พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก....สวยมาก
อลังการธรรมชาติสร้างจริง




ใครขับรถผ่านก็หยุดดูแทบทุกคันเลย มันเป็นวันที่วิเศษ และโชคดีที่สุด Smiley
(เกิดมาเพิ่งเคยเห็นทะเลหมอกกำลังเคลื่อนตัวแบบนี้)




อีกสักรูป มีแสงอาทิตย์สาดส่องด้วย Smiley




ลงไปแอคท่าดีกว่า




เอากะเขามั้ง (ลืมไปเลยว่าเป้หนัก Smiley)




ขับขึ้นมาแล้วมองลงไปก็ยังสวยอยู่ แต่....พอมาถึงจุดนี้ทางชันมาก รถมอไซต์เริ่มอ่อนแรง ขึ้นเขาไม่ไหว เคลื่อนตัวช้ามาก (ยังกะเต่าคลาน) คุณแฟนบอกว่าเพราะหยุดดูทะเลหมอก ทำให้แรงขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ไม่มีแรงส่งพอ
แถมหนักทั้งเป้ หนักทั้งคน




(มีการให้เราลงเดินแล้วขับขึ้นไปรอด้วย แถมบอกว่าถ้าไป 2 คนรถไปไม่ไหว น้ำมันก็จะหมดเพราะใช้แรงขึ้นเขามาเยอะ ให้เราโบกรถขึ้นดอยไป Smiley อีกแค่ 6 กิโลกว่าๆ เอง Smiley อารมณ์ ณ ตอนนั้นวิวก็สวย แต่ทะเลเพลิงในตัวเริ่มเดือดแล้ว Smiley ดูมันพูด จนเราปรี๊ดแตก Smiley มีทะเลาะกันบ้าง ไรบ้าง จนเรางอนไม่ขึ้นไปแล้ว ลงกลับเข้าเชียงใหม่เลย ไม่ต้องดูแมร่งแล้ว อารมณ์เสีย Smiley แต่ระหว่างที่ปล่อยให้เราเดิน เราก็ยังแวะถ่ายรูปต้นไม้บ้างไรบ้างได้อีก




ขาลงนั่งงอนไม่พูดด้วยไปตลอดทาง ชิ ไม่ช่วยคิดไม่ช่วยวางแผน หาข้อมูล ไม่ช่วยเชี่ยไรเลย ดีแต่ขับรถมอไซต์เป็นแค่นั้น Smiley  คุณแฟนก็ว่าแค่นี้ก็งอน อีกนิกเดี๋ยวจะถึงยอดแล้วไม่ไปเหรอ ชิชะ อย่ามาพูด คติฉัน "ทิ้งกรู...ยิ้มตาย...ยยย" 5555 ) แกล้งแมร่งไปงั้น โมโหก็โมโห แต่ที่ต้องคิดคือควรย้อนไปเติมนำ้มันให้เต็มถังอีกรอบก่อนดีกว่า แล้วค่อยว่ากันอีกที ระหว่างทางนั่งไปเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็คิดว่า เออ....ไปเติมน้ำมันตรงแยกทางขึ้นบ้านขุนกลาง - ขุนวาง แล้วก็ลองอ้อนเจ้าของปั๊มฝากเป้กับสัมภาระที่ไม่สำคัญไว้ที่บ้านพี่เขาดีกว่า
แล้วค่อยย้อนขึ้นมาใหม่ Smiley




พอเห็นป้ายตามรูปด้านบนนี้ก็เลี้ยวซ้านเข้าไปแยกบ้านขุนกลาง - ขุนวางได้เลยจ้า




ซ้ำรูปให้ดูชัดๆ อีกรอบ ตรงลูกศรชี้มีปั๊มอยู่นะ คุณพี่เขาใจดีให้เราเ้ข้าห้องน้ำ และให้เราฝากกระเป๋าไว้ได้อีกต่างหาก (ก็เติมกะพี่มา 3 รอบแล้วน่าจะจำกันได้) จากนั้นเราก็มุ่งตรงขึ้นยอดดอยเลยค่ะ




พอถึงโค้งนี้ทัศนียภาพทะเลหมอกยังคงสวยงามอยู่ แต่ไม่เอาแล้วไม่จอดรถเด็ดขาด เดี๋ยวขึ้นไม่ได้อีก พอไม่มีเป้ รถขึ้นได้ฉลุยเลยแหะ (นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว) Smiley




พอถึงดอยอินทนนท์วันนี้คนเยอะมาก แต่ไม่หนาแน่น ร้านขายของพรึบไม่ต้องกลัวอด ยังกะตลาดนัดหย่อมๆ เราเดินดูแป๊ปเดี๋ยว แล้วย้อนมาศึกษาเส้นทางธรรมชาติกันก่อนดีกว่า พาคุณแฟนไปถ่ายรูปกับป้ายเป็นที่ระลึกหน่อย เราเคยถ่ายแล้วเลยไม่ถ่าย มีการรอคิวกันด้วย แต่ไม่นานเท่าไร หน้าเทศกาลก็งี้ Smiley




อากาศแม้ว่าจะ เกือบ 11.00 น. แล้วแต่ยังหนาวเย็นอยู่อะ เสร็จแล้วก็พาเดินป่า ไปตามทางเข้ามาก็เจอ "กู่พระเจ้าอินทวิชยานนท์" ก่อนเลย






จุดไฮไลท์เก็บภาพอีกมุมของดอยอินทนนท์




ซูมชัดๆ




มีคนแอบถ่ายเราตอนเผลอด้วยเฟ้ย Smiley




เส้นทางศึกษาธรรมชาติก็มีทางเดินไปเรื่อยๆ (นี่ขนาดมีแดดส่องแล้วคุณแฟนยังสามารถดำได้อีก) Smiley




ถ่ายมั้ง จะได้รู้ว่ามาจริง




เดินมาจนถึงป้ายบอกอุณหภูมิของวันนี้ค่ะ เมื่อเวลา 6.00 น. 9 องศา ตอนนี้ 11.30 อุณหภูมิอยู่ที่ 10 องศา อืม....นะ






ดอกอะไรจำไม่ได้แล้วค่ะ




เวลาบานสวยดี




ปีนี้ดอกกุหลาบพันไม่บานเลย ไม่มีสักดอก




นี้ดอกไรก็ไม่รู้ ข้างบนนี้ก็มีสำนักงานของเจ้าหน้าที่ มีห้องนิทรรศการแสดง ประวัติความเป็นมาของดอยอินทนนท์ มีห้องน้ำ มีร้านขายของที่ระลึก ร้านขายอาหารเล็กๆ ไว้บริการด้วยจ้า




แต่เราขอเข้าร้านกาแฟร้านนี้ดีกว่า ราคาไม่ต่างจากร้านข้างๆ มากนักแต่มันเป็นกาแฟสด ที่ไม่ใช่พวกกาแฟซอง หรือเนสกาแฟอะนะ
(ไหนๆ จะเสียเงินแล้วขอเลือกนิดนึง)




ชอบหวานมาก/น้อย ชอบแบบไหนบริการตัวเองเลยจ้า  ร้านนี้วันที่เราไปคนเยอะเหมือนกันนะ




จัดไปคนละแก้วกะคุณแฟนให้หายหนาว ในราคายิ่งสูงยิ่งหนาว 120 บาท ต่อ 2 แก้ว (แพงโคตร...แต่ยอม)




นั่งจิบกาแฟไปก็หยิบขนมปังที่พกมาแกล้มไปพลางแก้หิวก่อน แบ่งให้นกกินด้วย นกบินมาให้ชมตรงหน้าเลย ห่างกันแค่เอื้อมมือ






ไม่รู้ว่านกอะไร คุณแฟนชอบนกเลยถ่ายใหญ่ เราก็ฆ่าเวลาด้วยการนั่งเขียนโปสการ์ดเพื่อส่งกลับบ้าน




นั่งพักได้ที่ ก็ชวนกันลงจากดอยเพื่อตรงเข้าเมืองเชียงใหม่ค่ะ เพราะตอนนี้เวลา 12.15 น. แล้วไหนจะต้องแวะเอากระเป๋าเป้อีก ระหว่างลงยังคงมีหมอกหนาจัดอยู่ค่ะ




สวยยังกะอยู่เหนือเมฆ






มุมนี้แสงส่องเบาๆ สวยงามมากมาย




ขอลงไปเก็บภาพหน่อย






นี่เที่ยงกว่าๆ แล้วนะ ยังมีหมอกอยู่อีก อากาศตรงนี้ร้อนไม่มากค่ะ



วิวระหว่างลงเขา




แวะถ่ายกับป้ายหน่อยละกัน








พอถ่ายรูปเสร็จเราก็กะว่าจะแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มเดิมอีกรอบที่เราเอาเป้ฝากไว้แล้วรีบตีรถเข้าเชียงใหม่อีกราวๆ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ไปเช็คอินเข้าที่พัก แล้วค่อยหาอาหารกลางวันทานตอนบ่ายๆ ปรากฏว่ามันมักมีเหตุการณ์ที่เราคาดไม่ถึงอยู่เสมอ ทำให้เราต้องปรับแผนกระทันหันเราจะเจออะไรติดตามได้ใน


ตอนที่ 5. ในที่สุดฉันก็พบเธอ...ดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือดอกซากุระ Smiley
ชื่อสินค้า:   ตะลอนเที่ยว แอ่วเหนือ ม่วนอก ม่วนใจ๋ จังหวัดเชียงใหม่ เน้อจ้าว...วว
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่