พอดีเห็นคลิปนี้ของพระสุวิทย์
จากเพื่อนสมาชิกห้องศาสนา นำมาโพสไว้
พูดถึงประโยชน์ และการปฏิรูป (คณะสงฆ์) และบ้านเมือง
ฟังแล้วพิจารณาเห็นว่า ผิดหลักพระพุทธศาสนา และ ผิดหลักการปฏิรูปอย่างชัดเจน
จึงเสนอแย้งพระสุวิทย์ไว้ตรงนี้....
เบื้องต้น พระสุวิทย์รูปนี้หมดความสง่า
ตั้งแต่ไม่ไปโต้วาทะกับพระเกษม ทั้งที่ตนเป็นฝ่ายเสนอก่อน
พระสุวิทย์รูปนี้ หมดราคา
ตั้งแต่ออกมาร่วมกลุ่มม็อบ ทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านเขาไปทั่ว
มาถกเรื่องปฏิรูปตามคำพระสุวิทย์ในคลิปนี้
เรื่องที่หนึ่ง การอ้างพุทธพจน์
พระสุวิทย์อ้างพุทธพจน์เรื่องประโยชน์ทั้งสอง
คือประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน
ซึ่งอ้างไม่ถูกและอ้างไม่ครบ แถมอธิบายความหมายคลาดเคลื่อน...
อ้างไม่ถูก นั่นคือ
พระสุวิทย์อ้างถึงหลักประโยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องปฏิบัติปัจเจกเฉพาะตนของแต่ละคน
แทนหลักการหรือหัวใจของพุทธศาสนา
ความจริง แนวปฏิบัติในการนำมวลมหาชนของพระพุทธเจ้า
อยู่ในโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งถือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาและแนวปฏิบัติในการเผยแผ่ของพระ นั่นคือ
ขันติคือความทนทานเป็นตบะอย่างยิ่ง
พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า พระนิพพานเป็นธรรมอย่างยิ่ง
ผู้ทำร้ายผู้อื่น ผู้เบียดเบียนผู้อื่น
ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ไม่ชื่อว่าเป็น สมณะเลย
การไม่ทำบาปทั้งสิ้น
การยังกุศลให้ถึงพร้อม
การทำจิตของตนให้ผ่องใส
นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑
ความสำรวมในพระปาติโมกข์ ๑
ความเป็นผู้รู้ประมาณในภัตตาหาร ๑
ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑
การประกอบความเพียรในอธิจิต ๑
หกอย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
โอวาทปาฏิโมกข์คือหลักปฏิบัติในการปฏิบัติของพระในทุกเรื่อง
เป็นที่ยอมรับในสากล และสอดคล้องกับทุกหลักการในโลกนี้
แต่พระสุวิทย์ไม่อ้าง กลับไปอ้างเอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องมาใช้
เหมือนบริษัทหนึ่ง มีกฏระเบียบว่า ห้ามมาสาย ห้ามกลับก่อนเวลานั่นเวลานี่
ควรมีน้ำใจ ไม่เบียดเบียน ไม่นินทาเพื่อนร่วมบริษัท ฯลฯ
แต่พระสุวิทย์ ไม่อ้างสิ่งเหล่านี้ กลับไปอ้างเรื่องว่า ควรยึดประโยชน์ตนประโยชน์ท่านเป็นหลัก
ดังนั้น จึงสามารถมาสาย กลับก่อน เบียดเบียน นินทา เพื่อนร่วมบริษัท เจ้าของบริษัท
กระทั่งทุกคนในบริษัทที่ไม่เอาด้วยกันตน...
คนแบบนี้หรือ ที่จะพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้า และมั่นคงได้
กระทั่ง วินัยหรือกฏระเบียบ และ ธรรมะหรือข้อควรปฏิบัติ
ยังแยกแยะไม่ออก
อ้างไม่ครบและอธิบายความหมายคลาดเคลื่อน นั่นคือ
เมื่อพูดถึงเรื่องประโยชน์หรืออัตถะในพระพุทธศาสนาแล้ว
ต้องอ้างหลายบทมาประกอบด้วย และต้องแยกแยะให้ชัด จึงจะไม่ความใจผิดคิดเข้าข้างตน
เช่นพระสุวิทย์อ้างประโยชน์เพียง ๒ แต่บางมี ๓ คือ
๑. อัตตัตถะ ประโยชน์ตน ๒. ปรัตถะ ประโยชน์ผู้อื่น ๓. อุภยัตถะ ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
ซึ่งความจริง เราสามารถบำเพ็ญประโยชน์ทั้งสองได้ตามข้อสาม
โดยที่ไม่ต้องแยกไปทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งก่อน
แต่พระสุวิทย์บอกว่า ประโยชน์ตนของความเป็นพระสุวิทย์ ยกไว้ก่อน
ขอตรูทำประโยชน์ส่วนร่วม ด้วยการนำมวลมหาความเดือดร้อนมาสู่มวลมหาประชาชนก่อน
และเมื่ออธิบายก็คลาดเคลื่อน
เมื่อพูดถึงเรื่องประโยชน์ จะมีพุทธพจน์ตามมาอีกหลายบท เช่น
"บุคคลไม่ควรพล่าประโยชน์ของตน เพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก
รู้จักประโยชน์ของตนแล้ว พึงขวนขวายในประโยชน์ของตน"
ถ้าอ่านเพียงแค่นี้ ไม่ไปดูคำอธิบายประกอบ
มาตีความเอาตามใจตนเองเช่นพระสุวิทย์ จะเข้าใจว่า
พระพุทธจเจ้าสอนให้เห็นแก่ตัว ให้เอาประโยชน์ตนเป็นใหญ่
แต่เมื่อไปดูคำอธิบายประกอบ จะพบว่า
ประโยชน์ตนสำคัญและจำเป็นต้องทำก่อน
โดยเฉพาะพระด้วยแล้ว ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จออกผนวช
แสวงหาจนบรรลุโมกขธรรม พึ่งตนเองได้ แล้วจึงมาบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวม
จนเกิดประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า จะติเตียนได้เฉพาะคนพาล ส่วนบัณฑิตสรรเสริญ
แต่พระสุวิทย์ คนพาลบางคนสรรเสริญ แต่มวลมหาบัณฑิตนินทา
เพราะถ้าไม่บำเพ็ญประโยชน์ตนก่อน
หากมาทำประโยชน์ส่วนรวมก่อน อาจจะพาคนอื่นให้เดือดร้อน
เพราะตนเองก็ยังไม่รู้ประโยชน์ตน ยังทำประโยชน์ตนไม่สมบูรณ์ ยังคิดพูดทำผิด
เมื่อมานำหรือทำประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งเกี่ยวกับคนหมู่มาก
ก็จะพาคนเหล่านั้น คิดพูดทำผิดตามตนไปด้วย
ดังพระสุวิทย์เป็นและทำอยู่ในขณะนี้
สรุป พระสุวิทย์หมดความสง่าและหมดราคาแล้ว
หมดความสง่า เพราะไม่กล้าสู้กับพระจริง
หมดราคา เพราะอ้างหลักกรู แทนหลักการ
และทั้งหมดความสง่าและหมดราคาไปพร้อมกัน
เพราะประโยชน์ตนของพระสุวิทย์ก็พล่า ประโยชน์ท่านของพระสุวิทย์ก็เฉพาะกลุ่ม
ไม่ใช่พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ ตามหลักพระพุทธศาสนาอีกต่อไป...
พระสุวิทย์ ผลประโยชน์ และการปฏิรูปคณะสงฆ์ ที่ไร้หลักการ...
พอดีเห็นคลิปนี้ของพระสุวิทย์
จากเพื่อนสมาชิกห้องศาสนา นำมาโพสไว้
พูดถึงประโยชน์ และการปฏิรูป (คณะสงฆ์) และบ้านเมือง
ฟังแล้วพิจารณาเห็นว่า ผิดหลักพระพุทธศาสนา และ ผิดหลักการปฏิรูปอย่างชัดเจน
จึงเสนอแย้งพระสุวิทย์ไว้ตรงนี้....
เบื้องต้น พระสุวิทย์รูปนี้หมดความสง่า
ตั้งแต่ไม่ไปโต้วาทะกับพระเกษม ทั้งที่ตนเป็นฝ่ายเสนอก่อน
พระสุวิทย์รูปนี้ หมดราคา
ตั้งแต่ออกมาร่วมกลุ่มม็อบ ทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านเขาไปทั่ว
มาถกเรื่องปฏิรูปตามคำพระสุวิทย์ในคลิปนี้
เรื่องที่หนึ่ง การอ้างพุทธพจน์
พระสุวิทย์อ้างพุทธพจน์เรื่องประโยชน์ทั้งสอง
คือประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน
ซึ่งอ้างไม่ถูกและอ้างไม่ครบ แถมอธิบายความหมายคลาดเคลื่อน...
อ้างไม่ถูก นั่นคือ
พระสุวิทย์อ้างถึงหลักประโยชน์ ซึ่งเป็นเรื่องปฏิบัติปัจเจกเฉพาะตนของแต่ละคน
แทนหลักการหรือหัวใจของพุทธศาสนา
ความจริง แนวปฏิบัติในการนำมวลมหาชนของพระพุทธเจ้า
อยู่ในโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งถือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาและแนวปฏิบัติในการเผยแผ่ของพระ นั่นคือ
ขันติคือความทนทานเป็นตบะอย่างยิ่ง
พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า พระนิพพานเป็นธรรมอย่างยิ่ง
ผู้ทำร้ายผู้อื่น ผู้เบียดเบียนผู้อื่น
ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ไม่ชื่อว่าเป็น สมณะเลย
การไม่ทำบาปทั้งสิ้น
การยังกุศลให้ถึงพร้อม
การทำจิตของตนให้ผ่องใส
นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑
ความสำรวมในพระปาติโมกข์ ๑
ความเป็นผู้รู้ประมาณในภัตตาหาร ๑
ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑
การประกอบความเพียรในอธิจิต ๑
หกอย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
โอวาทปาฏิโมกข์คือหลักปฏิบัติในการปฏิบัติของพระในทุกเรื่อง
เป็นที่ยอมรับในสากล และสอดคล้องกับทุกหลักการในโลกนี้
แต่พระสุวิทย์ไม่อ้าง กลับไปอ้างเอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องมาใช้
เหมือนบริษัทหนึ่ง มีกฏระเบียบว่า ห้ามมาสาย ห้ามกลับก่อนเวลานั่นเวลานี่
ควรมีน้ำใจ ไม่เบียดเบียน ไม่นินทาเพื่อนร่วมบริษัท ฯลฯ
แต่พระสุวิทย์ ไม่อ้างสิ่งเหล่านี้ กลับไปอ้างเรื่องว่า ควรยึดประโยชน์ตนประโยชน์ท่านเป็นหลัก
ดังนั้น จึงสามารถมาสาย กลับก่อน เบียดเบียน นินทา เพื่อนร่วมบริษัท เจ้าของบริษัท
กระทั่งทุกคนในบริษัทที่ไม่เอาด้วยกันตน...
คนแบบนี้หรือ ที่จะพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้า และมั่นคงได้
กระทั่ง วินัยหรือกฏระเบียบ และ ธรรมะหรือข้อควรปฏิบัติ
ยังแยกแยะไม่ออก
อ้างไม่ครบและอธิบายความหมายคลาดเคลื่อน นั่นคือ
เมื่อพูดถึงเรื่องประโยชน์หรืออัตถะในพระพุทธศาสนาแล้ว
ต้องอ้างหลายบทมาประกอบด้วย และต้องแยกแยะให้ชัด จึงจะไม่ความใจผิดคิดเข้าข้างตน
เช่นพระสุวิทย์อ้างประโยชน์เพียง ๒ แต่บางมี ๓ คือ
๑. อัตตัตถะ ประโยชน์ตน ๒. ปรัตถะ ประโยชน์ผู้อื่น ๓. อุภยัตถะ ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
ซึ่งความจริง เราสามารถบำเพ็ญประโยชน์ทั้งสองได้ตามข้อสาม
โดยที่ไม่ต้องแยกไปทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งก่อน
แต่พระสุวิทย์บอกว่า ประโยชน์ตนของความเป็นพระสุวิทย์ ยกไว้ก่อน
ขอตรูทำประโยชน์ส่วนร่วม ด้วยการนำมวลมหาความเดือดร้อนมาสู่มวลมหาประชาชนก่อน
และเมื่ออธิบายก็คลาดเคลื่อน
เมื่อพูดถึงเรื่องประโยชน์ จะมีพุทธพจน์ตามมาอีกหลายบท เช่น
"บุคคลไม่ควรพล่าประโยชน์ของตน เพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก
รู้จักประโยชน์ของตนแล้ว พึงขวนขวายในประโยชน์ของตน"
ถ้าอ่านเพียงแค่นี้ ไม่ไปดูคำอธิบายประกอบ
มาตีความเอาตามใจตนเองเช่นพระสุวิทย์ จะเข้าใจว่า
พระพุทธจเจ้าสอนให้เห็นแก่ตัว ให้เอาประโยชน์ตนเป็นใหญ่
แต่เมื่อไปดูคำอธิบายประกอบ จะพบว่า
ประโยชน์ตนสำคัญและจำเป็นต้องทำก่อน
โดยเฉพาะพระด้วยแล้ว ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จออกผนวช
แสวงหาจนบรรลุโมกขธรรม พึ่งตนเองได้ แล้วจึงมาบำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวม
จนเกิดประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า จะติเตียนได้เฉพาะคนพาล ส่วนบัณฑิตสรรเสริญ
แต่พระสุวิทย์ คนพาลบางคนสรรเสริญ แต่มวลมหาบัณฑิตนินทา
เพราะถ้าไม่บำเพ็ญประโยชน์ตนก่อน
หากมาทำประโยชน์ส่วนรวมก่อน อาจจะพาคนอื่นให้เดือดร้อน
เพราะตนเองก็ยังไม่รู้ประโยชน์ตน ยังทำประโยชน์ตนไม่สมบูรณ์ ยังคิดพูดทำผิด
เมื่อมานำหรือทำประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งเกี่ยวกับคนหมู่มาก
ก็จะพาคนเหล่านั้น คิดพูดทำผิดตามตนไปด้วย
ดังพระสุวิทย์เป็นและทำอยู่ในขณะนี้
สรุป พระสุวิทย์หมดความสง่าและหมดราคาแล้ว
หมดความสง่า เพราะไม่กล้าสู้กับพระจริง
หมดราคา เพราะอ้างหลักกรู แทนหลักการ
และทั้งหมดความสง่าและหมดราคาไปพร้อมกัน
เพราะประโยชน์ตนของพระสุวิทย์ก็พล่า ประโยชน์ท่านของพระสุวิทย์ก็เฉพาะกลุ่ม
ไม่ใช่พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ ตามหลักพระพุทธศาสนาอีกต่อไป...