[CR] เที่ยวเหนือ 9 วันแห่งความสุข ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ (กำแพงเพชร-ตาก-แม่ฮ่องสอน-เชียงใหม่) Part 4

สวัสดีครับเพื่อนเพื่อนชาวบลู  มาต่อกันเลยกับรีวิวท่องเที่ยวเหนือส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2557 ในวันที่ 4 ของการเดินทาง  หลังจากที่ได้นำเสนอรีวิว part 1-3 ไปแล้ว (วันที่ 1(http://ppantip.com/topic/31545621)   วันที่ 2(http://ppantip.com/topic/31550088)  และวันที่ 3(http://ppantip.com/topic/31559445))  หัวใจ

เกริ่นนำสักหน่อย สำหรับวันแรกพวกเราหลังจากออกจากกรุงเทพฯ ก็มุ่งหน้าสู่ จ.กำแพงเพชร พักค้างแรมที่"อุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า"  วันที่ 2 เที่ยว"อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร"ในช่วงเช้า และออกเดินทางมากางเต็นท์ที่ "อุทยานแห่งชาติแม่เมย"จ.ตาก  ส่วนวันที่ 3 ชมทะเลหมอกยามเช้าที่"ม่อนพูนสุดา"และ"ม่อนครูบาใส" 2 จุดชมทะเลหมอกของ"อุทยานแห่งชาติแม่เมย" ช่วงบ่ายออกเดินทางไป อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ แวะอาบน้ำแร่ที่ "บ่อน้ำร้อนเทพพนม"เม่าออกรถ

วันที่ 4 (วันพุธที่ 1 มกราคม 2557) มนต์เมืองแจ่ม อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ - ภูชี้เพ้อ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน สำหรับวันที่ 4 หลังจากที่เมื่อคืนไม่ได้ไปสวดมนต์ข้ามปีเพราะเริ่มรู้สึกว่าจะเป็นไข้  กินยาแล้วก็นอนแต่หัวค่ำ  เช้าวันนี้ตั้งใจว่าจะไปยังจุดชมวิวแห่งหนึ่งของ อ.แม่แจ่ม ที่ชื่อว่า"จุดชมวิวบ้านบนนา"ซึ่งเคยได้อ่านหลายหลายรีวิวว่าที่จุดชมวิวแห่งนี้เป็นที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกที่สวยงามแห่งหนึ่งของ อ.แม่แจ่ม นอกจาก"จุดชมวิวนาขั้นบันไดบ้านกองกาน"  แต่พอเปิดเต็นท์ออกมาหลังจากตื่นนอนในเวลาประมาณเกือบหกโมงเช้า  แว๊บแรกที่โผล่หัวออกมานอกเต็นท์ นอกจากท้องฟ้าที่ยังไม่สว่างแล้วรอบรอบบริเวณยังปกคลุมไปด้วยหมอกที่ฟุ้งกระจายไปทั่วพื้นที่  จนไม่สามารถมองเห็นวิวอะไรได้เกิน 5 เมตรด้วย  สรุปแล้วแผนการที่จะขับรถไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกสวยสวยที่ "จุดชมวิวบ้านบนนา"ก็เป็นอันต้องพับเก็บไว้ไปอีกหนึ่งโปรแกรม อมยิ้ม08

หดหัวกลับเข้าเต็นท์แล้วก็นอนเล่นกลิ้งไปกลิ้งมาประมาณครึ่งชั่วโมง  แล้วก็ลุกออกจากเต็นท์มาเก็บภาพวิวสลัวสลัวเพื่อเป็นการฆ่าเวลาดีกว่า


อากาศด้านนอกเต็นท์ยังคงหนาวเหน็บอยู่  หมอกที่กระจายอยู่ทุกหนแห่งยิ่งทำให้บรรยากาศน่านอนมากขึ้นแต่ก็เป็นบรรยากาศที่สวยงามแปลกตาไปอีกแบบ






ดอกไม้สวยกับบรรยากาศเหงาเหงา เข้ากันได้ดี


บ้านพัก 3 หลังของ"มนต์เมืองแจ่ม" ราคาหลังละ 1,000 บาท


กระต๊อบหลังเล็ก 2 หลัง ราคา 500-600 บาท


บริเวณลานกางเต็นท์ไล่ระดับกันลงมา  ถ้าเป็นเต็นท์ของที่รีสอร์ทคิดหลังละ 300 บาท แต่ถ้านำเต็นท์มาเองคิดคนละ 100 บาท


หลังจากเดินเก็บบรรยากาศสักพัก คุณผู้หญิงก็เพิ่งโผล่หัวออกมาทักทาย good morning


จากนั้นก็ชวนออกมาถ่ายรูปกัน


บรรยากาศแบบนี้เข้ากับเพิงไม้ไผ่แบบนี้จัง


คุณผู้หญิงนั่งไปก็บ่นไป หนาวอย่างโน้นหนาวอย่างนี้


ขอรูปคู่สักคู่ ใส่กางเกงลานสก๊อตเหมือนกันด้วย


มีเก้าอี้สีสวยให้เป็นพล๊อบถ่ายรูปและนั่งพักผ่อนกลางแจ้งอีกด้วย


ไม่นานอาหารเช้าของพวกเราก็มามี ข้าวต้มหมูร้อนร้อน ไข่ต้ม และกาแฟร้อน สามารถเติมได้ถ้าไม่อิ่มนะครับ




หลังจากกินอาหารเช้าท่ามกลางบรรยากาศหนาวหนาวจะอิ่มหนำสำราญ  พวกเราก็เริ่มขยับตัวไปทำกิจวัตรประจำวัน อาบน้ำล้างหน้าแล้วก็แต่งตัวเตรียมเดินทางกันต่อ  พอทุกอย่างพร้อมท้องฟ้าก็เริ่มเปิดเริ่มมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้กว้างไกลมากขึ้นแล้ว ก็เลยขอเก็บภาพอีกสักพัก






แล้วเมื่อได้เวลาก็เดินทางออกจาก"มนต์เมืองแจ่ม" เข้าสู่ตัวอำเภอแม่แจ่ม  แวะไหว้พระที่"วัดพุทธเอิ้น"


"วัดพุทธเอิ้น"ตามประวัติได้ก่อสร้างในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เมื่อ 200 กว่าปีมาแล้ว


มีโบราณสถานซึ่งขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรแล้วคือ “โบสถ์น้ำ” ลักษณะคือสร้างในสระสี่เหลี่ยมโดยปักเสาลงในน้ำล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลง


บริเวณรอบโบสถ์จนถึงกำแพงเรียกว่า “อุทกสีมา” มีความหมายเหมือนกับ “ขันทสีมา” ของโบสถ์บนบก โบสถ์น้ำนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรแล้ว


บริเวณด้านหลังโบสถ์น้ำมีวิหารเก่าแก่ ซึ่งภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างสกุลไทยใหญ่ ปัจจุบันหลงเหลือเพียงภาพเดียว เหนือประตูทางเข้า




องค์พระประธานในวิหาร


ด้านหลังวิหารเป็นที่ประดิษฐานของ"เจดีย์ 12 นักษัตร"


นอกจากนี้ด้านหน้าของ"วัดพุทธเอิ้น"ยังมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่เคารพและเชื่อถือจากชาวเมืองแม่แจ่ม


หลังจากไหว้พระขอพร ณ "วัดพุทธเอิ้น"เรียบร้อย  พวกเราก็เดินทางต่อจุดหมายปลายทางอยู่"หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด"ที่ตั้งอยู่ที่ อ.ขุนยวม  จ.แม่ฮ่องสอน  ซึ่งมีเส้นทางที่ตัดจาก อ.แม่แจ่ม มุ่งหน้าสู่ อ.ขุนยวม ได้เลยระยะทางประมาณ 90 กว่ากิโลเมตร  หลังจากขับรถมาได้ประมาณครึ่งทางก็แวะจอดรถกินกาแฟและเข้าห้องน้ำ  เป็นร้านกาแฟที่มีห้องพักวิวสวยให้บริการด้วยแถมราคาก็ไม่แพงเมื่อเทียบกับวิวทิวทัศน์ที่ได้รับ(ราคาห้อง 300 บาท)


ห้องพักมีอยู่ 2 ห้อง ระเบียงด้านหน้าห้องพักยื่นออกไปด้านนอก ได้ชมวิวกว้างไกลสุดสายตา




แอบขอเข้าไปถ่าย  เป็นอีกที่ที่น่าสนใจถ้าเผื่อได้แวะขับรถมาเส้นทางนี้


หลังจากพักรถพักคนกันสักพักก็เดินทางกันต่อ  มาหยุดอีกทีที่"จุดชมวิว"ระหว่างทาง


ดอกไม้สวยแต่เริ่มร่วงโรยแล้ว


ภาพมุมกว้างของจุดชมวิวแห่งนี้


จากนั้นก็ขับรถต่อมาอีกหน่อยก็แวะซื้อ"สตอเบอรี่"สดสดจากไร่ชาวบ้าน  ราคามีตั้งแต่ 150-170-180 บาทแล้วแต่ขนาด  พวกเราเลือกแบบกลางกลาง 170 บาทต่อถุง แถมลองชิมไปหลายลูกอยู่เหมือนกัน  หลังจากซื้อสตอเบอรี่เสร็จก็สอบถามทางว่าจากจุดนี้ไปจนถึงเป้าหมายระยะทางอีกไกลมากน้อยแค่ไหน  น้องคนขายบอกว่าวิ่งไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตรแล้วเลี้ยวขวาไปตามทางที่จะไป"ทุ่งดอกบัวตองแม่อูคอ"วิ่งไปอีกประมาณสิบกว่ากิโลเมตรก็ถึงแล้วครับ


พวกเราขับรถตามเส้นทางที่บอกไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็มาถึงปากทางเข้า"หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด"อยู่ทางขวามือ  จากปากทางวิ่งไปตามถนนลูกรังที่ปรับถนนได้ค่อนข้างเรียบแต่เส้นทางค่อนข้างคับแคบระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร  ระหว่างทางที่ขับขึ้นไปยัง"หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด"นั้นวิวทิวทัศน์สุดยอดจริงจริง




แค่ทางเข้าก็สุดยอดจริงจริงครับ


แล้วก็ถึงแล้วครับ"หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด"


จอดรถแล้วไปที่ที่ทำการหน่วยฯ เพื่อติดต่อขอเข้าพัก  เผอิญวันที่ไปเป็นวันที่ 1 มกราคมซึ่งเป็นวันปีใหม่ เจ้าหน้าที่หลายคนจึงหยุดงานเพื่อกลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้าน  เหลือเพียงพี่เจ้าหน้าที่คนเดียวที่อยู่ในที่ทำการ  หลังจากพูดคุยกับพี่เจ้าหน้าที่ก็ได้ความว่า หาทำเลที่พักกางเต็นท์ได้ตามสบาย  ค่าขอใช้พื้นที่ก็แล้วแต่จะบริจาค  เมื่อได้ความดังนั้นพวกเราก็เดินสำรวจพื้นที่หาทำเลเพื่อกางเต็นท์กัน  ระหว่างสำรวจพื้นที่อยู่ได้เจอกับพี่พี่ที่มาถึงที่นี่ก่อนหน้าพวกเรา  ได้พูดคุยกันแล้วขอพี่พี่เค้ากลางเต็นท์ใกล้ใกล้กับที่พักของพวกพี่เค้า คุยไปคุยมาพี่ผู้หญิงทักว่าเคยเห็นพวกเราใน pantip ก็เลยคุยกันอย่างคนคอเดียว  ซึ่งพวกเราก็ได้รับไมตรีจิตและความกรุณาหลายอย่างจากพี่ทั้งหมดเป็นอย่างดี  นี่แหละครับ"มิตรภาพระหวางการเดินทาง"  ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้นะครับ พี่ CHIBA และพี่ผู้หญิง(ขอสงวนนามไว้เพื่อเป็นการส่วนตัวนะครับ)

ระเบียงชมวิว


จากตรงที่พวกเรากางเต็นท์สามารถซูมกล้องเห็นบริเวณทุ่งดอกบัวตองแม่อูคอได้อย่างชัดเจน  ถึงแม้ว่าในเวลานี้จะล่วงเลยเวลาแห่งความสวยงามของดอกบัวตองแล้วแต่ที่นั่นก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนไปชมกันอย่างต่อเนื่อง


ต้นสนกับวิวสวย




เส้นคลื่นแห่งขุนเขา


ร่องรอยแห่งความสวยงามของ"ดอกบัวตอง"


หลังจากทำการกางเต็นท์เสร็จ  พี่พี่เค้าก็ชวนขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวด้านบนที่ถูกตั้งชื่อว่า"ภูชี้เพ้อ" กัน  พวกเรารีบหยิบกล้องแล้วก็เดินตามพี่เค้าขึ้นไป  เส้นทางเดินขึ้นไปยัง"ภูชี้เพ้อ"ถึงจะสูงชันแต่ก็มีขั้นบันไดให้เดินได้แบบสบายสบาย


พระอาทิตย์ไล่หลังพวกเรามาแล้ว


วันนี้ขอจบรีวิว Part นี้ไว้เพียงเท่านี้ก่อนดีกว่าเพราะอยากให้เพื่อนเพื่อนได้เห็นความงามของ"ภูชี้เพ้อ"แห่งนี้ทั้งตอนพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้นแบบเต็มเต็มในรีวิวหน้า  ยอมรับเลยว่าที่นี่สวยถึงสวยที่สุดตั้งแต่เป็นนักเดินทางท่องเที่ยวมา ไว้พบกันในรีวิวหน้ารับรองว่ารูปที่เห็นยังสวยได้ไม่ถึงครึ่งกับสิ่งที่พวกเราได้เห็นกับตา อย่าลืมติดตามกันนะครับ
ชื่อสินค้า:   ท่องเที่ยวไทย ภาคเหนือ
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่