ใช่พระพุทธเจ้าหรือเปล่าที่เคยพูดว่า "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ"
แต่ถึงคราที่คนเราป่วยหนัก นอนไม่หลับเพราะพิษไข้ บาดแผล หรือแม้กระทั่งมะเร็ง ยามต้องเผชิญกับความห่อเหี่ยวซบเซาของจิตใจที่พบว่าวันนี้มันช่างหมดไปอย่างไร้คุณค่าสิ้นดี มันพอจะมีแง่ดีอะไรซ่อนอยู่บ้างในภาวะสุขภาพถดถอยเช่นนี้กันบ้างนะ
คงเพราะป่วยหนักอย่างทรมาน ถึงแม้จะได้รับการดูแลที่ดี มียาเม็ดมหัศจรรย์ที่ทานแล้วพอจะบรรเทาอาการลงได้ แต่ความรู้สึกเจ็บร้อนไปตามแนวกระดูกทุกครั้งที่พลิกตัวก็ยังคงแสดงออกเป็นระยะๆ การเป็นทุกข์ทางกายอย่างหนักนี้เองทำให้สมองได้เริ่มครุ่นคิดว่า ก่อนที่ความก้าวหน้าทางการแพทย์และชีววิทยาจะรู้จักเชื่อโรคอะไรต่อมิอะไรไปและมีหนทางรักษาให้หายได้ดั่งเช่นทุกวันนี้ มนุษย์ในอดีตนั้นผ่านการรับมือกับอาการป่วยไข้และความห่อเหี่ยวใจจิตใจแบบนี้มาได้ยังไงกัน นี่ยังไม่นับการฝ่าฟันทางความรู้สึกและรักษาตัวให้อยู่รอดของบรรดาเชลยสงครามที่ผอมแห้งเหลือแต่กระดูก และหมดสิ้นทุกกำลังใจใดใดใจจากยุคนาซีอีกนะ
คงไม่มีหนังสือเล่มไหนที่ตีแผ่ทุกความคิด ความรู้สึกของเชลยในค่ายกักกัน Auswitch ยามต้องประสบพบเจอการคุกคามทุกความเป็นไท ที่มนุษย์ชาติหนึ่งจะพรากมันออกจากมนุษย์ชาติหนึ่ง ได้อย่างแท้จริงและหยังถึ่งอย่าง "Man's Search for meaning" หรือ "มนุษย์ ความหมาย และค่ายกักกัน" อีกแล้ว
จริงอยู่ว่าครั้งนั้นป่วยกาย แต่เป็นไปได้ไหมว่าเพราะกายนั้นเชื่อมโยงกับจิตใจ เลยทำให้ระลึกถึงการพยายามรักษาชีวิตให้อยู่รอดของเชลยสงครามในอดีต
Viktor E. Frankl ผู้ซึ่งเป็น 1 ในเชลยผู้รอดชีวิตจากค่าย Auswitch ไม่ได้นำเสนออะไรที่ดูโหดร้ายเหมือนสารคดี กลับกันกลับนำเสนอความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นของจิตใจมนุษย์
มนุษย์คนหนึ่งในอดีตคนนี้ พยายามชี้ให้เราเห็นว่าคนเรานั้นสามารถ "เลือก" ที่จะมีชีวิตอยู่ให้มีความหมายได้อย่างไรในโมงยามที่ดูเหมือนทุกสัจจะจะถูกพรากไปจนหมดสิ้น
หลายคนที่หายจากโรคร้าย เพราะเข้าถึงเวทมนต์ของสิ่งที่เรียกว่าจิตใจ
หลายครั้งที่ปาฎิหารย์เกิดขึ้น เมื่อความเชื่อกระจ่างชัดอยู่ในมโนคติ
เมื่อถึงคราวที่จำเป็นจริงๆ มนุษย์นั้นก็เปลี่ยนโลกภายในของเขาได้
ดังนั้นถ้าหากจะมีข้อดีที่ซุกซ่อนอยู่บ้างจากภาวะเจ็บป่วย สิ่งนั่นคือมุมมองอันน่าครั้นคร้ามต่อความเข้มแข็งอดทนของจิตใจและร่างกายมนุษย์ การมองย้อนกลับไปว่าเรามนุษย์เรานั้นแกร่งและผ่านเรื่องราวอะไรต่อมิอะไรไม่รู้มาได้อย่างมากมาย เราพยายามที่รักษาลมหายใจ เยียวยาร่างกาย ปลอบประโลมจิตใจ อ้อนวอนจิตวิญญาณให้ช่วยปราณีในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เราพยายามจะผสานตัวเองเข้ากับปัจจุปัน พยายามมองให้เห็นถึงความสวยงามของตัวชีวิต พยายามหาความหมายที่แฝงอยู่เท่าที่ความเข้าใจและสติปัญญาของเราจะเข้าถึงนั่นเอง
ใช่ Christopher Robin หรือเปล่านะ ที่กล่าวกับ Winnie the Pooh ว่า "You're Braver Than You Believe."
ป่วยจนเพ้อถึงยุคนาซีและหนังสือดีๆเล่มหนึ่ง
แต่ถึงคราที่คนเราป่วยหนัก นอนไม่หลับเพราะพิษไข้ บาดแผล หรือแม้กระทั่งมะเร็ง ยามต้องเผชิญกับความห่อเหี่ยวซบเซาของจิตใจที่พบว่าวันนี้มันช่างหมดไปอย่างไร้คุณค่าสิ้นดี มันพอจะมีแง่ดีอะไรซ่อนอยู่บ้างในภาวะสุขภาพถดถอยเช่นนี้กันบ้างนะ
คงเพราะป่วยหนักอย่างทรมาน ถึงแม้จะได้รับการดูแลที่ดี มียาเม็ดมหัศจรรย์ที่ทานแล้วพอจะบรรเทาอาการลงได้ แต่ความรู้สึกเจ็บร้อนไปตามแนวกระดูกทุกครั้งที่พลิกตัวก็ยังคงแสดงออกเป็นระยะๆ การเป็นทุกข์ทางกายอย่างหนักนี้เองทำให้สมองได้เริ่มครุ่นคิดว่า ก่อนที่ความก้าวหน้าทางการแพทย์และชีววิทยาจะรู้จักเชื่อโรคอะไรต่อมิอะไรไปและมีหนทางรักษาให้หายได้ดั่งเช่นทุกวันนี้ มนุษย์ในอดีตนั้นผ่านการรับมือกับอาการป่วยไข้และความห่อเหี่ยวใจจิตใจแบบนี้มาได้ยังไงกัน นี่ยังไม่นับการฝ่าฟันทางความรู้สึกและรักษาตัวให้อยู่รอดของบรรดาเชลยสงครามที่ผอมแห้งเหลือแต่กระดูก และหมดสิ้นทุกกำลังใจใดใดใจจากยุคนาซีอีกนะ
คงไม่มีหนังสือเล่มไหนที่ตีแผ่ทุกความคิด ความรู้สึกของเชลยในค่ายกักกัน Auswitch ยามต้องประสบพบเจอการคุกคามทุกความเป็นไท ที่มนุษย์ชาติหนึ่งจะพรากมันออกจากมนุษย์ชาติหนึ่ง ได้อย่างแท้จริงและหยังถึ่งอย่าง "Man's Search for meaning" หรือ "มนุษย์ ความหมาย และค่ายกักกัน" อีกแล้ว
จริงอยู่ว่าครั้งนั้นป่วยกาย แต่เป็นไปได้ไหมว่าเพราะกายนั้นเชื่อมโยงกับจิตใจ เลยทำให้ระลึกถึงการพยายามรักษาชีวิตให้อยู่รอดของเชลยสงครามในอดีต
Viktor E. Frankl ผู้ซึ่งเป็น 1 ในเชลยผู้รอดชีวิตจากค่าย Auswitch ไม่ได้นำเสนออะไรที่ดูโหดร้ายเหมือนสารคดี กลับกันกลับนำเสนอความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นของจิตใจมนุษย์
มนุษย์คนหนึ่งในอดีตคนนี้ พยายามชี้ให้เราเห็นว่าคนเรานั้นสามารถ "เลือก" ที่จะมีชีวิตอยู่ให้มีความหมายได้อย่างไรในโมงยามที่ดูเหมือนทุกสัจจะจะถูกพรากไปจนหมดสิ้น
หลายคนที่หายจากโรคร้าย เพราะเข้าถึงเวทมนต์ของสิ่งที่เรียกว่าจิตใจ
หลายครั้งที่ปาฎิหารย์เกิดขึ้น เมื่อความเชื่อกระจ่างชัดอยู่ในมโนคติ
เมื่อถึงคราวที่จำเป็นจริงๆ มนุษย์นั้นก็เปลี่ยนโลกภายในของเขาได้
ดังนั้นถ้าหากจะมีข้อดีที่ซุกซ่อนอยู่บ้างจากภาวะเจ็บป่วย สิ่งนั่นคือมุมมองอันน่าครั้นคร้ามต่อความเข้มแข็งอดทนของจิตใจและร่างกายมนุษย์ การมองย้อนกลับไปว่าเรามนุษย์เรานั้นแกร่งและผ่านเรื่องราวอะไรต่อมิอะไรไม่รู้มาได้อย่างมากมาย เราพยายามที่รักษาลมหายใจ เยียวยาร่างกาย ปลอบประโลมจิตใจ อ้อนวอนจิตวิญญาณให้ช่วยปราณีในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เราพยายามจะผสานตัวเองเข้ากับปัจจุปัน พยายามมองให้เห็นถึงความสวยงามของตัวชีวิต พยายามหาความหมายที่แฝงอยู่เท่าที่ความเข้าใจและสติปัญญาของเราจะเข้าถึงนั่นเอง
ใช่ Christopher Robin หรือเปล่านะ ที่กล่าวกับ Winnie the Pooh ว่า "You're Braver Than You Believe."