สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 16
ผลวิจัยของฝรั่งเจ้าของตำหรับอยู่ก่อนแต่งยังยืนยันว่า การอยู่ก่อนแต่ง โอกาสเลิกกันมากกว่าแต่งก่อนอยุ่ เพราะผู้หญิงและ ผู้ชายยังไม่รู้สึก
ถึงหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะครอบครัวเหมือนคู่ที่แต่งงานแล้ว
ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่านะ แต่ผมว่า ค่านิยมอยู่ก่อนแต่งนี่แหละ ที่เป็นต้นเหตุทำให้ผู้หญิงสมัยนี้เหลือเป็นโสดไม่ได้แต่งงานกันเยอะเลย
ที่เห็นโสดๆไม่ใช่เพราะไม่มีใครเอา แต่โดยมากก็ผ่านประสบการณ์อยู่ก่อนแต่งมากับแฟนมาแล้วทั้งนั้น แต่ไปด้วยกันไม่ได้ แล้วก็อยู่กันเพลิน
ดันมาเลิกกันตอนวิกฤต คือช่วงที่ผู้หญิงอายุเริ่มมาก ความสวยความสาวเริ่มร่วงโรย หาคนใหม่จริงใจด้วยลำบาก เวลาก็เหลือไม่มาก
คนรุ่นเดียวกันก็ทะยอยแต่งงานไปกัดหมด รุ่นน้องก็ไม่จริงใจ กลายเป็นการอยู่ก่อนแต่งกับผู้ชายซักคนนานๆเป็นการตัดโอกาสชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าอยู่ก่อนแต่งมันดีจริงอย่างว่า เราคงไม่พบเห็นการแต่งงานสายฟ้าแลบของเจ้าสาววัยใกล้ 30 หรือ 30 ต้นกับแฟนใหม่ที่คบกันได้ไม่นานบางคู่ยังไม่ทันได้ศึกษากันดีเลยก็แต่งกันแล้ว เพราะ ไม่มีเวลาอยู่ก่อนแต่งแล้วนั่นเอง อีกนัยยะหนึ่ก็หมายความว่าอยู่ก่อนแต่งไม่ใช่เรื่องจำเป็น
ในความเห็นผมค่านิยมนี้ข้อดีตกอยู่ที่ผู้ชาย มีแต่ได้ กับได้ ไม่เป็นขี้ปากชาวบ้าน ไม่สึกหรอ ไม่มีลิมิตเรื่องเวลาทองของชีวิตเหมือนผู้หญิง
ส่วนผู้หญิงมีแต่เสียกับเสีย พ่อแม่ ต้องพลอยรับขี้ปากชาวบ้านไปด้วย และ ผู้หญิงมีข้อจำกัดเรื่องเวลาในการหาคู่และตั้งครรภ์
อีกทั้งทันทีที่ตัดสินใจอยู่ก่อนแต่ง อำนาจในการต่อรองว่าจะแต่งกันเมื่อไหร่เหมือนจะสวิงจากฝ่ายหญิงมาอยู่ที่ฝ่ายชายแทน ผู้หญิงเหมือนเสีย
อำนาจต่อรองตรงนี้ไปกลายเป็นแล้วแต่ผู้ชายมันคิดจะแต่งเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแทน
ทั้งๆที่เสียเปรียบเห็นๆ ทุกกรณี แต่ก็แปลกที่ฝ่ายเรียกร้องขออยู่ก่อนแต่งอย่างเท่าเทียมกันกับผู้ชายดันเป็นผู้หญิงเรียกร้องซะเอง
อีกประการ ค่านิยมอยู่ก่อนแต่ง ผมว่าขัดแย้งกับค่าประเพณีสินสอดอย่างรุนแรง เพราะกลายเป็นว่าผู้ชายคนแรก คนที่สอง สามที่อยู่กิน
กับผู้หญิงไม่ต้องเสียค่าสินสอดให้พ่อแม่ผู้หญิงซักแดง เรียกว่าฟรีตลอดงาน คนที่ต้องเสียเงินตรงนี้คือผู้ชายคนสุดท้ายทีจะแต่งงานด้วย
ประเพณีสินสอดจึงควรเลิกไป หรือ ไม่ก็เปลี่ยนชื่อประเพณีเป็น ประเพณี คนสุดท้ายจ่ายตังค์ด้วย แทน
ถึงหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะครอบครัวเหมือนคู่ที่แต่งงานแล้ว
ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่านะ แต่ผมว่า ค่านิยมอยู่ก่อนแต่งนี่แหละ ที่เป็นต้นเหตุทำให้ผู้หญิงสมัยนี้เหลือเป็นโสดไม่ได้แต่งงานกันเยอะเลย
ที่เห็นโสดๆไม่ใช่เพราะไม่มีใครเอา แต่โดยมากก็ผ่านประสบการณ์อยู่ก่อนแต่งมากับแฟนมาแล้วทั้งนั้น แต่ไปด้วยกันไม่ได้ แล้วก็อยู่กันเพลิน
ดันมาเลิกกันตอนวิกฤต คือช่วงที่ผู้หญิงอายุเริ่มมาก ความสวยความสาวเริ่มร่วงโรย หาคนใหม่จริงใจด้วยลำบาก เวลาก็เหลือไม่มาก
คนรุ่นเดียวกันก็ทะยอยแต่งงานไปกัดหมด รุ่นน้องก็ไม่จริงใจ กลายเป็นการอยู่ก่อนแต่งกับผู้ชายซักคนนานๆเป็นการตัดโอกาสชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าอยู่ก่อนแต่งมันดีจริงอย่างว่า เราคงไม่พบเห็นการแต่งงานสายฟ้าแลบของเจ้าสาววัยใกล้ 30 หรือ 30 ต้นกับแฟนใหม่ที่คบกันได้ไม่นานบางคู่ยังไม่ทันได้ศึกษากันดีเลยก็แต่งกันแล้ว เพราะ ไม่มีเวลาอยู่ก่อนแต่งแล้วนั่นเอง อีกนัยยะหนึ่ก็หมายความว่าอยู่ก่อนแต่งไม่ใช่เรื่องจำเป็น
ในความเห็นผมค่านิยมนี้ข้อดีตกอยู่ที่ผู้ชาย มีแต่ได้ กับได้ ไม่เป็นขี้ปากชาวบ้าน ไม่สึกหรอ ไม่มีลิมิตเรื่องเวลาทองของชีวิตเหมือนผู้หญิง
ส่วนผู้หญิงมีแต่เสียกับเสีย พ่อแม่ ต้องพลอยรับขี้ปากชาวบ้านไปด้วย และ ผู้หญิงมีข้อจำกัดเรื่องเวลาในการหาคู่และตั้งครรภ์
อีกทั้งทันทีที่ตัดสินใจอยู่ก่อนแต่ง อำนาจในการต่อรองว่าจะแต่งกันเมื่อไหร่เหมือนจะสวิงจากฝ่ายหญิงมาอยู่ที่ฝ่ายชายแทน ผู้หญิงเหมือนเสีย
อำนาจต่อรองตรงนี้ไปกลายเป็นแล้วแต่ผู้ชายมันคิดจะแต่งเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแทน
ทั้งๆที่เสียเปรียบเห็นๆ ทุกกรณี แต่ก็แปลกที่ฝ่ายเรียกร้องขออยู่ก่อนแต่งอย่างเท่าเทียมกันกับผู้ชายดันเป็นผู้หญิงเรียกร้องซะเอง
อีกประการ ค่านิยมอยู่ก่อนแต่ง ผมว่าขัดแย้งกับค่าประเพณีสินสอดอย่างรุนแรง เพราะกลายเป็นว่าผู้ชายคนแรก คนที่สอง สามที่อยู่กิน
กับผู้หญิงไม่ต้องเสียค่าสินสอดให้พ่อแม่ผู้หญิงซักแดง เรียกว่าฟรีตลอดงาน คนที่ต้องเสียเงินตรงนี้คือผู้ชายคนสุดท้ายทีจะแต่งงานด้วย
ประเพณีสินสอดจึงควรเลิกไป หรือ ไม่ก็เปลี่ยนชื่อประเพณีเป็น ประเพณี คนสุดท้ายจ่ายตังค์ด้วย แทน
แสดงความคิดเห็น
ข้อดีของการอยู่ก่อนแต่งมีอะไรบ้าง ช่วยแชร์กันหน่อยนะ
แต่ส่วนมากไม่ค่อยมีใครมาบอกข้อดีของการอยู่ก่อนแต่งเลยทั้งๆที่มันก็มีนะ
เช่นเคยไปอ่านเจอมาว่า มีคู่หนึ่งต้องหย่าหลังแต่งกันเพราะว่าเซ็กของฝ่ายชายเป็นคนมีรสนิยมซาดิส
หรือ สาเหตุที่ว่ามารู้ที่หลังว่าฝ่ายชายเป็นคนสกปรกไม่ บางทีเรื่องกิ๊กๆก็อกๆก็ทำให้เราเลิกกันได้ถ้าไม่เคยอยู่ด้วยกันก่อนแต่ง