หรือชีวิตเราคือการขายหวัง
ใครก็อยากรวย คุณก็อยากรวย เราก็อยากรวย จอร์แดน เบลฟอร์ทก็อยากรวย
เขากระโจนลงสู่ดินแดนแห่งการเงิน งุนงงและทึ่งไปด้วยความอัศจรรย์ใจ เป็นเด็กใหม่ที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ไปสู่จุดที่สูงขึ้นกว่าเดิม แต่เขาไม่ใช่คนเจี๋ยมเจี้ยม-ใครๆ ก็รู้ เขาร้ายกาจโดยตัวเอง เจ้าเล่ห์แสนกลโดยตัวเองตั้งแต่แรกเข้าสัมภาษณ์งานจนเจอกับมาร์ค ฮันนา ชายผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการนี้มานานและรู้วิธีปลดปล่อยตัวเองจากความกดดันเหล่านี้ได้ดี หากแม้ตอนนั้นเบลฟอร์ทจะคิดว่าฮันนาออกเพี้ยนๆ อยู่บ้างก็หาได้ติดใจอะไรไม่ ความเฉลียวฉลาดของฮันนาทำให้เขาประทับใจมากกว่าเรื่องอื่นๆ ที่อีกฝ่ายแสดงออก
เด็กหนุ่มที่ดื่มแต่น้ำเปล่าและบอกว่ารักเมียเหลือเกินนั้น กลายมาเป็นคนติดเหล้า ติดยา และติดเซ็กส์ได้อย่างไรนะ-ในยุคสมัยที่ทุนนิยมเริ่มมีแข็งแกร่ง โดยเฉพาะเมื่อมันเติบโตในดินแดนเสรีอย่างอเมริกา
ใครก็อยากรวย
คุณก็อยากรวย
เราก็อยากรวย
ทุกๆ คนอยากรวย
เบลฟอร์ทรู้ข้อเท็จจริงข้อนี้ดีมากกว่าอะไรในโลก เขา “ขายความหวัง” ให้ทุกสายที่เขาต่อโทรศัพท์ด้วย ไม่ว่าหมอนั่นจะเป็นนักธุรกิจรวยล้นฟ้าหรือเป็นแค่คนหาเช้ากินค่ำธรรมดาที่อยากรวยเร็วๆ และไม่ได้มีเงินมากมายนัก เบลฟอร์ทก็ไม่เคยลังเลที่จะใช้วาทศิลป์ที่เดี๋ยวอ่อนหวานเดี๋ยวกระโชกกระชากและเดี๋ยวก็กลับมาอ่อนหวานอีกตะล่อมขายหุ้นให้ “คนอยากรวย” สร้างความปรารถนาที่มองไม่เห็นขึ้นมาแล้วให้ปลายสายตะครุบมันด้วยเงินทั้งหมดที่มี ด้วยวิธีการเช่นนี้ เบลฟอร์ทสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ต่อให้ไอ้หุ้นที่ขายไปนั่นจะเป็นหุ้นเล็กๆ ไม่มีราคาค่างวดมากมายนักหรือเป็นหุ้นตัวเป้งที่นำเงินมาให้เขาหลายล้าน สำหรับเบลฟอร์ท มันก็ไม่ต่างกันนัก อย่างไรเสีย มันก็ทำเงินมหาศาลให้เขาทั้งคู่
กราฟชีวิตของเบลฟอร์ทพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว บางทีเขาคงจำคำพูดของฮันนาได้ดีเรื่องการปลดปล่อยตัวเอง หรือเพราะร่างกายของเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าต้องการสิ่งเหล่านี้ ไม่ช้าเหล้า ยา และผู้หญิง (ซึ่งในเรื่องก็แทบไม่ได้มีบทบาทอะไรมากไปกว่าวัตถุทางเพศ-แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก) ก็อยู่รายล้อมตัวเขาและเพื่อนๆ ที่เขาชักชวนให้มาทำงานด้วยกันในชื่อบริษัท Stratton Oakmont ไม่จำเป็นต้องฉลาดเฉลียว แค่รู้จักวิธีพูดกล่อมคนฟังแล้วปล่อยให้เหยื่อวิ่งมาตะครุบก็เท่านั้นเอง อาจพูดได้ด้วยซ้ำว่านอกเหนือจากไหวพริบแล้ว สิ่งที่เบลฟอร์ดมีมหาศาลคือวาทศิลป์ที่ใช้กล่อมและหลอกขายความหวังคนนี่เอง
ช่างหัวคนโดนหลอก ช่างหัวคนที่ตามไม่ทัน ช่างหัว
ทุกคนสิ
ในโลกของการแก่งแย่ง ใครแข็งแกร่งก็อยู่รอดไม่ใช่หรือ กินพืชงุ่มง่ามทั้งหลายจึงต้องตกเป็นเหยื่อของสัตว์กินเนื้อ ผู้ล่าที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
โลกของเบลฟอร์ดและพรรคพวกหมุนเร็วและร้อน เขาผลาญวันต่อวันไปกับสิ่งเสพติดทุกชนิดเท่าที่หามาได้ เขาเสพมันชนิดถอนตัวไม่ขึ้น อันเป็นเรื่องที่เราต้องมองย้อนกลับไปยังจุดเริ่มว่าทำไมไอ้หนุ่มที่ดื่มแต่น้ำเปล่าถึงได้กลายเป็นคนที่โหยหายาเข้าเส้นขนาดนี้
เหมือนที่ฮันนาบอก งานโบรกเกอร์จะทำให้ประสาท- เราต้องมียาเพื่อปลดปล่อยร่างกาย
‘งาน’ ไม่ได้เป็นสาเหตุมากเท่า ‘เงิน’ ที่เบลฟอร์ทมี แน่นอนว่าเขาทำงานหนักเพื่อแลกกับเงินมหาศาล และมันทำลายเขาจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม เช่นเดียวกับที่มันทำลายความเป็นมนุษย์ให้เหือดหายไปจากเขาตั้งแต่ฉากแรกเริ่มของหนัง
นั่นเป็นเหตุผลอธิบายถึงพฤติกรรมเพี้ยนสุดกู่ของเขา ทั้งการปฏิบัติต่อคนอื่นราวกับไม่ใช่มนุษย์ด้วยกัน (ลูกดอกมนุษย์) หรือการใช้ผู้หญิงมาบำเรอตนและพรรคพวก เพราะเขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ซื้อหาได้ ทุกอย่างจบได้ด้วยเงินเพียงคำเดียว
ในฉากที่เบลฟอร์ทขึ้นไปยืนพูดบนเวทีนั้น เขาก้าวลงมายังพื้นข้างล่าง ต่อหน้าผู้ชมนับสิบคน เขาเห็นอะไร
ความหวัง-อนาคตที่ดีขึ้น-เงิน-ความโลภ
แววตาแบบเดียวกับที่เด็กใหม่ทุกคนมีเมื่อเดินเข้าสู่ดินแดนวอลล์สตรีท
อันที่จริงมันก็ไม่ได้เข้าใจอะไรยากเย็นขนาดนั้นเลย
โลกหมุนไปได้ด้วยเงิน
และทุกวันนี้ เราอยู่ในโลกทุนนิยม
โลกที่มีเงินซึ่งทำลายความเป็นมนุษย์เป็นใหญ่ที่สุด
หนังล้นเกินตั้งแต่แรกจนจบ เหมือนเรากลายเป็นเบลฟอร์ทที่สวาปามทุกอย่างเกินพอดี ทั้งเงิน ยาและผู้หญิง เราจะเวียนหัว เหน็ดเหนื่อยกับทุกสิ่งที่ปู่สกอร์เซซีแกอัดเข้ามาตลอดความยาวสามชั่วโมง ไม่มีจังหวะพักหายใจ สมองของเราเหมือนต้องการสารกระตุ้นอย่างที่เบลฟอร์ทต้องการ ไล่ตามหนังให้ทัน ไล่ตามตัวละครให้ทัน ท่ามกลางเสียงตะโกนโห่ร้อง สาปแช่ง ก่นด่าของเหล่าผู้คนในเรื่อง ซึ่งนี่นับเป็นจุดดีของหนังนะเพราะมันสะท้อนภาวะของเบลฟอร์ทได้ดีจริงๆ ไอ้การไม่พักหายใจ เหมือนวิ่งเร็วจี๋ตลอดสามชั่วโมงติดจนสมองร้อน
แน่นอนว่าหลายคนอาจรังเกียจหนังเรื่องนี้ค่าที่ว่ามันทำราวกับผู้หญิงเป็นแค่วัตถุทางเพศ ไม่ใช่แค่นั้นหรอก-ส่วนตัวแล้วคิดเหมือนที่บอกไปด้านบนว่า เงินซื้อสิ่งเหล่านี้ได้จนตัวเบลฟอร์ทถึงกับพูดออกมาว่า “อย่าไปคิดว่า (ลูกดอกมนุษย์) นั่นเป็นคนสิ” แล้วมันจะแปลกอะไรที่คนพูดประโยคนี้จะไล่ฟันสาวไปค่อนนิวยอร์ค กระทั่งตัวของสาวเจ้าหรือคนอื่นๆ ที่รายล้อมตัวเบลฟอร์ทเองก็ดูจะยินยอมลดค่าของตัวเองให้แปรรูปไปเป็นเงินตราได้ทั้งนั้น
ฉากโป๊ตลอดทั้งเรื่องจนตาแทบจะเป็นกุ้งยิง โผล่มาแรกๆ จะมีเสียงคนดูร้องอุ๊ย ว้าย นิดๆ หน่อยๆ พอเขินๆ แต่พอเข้าไปสักกลางเรื่อง เราจะเห็นนมโผล่มาเกือบร้อยเต้า หรือหนักหนากว่านั้นก็เปลือยทั้งตัวที่เอาเข้าจริงๆ พอดูซ้ำๆ กันหลายๆ ฉากก็ไม่ได้หวือหวาอะไรอีกแล้ว มันมีเยอะจนเอียน เลี่ยน จนสงสัยว่าอีเบลฟอร์ทตัวจริงมันอยู่แบบนี้จริงๆ เหรอฟะ นี่อ้วกแตกได้เลยนะ
พี่ลีโอของเราสมควรได้รับออสการ์จากบทนี้มากๆ มันมีทุกรสจริงๆ บทจะขำก็ขำกันน้ำตาไหล (ฉากกินยาเกินขนาดนี่แบบว่า—สะท้อนความเพี้ยนของคนเมายาจริงๆ เพี้ยนสุดกู่) บทจะเครียดก็เล่นเอามวนท้อง ฉากระเบิดอารมณ์นั่นน่ากลัวมากๆ กลัวจนแบบว่าถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้เราอาจจะตัวลีบๆ ลงด้วยความกลัวไปแล้ว มันเป็นความสติแตกของคนที่ไม่มีอะไรจะเสียและนั่นแหละที่น่ากลัว รวมไปถึงฉากสิ้นหวังที่แววตานั่นบอกทุกอย่างได้หมดจดจริงๆ อ้อ-อีกอย่างที่เด็ดมากๆ คือทั้งเรื่องนี้ เบลฟอร์ดต้องพูดปลุกใจคนตลอดเวลา และพี่ลีโอก็ทำหน้าที่นี้ได้ดีอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้ “คนดู” รู้สึกว่าสิ่งที่คุณกำลังพูดอยู่เป็น “ของจริง”
ตัวละครคนอื่นๆ แสดงได้เจ๋งดี มาร์ก็อต ร็อบบี้ที่แสดงเป็นเมียคนสวยของเบลฟอร์ทนั่นเด็ดมากๆ สวยทุกฉาก เกิดแน่นอนเรื่องนี้ รวมถึงโจนาห์ ฮิลล์ไปยันแม็ธธิว แม็คคอนาเฮย์ที่ออกมาแค่สิบห้านาทีแรกของเรื่องที่เจ๋งสุดๆ
เราอึ้งทุกฉากที่เห็นคนรวยใช้เงินเป็นว่าเล่น อาจเพราะสงสัยว่าทำไมมนุษย์คนหนึ่งถึงได้มีเงินมากขนาดนั้นนะ มีเงินมากพอจะใช้จ่ายมันอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง จ่ายเหมือนเผาเงินทิ้ง คนที่สูดโคเคนด้วยแบงค์ใหญ่ๆ แล้วขยำมันทิ้งถังขยะหน้าตาเฉย ทั้งนี้ดูเสร็จแล้วได้แต่คิดว่าคนรวยนี่มันรวยจริงๆ นะ ชีวิตเราไม่เคยเฉียดใกล้ “อภิมหาเศรษฐี” ขนาดนี้เลย
และที่ชอบมากๆ คือการขายความหวังให้คน เบลฟอร์ทและนักเล่นหุ้นรู้ว่ามนุษย์ต้องการอะไรและเร่งให้คนเหล่านั้น “ปรารถนา” ขึ้นมาจริงๆ ฉากนี้มันเยี่ยมยอดมากจนขนลุกขนชันเลย
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันนะคะ
Page:
https://www.facebook.com/llkhimll
Blog:
http://llkhimll.wordpress.com/
[CR] (Review) The Wolf of Wall Street (Martin Scorsese; 2013) ปฏิบัติการขายความหวัง
หรือชีวิตเราคือการขายหวัง
ใครก็อยากรวย คุณก็อยากรวย เราก็อยากรวย จอร์แดน เบลฟอร์ทก็อยากรวย
เขากระโจนลงสู่ดินแดนแห่งการเงิน งุนงงและทึ่งไปด้วยความอัศจรรย์ใจ เป็นเด็กใหม่ที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ไปสู่จุดที่สูงขึ้นกว่าเดิม แต่เขาไม่ใช่คนเจี๋ยมเจี้ยม-ใครๆ ก็รู้ เขาร้ายกาจโดยตัวเอง เจ้าเล่ห์แสนกลโดยตัวเองตั้งแต่แรกเข้าสัมภาษณ์งานจนเจอกับมาร์ค ฮันนา ชายผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการนี้มานานและรู้วิธีปลดปล่อยตัวเองจากความกดดันเหล่านี้ได้ดี หากแม้ตอนนั้นเบลฟอร์ทจะคิดว่าฮันนาออกเพี้ยนๆ อยู่บ้างก็หาได้ติดใจอะไรไม่ ความเฉลียวฉลาดของฮันนาทำให้เขาประทับใจมากกว่าเรื่องอื่นๆ ที่อีกฝ่ายแสดงออก
เด็กหนุ่มที่ดื่มแต่น้ำเปล่าและบอกว่ารักเมียเหลือเกินนั้น กลายมาเป็นคนติดเหล้า ติดยา และติดเซ็กส์ได้อย่างไรนะ-ในยุคสมัยที่ทุนนิยมเริ่มมีแข็งแกร่ง โดยเฉพาะเมื่อมันเติบโตในดินแดนเสรีอย่างอเมริกา
ใครก็อยากรวย
คุณก็อยากรวย
เราก็อยากรวย
ทุกๆ คนอยากรวย
เบลฟอร์ทรู้ข้อเท็จจริงข้อนี้ดีมากกว่าอะไรในโลก เขา “ขายความหวัง” ให้ทุกสายที่เขาต่อโทรศัพท์ด้วย ไม่ว่าหมอนั่นจะเป็นนักธุรกิจรวยล้นฟ้าหรือเป็นแค่คนหาเช้ากินค่ำธรรมดาที่อยากรวยเร็วๆ และไม่ได้มีเงินมากมายนัก เบลฟอร์ทก็ไม่เคยลังเลที่จะใช้วาทศิลป์ที่เดี๋ยวอ่อนหวานเดี๋ยวกระโชกกระชากและเดี๋ยวก็กลับมาอ่อนหวานอีกตะล่อมขายหุ้นให้ “คนอยากรวย” สร้างความปรารถนาที่มองไม่เห็นขึ้นมาแล้วให้ปลายสายตะครุบมันด้วยเงินทั้งหมดที่มี ด้วยวิธีการเช่นนี้ เบลฟอร์ทสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ต่อให้ไอ้หุ้นที่ขายไปนั่นจะเป็นหุ้นเล็กๆ ไม่มีราคาค่างวดมากมายนักหรือเป็นหุ้นตัวเป้งที่นำเงินมาให้เขาหลายล้าน สำหรับเบลฟอร์ท มันก็ไม่ต่างกันนัก อย่างไรเสีย มันก็ทำเงินมหาศาลให้เขาทั้งคู่
กราฟชีวิตของเบลฟอร์ทพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว บางทีเขาคงจำคำพูดของฮันนาได้ดีเรื่องการปลดปล่อยตัวเอง หรือเพราะร่างกายของเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าต้องการสิ่งเหล่านี้ ไม่ช้าเหล้า ยา และผู้หญิง (ซึ่งในเรื่องก็แทบไม่ได้มีบทบาทอะไรมากไปกว่าวัตถุทางเพศ-แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก) ก็อยู่รายล้อมตัวเขาและเพื่อนๆ ที่เขาชักชวนให้มาทำงานด้วยกันในชื่อบริษัท Stratton Oakmont ไม่จำเป็นต้องฉลาดเฉลียว แค่รู้จักวิธีพูดกล่อมคนฟังแล้วปล่อยให้เหยื่อวิ่งมาตะครุบก็เท่านั้นเอง อาจพูดได้ด้วยซ้ำว่านอกเหนือจากไหวพริบแล้ว สิ่งที่เบลฟอร์ดมีมหาศาลคือวาทศิลป์ที่ใช้กล่อมและหลอกขายความหวังคนนี่เอง
ช่างหัวคนโดนหลอก ช่างหัวคนที่ตามไม่ทัน ช่างหัวทุกคนสิ
ในโลกของการแก่งแย่ง ใครแข็งแกร่งก็อยู่รอดไม่ใช่หรือ กินพืชงุ่มง่ามทั้งหลายจึงต้องตกเป็นเหยื่อของสัตว์กินเนื้อ ผู้ล่าที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
โลกของเบลฟอร์ดและพรรคพวกหมุนเร็วและร้อน เขาผลาญวันต่อวันไปกับสิ่งเสพติดทุกชนิดเท่าที่หามาได้ เขาเสพมันชนิดถอนตัวไม่ขึ้น อันเป็นเรื่องที่เราต้องมองย้อนกลับไปยังจุดเริ่มว่าทำไมไอ้หนุ่มที่ดื่มแต่น้ำเปล่าถึงได้กลายเป็นคนที่โหยหายาเข้าเส้นขนาดนี้
เหมือนที่ฮันนาบอก งานโบรกเกอร์จะทำให้ประสาท- เราต้องมียาเพื่อปลดปล่อยร่างกาย
‘งาน’ ไม่ได้เป็นสาเหตุมากเท่า ‘เงิน’ ที่เบลฟอร์ทมี แน่นอนว่าเขาทำงานหนักเพื่อแลกกับเงินมหาศาล และมันทำลายเขาจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม เช่นเดียวกับที่มันทำลายความเป็นมนุษย์ให้เหือดหายไปจากเขาตั้งแต่ฉากแรกเริ่มของหนัง
นั่นเป็นเหตุผลอธิบายถึงพฤติกรรมเพี้ยนสุดกู่ของเขา ทั้งการปฏิบัติต่อคนอื่นราวกับไม่ใช่มนุษย์ด้วยกัน (ลูกดอกมนุษย์) หรือการใช้ผู้หญิงมาบำเรอตนและพรรคพวก เพราะเขารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ซื้อหาได้ ทุกอย่างจบได้ด้วยเงินเพียงคำเดียว
ในฉากที่เบลฟอร์ทขึ้นไปยืนพูดบนเวทีนั้น เขาก้าวลงมายังพื้นข้างล่าง ต่อหน้าผู้ชมนับสิบคน เขาเห็นอะไร
ความหวัง-อนาคตที่ดีขึ้น-เงิน-ความโลภ
แววตาแบบเดียวกับที่เด็กใหม่ทุกคนมีเมื่อเดินเข้าสู่ดินแดนวอลล์สตรีท
อันที่จริงมันก็ไม่ได้เข้าใจอะไรยากเย็นขนาดนั้นเลย
โลกหมุนไปได้ด้วยเงิน
และทุกวันนี้ เราอยู่ในโลกทุนนิยม
โลกที่มีเงินซึ่งทำลายความเป็นมนุษย์เป็นใหญ่ที่สุด
หนังล้นเกินตั้งแต่แรกจนจบ เหมือนเรากลายเป็นเบลฟอร์ทที่สวาปามทุกอย่างเกินพอดี ทั้งเงิน ยาและผู้หญิง เราจะเวียนหัว เหน็ดเหนื่อยกับทุกสิ่งที่ปู่สกอร์เซซีแกอัดเข้ามาตลอดความยาวสามชั่วโมง ไม่มีจังหวะพักหายใจ สมองของเราเหมือนต้องการสารกระตุ้นอย่างที่เบลฟอร์ทต้องการ ไล่ตามหนังให้ทัน ไล่ตามตัวละครให้ทัน ท่ามกลางเสียงตะโกนโห่ร้อง สาปแช่ง ก่นด่าของเหล่าผู้คนในเรื่อง ซึ่งนี่นับเป็นจุดดีของหนังนะเพราะมันสะท้อนภาวะของเบลฟอร์ทได้ดีจริงๆ ไอ้การไม่พักหายใจ เหมือนวิ่งเร็วจี๋ตลอดสามชั่วโมงติดจนสมองร้อน
แน่นอนว่าหลายคนอาจรังเกียจหนังเรื่องนี้ค่าที่ว่ามันทำราวกับผู้หญิงเป็นแค่วัตถุทางเพศ ไม่ใช่แค่นั้นหรอก-ส่วนตัวแล้วคิดเหมือนที่บอกไปด้านบนว่า เงินซื้อสิ่งเหล่านี้ได้จนตัวเบลฟอร์ทถึงกับพูดออกมาว่า “อย่าไปคิดว่า (ลูกดอกมนุษย์) นั่นเป็นคนสิ” แล้วมันจะแปลกอะไรที่คนพูดประโยคนี้จะไล่ฟันสาวไปค่อนนิวยอร์ค กระทั่งตัวของสาวเจ้าหรือคนอื่นๆ ที่รายล้อมตัวเบลฟอร์ทเองก็ดูจะยินยอมลดค่าของตัวเองให้แปรรูปไปเป็นเงินตราได้ทั้งนั้น
ฉากโป๊ตลอดทั้งเรื่องจนตาแทบจะเป็นกุ้งยิง โผล่มาแรกๆ จะมีเสียงคนดูร้องอุ๊ย ว้าย นิดๆ หน่อยๆ พอเขินๆ แต่พอเข้าไปสักกลางเรื่อง เราจะเห็นนมโผล่มาเกือบร้อยเต้า หรือหนักหนากว่านั้นก็เปลือยทั้งตัวที่เอาเข้าจริงๆ พอดูซ้ำๆ กันหลายๆ ฉากก็ไม่ได้หวือหวาอะไรอีกแล้ว มันมีเยอะจนเอียน เลี่ยน จนสงสัยว่าอีเบลฟอร์ทตัวจริงมันอยู่แบบนี้จริงๆ เหรอฟะ นี่อ้วกแตกได้เลยนะ
พี่ลีโอของเราสมควรได้รับออสการ์จากบทนี้มากๆ มันมีทุกรสจริงๆ บทจะขำก็ขำกันน้ำตาไหล (ฉากกินยาเกินขนาดนี่แบบว่า—สะท้อนความเพี้ยนของคนเมายาจริงๆ เพี้ยนสุดกู่) บทจะเครียดก็เล่นเอามวนท้อง ฉากระเบิดอารมณ์นั่นน่ากลัวมากๆ กลัวจนแบบว่าถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้เราอาจจะตัวลีบๆ ลงด้วยความกลัวไปแล้ว มันเป็นความสติแตกของคนที่ไม่มีอะไรจะเสียและนั่นแหละที่น่ากลัว รวมไปถึงฉากสิ้นหวังที่แววตานั่นบอกทุกอย่างได้หมดจดจริงๆ อ้อ-อีกอย่างที่เด็ดมากๆ คือทั้งเรื่องนี้ เบลฟอร์ดต้องพูดปลุกใจคนตลอดเวลา และพี่ลีโอก็ทำหน้าที่นี้ได้ดีอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้ “คนดู” รู้สึกว่าสิ่งที่คุณกำลังพูดอยู่เป็น “ของจริง”
ตัวละครคนอื่นๆ แสดงได้เจ๋งดี มาร์ก็อต ร็อบบี้ที่แสดงเป็นเมียคนสวยของเบลฟอร์ทนั่นเด็ดมากๆ สวยทุกฉาก เกิดแน่นอนเรื่องนี้ รวมถึงโจนาห์ ฮิลล์ไปยันแม็ธธิว แม็คคอนาเฮย์ที่ออกมาแค่สิบห้านาทีแรกของเรื่องที่เจ๋งสุดๆ
เราอึ้งทุกฉากที่เห็นคนรวยใช้เงินเป็นว่าเล่น อาจเพราะสงสัยว่าทำไมมนุษย์คนหนึ่งถึงได้มีเงินมากขนาดนั้นนะ มีเงินมากพอจะใช้จ่ายมันอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง จ่ายเหมือนเผาเงินทิ้ง คนที่สูดโคเคนด้วยแบงค์ใหญ่ๆ แล้วขยำมันทิ้งถังขยะหน้าตาเฉย ทั้งนี้ดูเสร็จแล้วได้แต่คิดว่าคนรวยนี่มันรวยจริงๆ นะ ชีวิตเราไม่เคยเฉียดใกล้ “อภิมหาเศรษฐี” ขนาดนี้เลย
และที่ชอบมากๆ คือการขายความหวังให้คน เบลฟอร์ทและนักเล่นหุ้นรู้ว่ามนุษย์ต้องการอะไรและเร่งให้คนเหล่านั้น “ปรารถนา” ขึ้นมาจริงๆ ฉากนี้มันเยี่ยมยอดมากจนขนลุกขนชันเลย
ฝากบล็อก-เพจ สำหรับติดตามข่าวสาร-แลกเปลี่ยนกันนะคะ
Page: https://www.facebook.com/llkhimll
Blog: http://llkhimll.wordpress.com/