คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 13
จะเรียกว่าอยู่ก่อนแต่งก็ไม่เชิง เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม 3 เดือน เราตัดสินใจไปทำงานช่วงปิดเทอมอยู่กับแฟน เพื่อที่จะลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ลองเรียนรู้นิสัยใจคอ พฤติกรรม การใช้ชีวิต และการปรับตัวเข้าหัวกัน เมื่อได้ลองไปอยู่ด้วยกันจริงๆ สิ่งที่เราวาดฝันไว้ไม่มีในตัวผู้ชายคนนี้เลย พอไปอยู่เดิอนแรกดีมาก เอาใจทุกอย่าง แต่พอเริ่มเข้าเดือนที่ 2 เริ่มพฤติกรรมเปลี่ยน หาว่าเราไม่ทำงานบ้าน ใช้เงินเปลื้อง (เคยทะเลาะกันเพราะเงิน 30 บาท จนเขาเอาเราไปปล่อยไว้กลางสี่แยกไฟแดง ตอนเที่ยงคืน พร้อมให้เงินเรา 1000บาท ดูมันทำเพื่อให้เป็นค่ารถกลับบ้านเรา) เมื่อเขาปล่อยเราทิ้งไว้แล้ว เขาก็ขับรถออกไป เราก็เดินร้องไห้เพราะไม่รู้จักใคร ผลสุดท้ายก็จำใจโทรให้มันมารับจนได้ ) พอถึงยามเจ็บป่วยเราหวังเพิ่งเขาดูแล เปล่าเลยเขาไม่สนใจเราเลย (วันนั้นกำลังนอนอยู่กลางดึกไข้เราขึ้น ตัวร้อนมาก ปวดหัวด้วย เราก็บอกมันว่า พี่ไปเอาผ้าชุปน้ำมาเช็คตัวให้หน่อยเขาไม่ไหวแล้ว เชื่อไมค่ะว่ามันทำยังไง มันนอนหันหลังให้เราค่ะ เราต้องไปหาผ้าชุปน้ำมานั่งเช็คตัวเอง แถมต้องหายาให้ตัวเองกินอีก) ยังมีเหตุการณ์พิสูจน์ใจอีกมายมายที่เราได้เจอจากผู้ชายที่เราคบและคิดว่าจะแต่งงานด้วย
พอเรากลับมาเรียนต่อช่วงเปิดเทอม เราตัดสินใจเลยว่าถ้าเราฝากชีวิตไว้กับผู้ชายคนนี้ ชีวิตเราคงหาความสุขไม่เจอแน่ นี้ขนาดยังไม่ได้แต่งยังทำกับเราได้ขนาดนี้แล้วถ้าแต่งไปล่ะจะเป็นยังไง
การอยู่ก่อนแต่งมันก็ดีในเรื่องของการได้เรียนรู้พฤติกรรมของกันและกัน เพราะเมื่ออยู่ด้วยกันมันต้องมีการเผยธาตุแท้ออกมาให้เห็นบ้างไม่มากก็น้อย
ส่วนถ้าให้เลือกจริงๆ ณ ตอนนี้ว่าแบบไหนดีกว่ากันบอกเลยว่าตอบยากมาก
พอเรากลับมาเรียนต่อช่วงเปิดเทอม เราตัดสินใจเลยว่าถ้าเราฝากชีวิตไว้กับผู้ชายคนนี้ ชีวิตเราคงหาความสุขไม่เจอแน่ นี้ขนาดยังไม่ได้แต่งยังทำกับเราได้ขนาดนี้แล้วถ้าแต่งไปล่ะจะเป็นยังไง
การอยู่ก่อนแต่งมันก็ดีในเรื่องของการได้เรียนรู้พฤติกรรมของกันและกัน เพราะเมื่ออยู่ด้วยกันมันต้องมีการเผยธาตุแท้ออกมาให้เห็นบ้างไม่มากก็น้อย
ส่วนถ้าให้เลือกจริงๆ ณ ตอนนี้ว่าแบบไหนดีกว่ากันบอกเลยว่าตอบยากมาก
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 20
แล้วแต่ความพร้อม และจุดลงตัวของชีวิตค่ะ อย่าลืมว่าขนบประเพณี ไม่ว่าจะแต่งก่อนอยู่หรืออยู่ก่อนแต่ง หรือเรื่องสินสอด (เราพึ่งตั้งกระทู้ไป) มันก็คือรูปแบบวิถีชีวิตคน ที่เป็นแนวทางที่เหมาะสมกับสังคมนั้นๆ เปรียบเทียบกับสังคงอื่นคงลำบาก
คนไทย กว่าจะโตก็เกือบสามสิบ ในขณะที่ฝรั่ง 18 ขึ้นไปนี่คือต้องออกจากบ้านแล้ว ใครยังอยู่กับพ่อแม่นี่คือ loser มากๆ สังคมจะล้อเลียน ติฉินนินทาเหมือนกับว่าเป็นคนไม่รู้จักโต ทำมาหากินไม่เป็นเกาะพ่อเกาะแม่กิน เพราะเขาเลี้ยงลูกให้โตไวกว่าเรา ของไทยนี่ลูกไม่กินข้าวก็ป้อนกันจนสี่ขวบห้าขวบ (บางทีแปดขวบก็ยังป้อน) ฝรั่งนี่จับช้อนได้ก็ให้กินเองเลย จะเลอะเทอะอะไรก็ต้องหัดเอา แยกกันนอนตั้งแต่เกิด คนไทยเราจนโตเป็นสาวยังนอนกับแม่ ไปไหนมาไหนพ่อแม่ตามตลอดก็มี ดาราบางคนอายุจะสามสิบแล้วพอทำอะไรก็บอกหนูยังเด้ก รู้เท่าไม่ถึงการณ์ (โห แล้วกว่าหนูจะโตไม่อายุ 45 เหรอคะ)
จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะสมัยโบราณ หรือแม้แต่ปัจจุบัน สังคมไทยและระบบครอบครัว ยังถือว่ามีอิทธิพลต่อตัวบุคคลมากๆ ซึ่งในสังคมตะวันตกหรือประเทศอื่นๆ เขาไม่มีเหมือนเรา การตัดสินใจของคนไทยบางทีแค่ซื้อเสื้อมาสักตัวแล้วแม่ไม่ชอบไม่ก็ขายต่อดีกว่าไม่กล้าใส่ จะซื้อรถสักคันป๊าไม่ให้เอาสีดำก็ต้องเปลี่ยน ในขณะที่ฝรั่งเขาปัจเจกกว่ามาก จะคิดจะทำอะไรตัดสินใจเอาเอง แม้แต่ตัวลูกเองก็เถอะ
ฉะนั้นมันปฏิเสธยากมากเลยค่ะเรื่องที่จะตัดสินใจเลือกทางชีวิตเอง แม้บางทีทั้งคู่จะพร้อมมากแล้ว แต่ครอยครัวไม่ยอมรับการอยู่ก่อนแต่ง ก็ลำบาก บางทีเขาอยู่กันดีๆไม่มีปัญหาแต่แม่ไปกดดันลูกสาวให้แต่งๆซะทีแม่อายชาวบ้าน ลูกไม่รู้ทำไงต้องไปกดดันแฟนต่อจนทะเลาะกันเลิกไปเลยก็มี บางทีอยู่กันแอบๆพ่อแม่รู้เข้ามาร้องไห้ผิดหวัง ลูกจำใจต้องเลิกกับแฟน (ทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เรียนดี ทำงานดี รับผิดชอบดี แค่อยู่กันก่อนแต่ง)
ถ้าถามเราว่าแบบไหนดีกว่ากันนะคะ ส่วนตัวเราเองไม่ได้อยู่ก่อนแต่ง แต่ไม่ได้ขัดข้องอะไรถ้าคนใกล้ตัวจะมีชีวิตอยู่ก่อนแต่ง เพราะมันแล้วแต่ความพร้อม คือเราว่าถ้ารับผิดชอบตัวเองได้ และไม่มีผลกระทบกับชีวิตหรือครอบครัว ก็อยู่ได้ค่ะ บางคู่เขาก็เป็นการลดค่าใช้จ่ายเช่นมาทำงานที่กรุงเทพ หรือคนไทยไปเรียนต่างประเทศ อยู่ด้วยกันก็ประหยัดกว่าจะได้เก็บเงินแต่งงาน อย่างนี้ก็มี
ส่วนตัวเราที่ไม่เคยคิดจะเลือกอยู่ก่อนแต่งนั้น ไม่ได้มีเหตุผลเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีอะไรเลยค่ะ เป็นความคิดของเราล้วนๆ ที่ว่าถ้ารักษาระยะห่างสักหน่อย มีช่องว่างระหว่างสถานะก่อนจะร่วมหอลงโรงกัน เขาจะมีเวลาคิดถึงเราหรือรู้สึกต้องการเรามากกว่ารู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวก็เจอกันเสมอ อีกอย่างหากเขาต้องการเราในฐานะ"ภรรยา" ก็ต้องให้เราเป็นภรรยาเต็มตัว ไม่ใช่แค่ทางพฤตินัย คือหากเขาเห็นแล้วว่าเรามีคุณค่าและคุณสมบัติเหมาะสมจะทำหน้าที่ "ภรรยา" จะให้เราดูแลหุงหาอาหารป้อนข้าวป้อนน้ำ รวมถึงกิจกรรมบนเตียง และการเป็นเพื่อนคู่คิดตอลด 24 ชั่วโมง เขาก็ต้องโปรโมตยกฐานะเราจากแฟนเป็นภรรยาให้ชัดเจนค่ะ ส่วนตัวเรามีเส้นแบ่งตรงนี้
แม้แต่ฝรั่งเองก็ประสบปัญหาอยู่กันแล้วผู้ชายไม่ยอมแต่ง นานไปผู้หญิงก็เกิดอาการนอยด์คือทำไมไม่แต่งกับฉันซะที ในขณะที่ผู้ชายคิดว่าจะแต่งทำไม อยู่แบบนี้ก็มีความสุขและรักกันดีอยู่แล้ว (ซึ่งก็ไม่ผิดนะคะ ถ้าชีวิตเราไม่รู้สึกขาดสิ่งใดเราก็ไม่คิดจะลุกมาเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน คือผู้ชายเขาไม่ได้คิดว่าเป็นการเอาเปรียบ เพียงแต่ชีวิตที่อยู่กันมันก็ดีอยู่แล้วจริงๆนี่นา) ซึ่งในกรณีแบบนี้หลายๆครั้งที่ปรึกษาด้านชีวิตคู่ก็ให้คำแนะนำให้แยกกันอยู่ ไม่ใช่เลิกกันนะคะ แต่แยกที่อยู่กัน ซึ่งเมื่อฝ่ายชายรู้สึกว่าสิ่งที่ต้องการขาดไป และสิ่งที่เขาต้องการคือต้องการจากผู้หญิงที่เขารักเท่านั้น เขาก็จะคิดถึงการแต่งงานขึ้นมาเอง
บางทีการแต่งงานไม่ได้สำคัญแค่ด้านกฎหมายหรือหน้าตาทางสังคมหรอกค่ะ แต่มันหมายถึงความมั่นคงทางจิตใจของฝ่ายหญิง(บางคนนะคะ ไม่ได้เหมารวม แฟมินิสต์เว้นเราไว้คนเหอะนะอย่าพึ่งจวกยับ) ดังนั้นจะบอกว่าอยู่ก่อนแต่งหรือแต่งก่อนอยู่อะไรดีกว่ากันก็คงต้องถามความพึงพอใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องน่าจะดีกว่าค่ะ
ป.ล. แต่ถ้าแค่อยากอยู่ด้วยกันโดยไม่มีเหตุผล วุฒิภาวะไม่มี มีแต่ความรักความหลง อารมณ์ปรารถนาจะอยู่ใกล้ชิดกัน ซึ่งมักพบในวัยรุ่นไทย เราค้านหัวชนฝาค่ะ ถ้ายังรับผิดชอบชีวิตอย่างเด็กวัยรุ่นฝรั่งไม่ได้ ประเทศยังไม่มีกฎหมายและสวัสดิการสังคมรองรับที่ดีก็อย่าได้แหยมมาอ้างฝรั่ง อ้างแต่ปาก อ้างแต่สิ่งที่อยากได้อยากมี ทีเด็กฝรั่งเขาทำมาหากินเองเลี้ยงตัวเองจริงจังไม่เห็นจะคิดเอาอย่าง คิดเอาแต่ที่อยากได้ นี่คือคนไร้วุฒิภาวะค่ะ
คนไทย กว่าจะโตก็เกือบสามสิบ ในขณะที่ฝรั่ง 18 ขึ้นไปนี่คือต้องออกจากบ้านแล้ว ใครยังอยู่กับพ่อแม่นี่คือ loser มากๆ สังคมจะล้อเลียน ติฉินนินทาเหมือนกับว่าเป็นคนไม่รู้จักโต ทำมาหากินไม่เป็นเกาะพ่อเกาะแม่กิน เพราะเขาเลี้ยงลูกให้โตไวกว่าเรา ของไทยนี่ลูกไม่กินข้าวก็ป้อนกันจนสี่ขวบห้าขวบ (บางทีแปดขวบก็ยังป้อน) ฝรั่งนี่จับช้อนได้ก็ให้กินเองเลย จะเลอะเทอะอะไรก็ต้องหัดเอา แยกกันนอนตั้งแต่เกิด คนไทยเราจนโตเป็นสาวยังนอนกับแม่ ไปไหนมาไหนพ่อแม่ตามตลอดก็มี ดาราบางคนอายุจะสามสิบแล้วพอทำอะไรก็บอกหนูยังเด้ก รู้เท่าไม่ถึงการณ์ (โห แล้วกว่าหนูจะโตไม่อายุ 45 เหรอคะ)
จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะสมัยโบราณ หรือแม้แต่ปัจจุบัน สังคมไทยและระบบครอบครัว ยังถือว่ามีอิทธิพลต่อตัวบุคคลมากๆ ซึ่งในสังคมตะวันตกหรือประเทศอื่นๆ เขาไม่มีเหมือนเรา การตัดสินใจของคนไทยบางทีแค่ซื้อเสื้อมาสักตัวแล้วแม่ไม่ชอบไม่ก็ขายต่อดีกว่าไม่กล้าใส่ จะซื้อรถสักคันป๊าไม่ให้เอาสีดำก็ต้องเปลี่ยน ในขณะที่ฝรั่งเขาปัจเจกกว่ามาก จะคิดจะทำอะไรตัดสินใจเอาเอง แม้แต่ตัวลูกเองก็เถอะ
ฉะนั้นมันปฏิเสธยากมากเลยค่ะเรื่องที่จะตัดสินใจเลือกทางชีวิตเอง แม้บางทีทั้งคู่จะพร้อมมากแล้ว แต่ครอยครัวไม่ยอมรับการอยู่ก่อนแต่ง ก็ลำบาก บางทีเขาอยู่กันดีๆไม่มีปัญหาแต่แม่ไปกดดันลูกสาวให้แต่งๆซะทีแม่อายชาวบ้าน ลูกไม่รู้ทำไงต้องไปกดดันแฟนต่อจนทะเลาะกันเลิกไปเลยก็มี บางทีอยู่กันแอบๆพ่อแม่รู้เข้ามาร้องไห้ผิดหวัง ลูกจำใจต้องเลิกกับแฟน (ทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เรียนดี ทำงานดี รับผิดชอบดี แค่อยู่กันก่อนแต่ง)
ถ้าถามเราว่าแบบไหนดีกว่ากันนะคะ ส่วนตัวเราเองไม่ได้อยู่ก่อนแต่ง แต่ไม่ได้ขัดข้องอะไรถ้าคนใกล้ตัวจะมีชีวิตอยู่ก่อนแต่ง เพราะมันแล้วแต่ความพร้อม คือเราว่าถ้ารับผิดชอบตัวเองได้ และไม่มีผลกระทบกับชีวิตหรือครอบครัว ก็อยู่ได้ค่ะ บางคู่เขาก็เป็นการลดค่าใช้จ่ายเช่นมาทำงานที่กรุงเทพ หรือคนไทยไปเรียนต่างประเทศ อยู่ด้วยกันก็ประหยัดกว่าจะได้เก็บเงินแต่งงาน อย่างนี้ก็มี
ส่วนตัวเราที่ไม่เคยคิดจะเลือกอยู่ก่อนแต่งนั้น ไม่ได้มีเหตุผลเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีอะไรเลยค่ะ เป็นความคิดของเราล้วนๆ ที่ว่าถ้ารักษาระยะห่างสักหน่อย มีช่องว่างระหว่างสถานะก่อนจะร่วมหอลงโรงกัน เขาจะมีเวลาคิดถึงเราหรือรู้สึกต้องการเรามากกว่ารู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวก็เจอกันเสมอ อีกอย่างหากเขาต้องการเราในฐานะ"ภรรยา" ก็ต้องให้เราเป็นภรรยาเต็มตัว ไม่ใช่แค่ทางพฤตินัย คือหากเขาเห็นแล้วว่าเรามีคุณค่าและคุณสมบัติเหมาะสมจะทำหน้าที่ "ภรรยา" จะให้เราดูแลหุงหาอาหารป้อนข้าวป้อนน้ำ รวมถึงกิจกรรมบนเตียง และการเป็นเพื่อนคู่คิดตอลด 24 ชั่วโมง เขาก็ต้องโปรโมตยกฐานะเราจากแฟนเป็นภรรยาให้ชัดเจนค่ะ ส่วนตัวเรามีเส้นแบ่งตรงนี้
แม้แต่ฝรั่งเองก็ประสบปัญหาอยู่กันแล้วผู้ชายไม่ยอมแต่ง นานไปผู้หญิงก็เกิดอาการนอยด์คือทำไมไม่แต่งกับฉันซะที ในขณะที่ผู้ชายคิดว่าจะแต่งทำไม อยู่แบบนี้ก็มีความสุขและรักกันดีอยู่แล้ว (ซึ่งก็ไม่ผิดนะคะ ถ้าชีวิตเราไม่รู้สึกขาดสิ่งใดเราก็ไม่คิดจะลุกมาเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน คือผู้ชายเขาไม่ได้คิดว่าเป็นการเอาเปรียบ เพียงแต่ชีวิตที่อยู่กันมันก็ดีอยู่แล้วจริงๆนี่นา) ซึ่งในกรณีแบบนี้หลายๆครั้งที่ปรึกษาด้านชีวิตคู่ก็ให้คำแนะนำให้แยกกันอยู่ ไม่ใช่เลิกกันนะคะ แต่แยกที่อยู่กัน ซึ่งเมื่อฝ่ายชายรู้สึกว่าสิ่งที่ต้องการขาดไป และสิ่งที่เขาต้องการคือต้องการจากผู้หญิงที่เขารักเท่านั้น เขาก็จะคิดถึงการแต่งงานขึ้นมาเอง
บางทีการแต่งงานไม่ได้สำคัญแค่ด้านกฎหมายหรือหน้าตาทางสังคมหรอกค่ะ แต่มันหมายถึงความมั่นคงทางจิตใจของฝ่ายหญิง(บางคนนะคะ ไม่ได้เหมารวม แฟมินิสต์เว้นเราไว้คนเหอะนะอย่าพึ่งจวกยับ) ดังนั้นจะบอกว่าอยู่ก่อนแต่งหรือแต่งก่อนอยู่อะไรดีกว่ากันก็คงต้องถามความพึงพอใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องน่าจะดีกว่าค่ะ
ป.ล. แต่ถ้าแค่อยากอยู่ด้วยกันโดยไม่มีเหตุผล วุฒิภาวะไม่มี มีแต่ความรักความหลง อารมณ์ปรารถนาจะอยู่ใกล้ชิดกัน ซึ่งมักพบในวัยรุ่นไทย เราค้านหัวชนฝาค่ะ ถ้ายังรับผิดชอบชีวิตอย่างเด็กวัยรุ่นฝรั่งไม่ได้ ประเทศยังไม่มีกฎหมายและสวัสดิการสังคมรองรับที่ดีก็อย่าได้แหยมมาอ้างฝรั่ง อ้างแต่ปาก อ้างแต่สิ่งที่อยากได้อยากมี ทีเด็กฝรั่งเขาทำมาหากินเองเลี้ยงตัวเองจริงจังไม่เห็นจะคิดเอาอย่าง คิดเอาแต่ที่อยากได้ นี่คือคนไร้วุฒิภาวะค่ะ
ความคิดเห็นที่ 19
คนสมัยก่อนแต่งก่อนอยู่ทั้งนั้น ไม่เห็นมีคู่ไหนที่เลิกกันง่ายๆเหมือนสมัยนี้เลย
การอยู่ก่อนแต่งไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าจะไม่เลิกกัน และการแต่งงานไม่ได้ตัวบ่งบอกที่ไม่ให้เลิกกัน
ดังนั้นเป็นผู้หญิงไหนๆจะเสียตัวให้ผู้ชายแล้ว ควรที่เขาจะเห็นค่า
การที่ผู้ชายจะเห็นค่าได้นั้นต้องแลกมาด้วยความยากลำบาก ในการหาเงินเพื่อมาขอผู้หญิง
ถ้าสิ่งไหนได้มาฟรีๆ เขาจะไม่เห็นค่าของตัวผู้หญิงคนนั้นเลย
สิ่งไหนที่แลกมาด้วยความเหนื่อย สิ่งนั้นเขาจะหวง จะผู้หญิงจะเห็นใจผู้ชายที่ตนรักมากขึ้น
การอยู่ก่อนแต่งไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าจะไม่เลิกกัน และการแต่งงานไม่ได้ตัวบ่งบอกที่ไม่ให้เลิกกัน
ดังนั้นเป็นผู้หญิงไหนๆจะเสียตัวให้ผู้ชายแล้ว ควรที่เขาจะเห็นค่า
การที่ผู้ชายจะเห็นค่าได้นั้นต้องแลกมาด้วยความยากลำบาก ในการหาเงินเพื่อมาขอผู้หญิง
ถ้าสิ่งไหนได้มาฟรีๆ เขาจะไม่เห็นค่าของตัวผู้หญิงคนนั้นเลย
สิ่งไหนที่แลกมาด้วยความเหนื่อย สิ่งนั้นเขาจะหวง จะผู้หญิงจะเห็นใจผู้ชายที่ตนรักมากขึ้น
แสดงความคิดเห็น
อยู่ก่อนแต่งหรือแต่งก่อนอยู่ ค่านิยมแบบไหนดีกว่ากันในสังคมปัจจุบัน
ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปจนทุกวันนี้เราไม่สามารถปฎิเสธได้เลยว่ามีหลายคู่ที่ได้ใช้รูปแบบการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก่อนที่จะมีการแต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณี หรือที่เรียกว่า อยู่ก่อนแต่ง ทดลองอยู่ด้วยกัน หรือจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ โดยเชื่อว่าหลายคู่ที่ตัดสินใจอยู่ก่อนแต่งส่วนหนึ่งเพราะต้องการ ได้เรียนรู้นิสัย ซึ่งกันและกันก่อน บางคนอาจจะแย้งว่า คบกันก่อน ก็เรียนรู้นิสัยกันได้ แต่แน่นอน ว่า ไม่มีทางเรียนรู้นิสัย เหมือนกับการได้อยู่ด้วยกันเกือบจะทุกวันทุกคืนหรอก ได้ใช้เวลาในการปรับตัว แน่นอนว่าการใช้ชีวิตอยู่กับใครสักคนนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย มันย่อมต้องใช้เวลาในการปรับตัวเป็นธรรมดา และสิ่งสำคัญ ถ้าถึงที่สุดแล้ว ไปกันไม่ได้ ย่อมเลิกกันง่ายกว่า คู่ที่แต่งงานกัน โดยที่เรายังไม่ต้องใช้คำว่าพ่อหม้าย แม่หม้าย แต่การอยู่ก่อนแต่งก็ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆไม่สามารถเปิดเผยสถานะความสัมพันธ์ให้กับสังคมได้รับรู้มากนัก
ส่วนการแต่งก่อนอยู่ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องอยู่แบบหลบๆซ่อนๆจากสังคมร่วมทั้งยังเป็นการประกาศให้สังคมรับรู้ว่าฉันแต่งงานแล้วนะสามารถสร้างครอบครัวได้อย่างเปิดเผยไม่ต้องกลัวชาวบ้านนินทา แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวเข้ากันนานกว่าคนที่อยู่ก่อนแต่ง
จึงอยากส่วนทุกคนมาร่วมกันถกเถียง รวมทั้งอาจจะแชร์เรื่องราวทั้ง 2 มุมมอง เพื่อสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในสังคม