สวัสดีครับเพื่อนเพื่อนชาวบลู มาต่อกันเลยกับรีวิวท่องเที่ยวเหนือส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2557 ในวันที่ 4 ของการเดินทาง หลังจากที่ได้นำเสนอรีวิว part 1-3 ไปแล้ว (วันที่ 1(
http://ppantip.com/topic/31545621) วันที่ 2(
http://ppantip.com/topic/31550088) และวันที่ 3(
http://ppantip.com/topic/31559445))
เกริ่นนำสักหน่อย สำหรับวันแรกพวกเราหลังจากออกจากกรุงเทพฯ ก็มุ่งหน้าสู่ จ.กำแพงเพชร พักค้างแรมที่"อุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า" วันที่ 2 เที่ยว"อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร"ในช่วงเช้า และออกเดินทางมากางเต็นท์ที่ "อุทยานแห่งชาติแม่เมย"จ.ตาก ส่วนวันที่ 3 ชมทะเลหมอกยามเช้าที่"ม่อนพูนสุดา"และ"ม่อนครูบาใส" 2 จุดชมทะเลหมอกของ"อุทยานแห่งชาติแม่เมย" ช่วงบ่ายออกเดินทางไป อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ แวะอาบน้ำแร่ที่ "บ่อน้ำร้อนเทพพนม"
วันที่ 4 (วันพุธที่ 1 มกราคม 2557) มนต์เมืองแจ่ม อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ - ภูชี้เพ้อ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน สำหรับวันที่ 4 หลังจากที่เมื่อคืนไม่ได้ไปสวดมนต์ข้ามปีเพราะเริ่มรู้สึกว่าจะเป็นไข้ กินยาแล้วก็นอนแต่หัวค่ำ เช้าวันนี้ตั้งใจว่าจะไปยังจุดชมวิวแห่งหนึ่งของ อ.แม่แจ่ม ที่ชื่อว่า"จุดชมวิวบ้านบนนา"ซึ่งเคยได้อ่านหลายหลายรีวิวว่าที่จุดชมวิวแห่งนี้เป็นที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกที่สวยงามแห่งหนึ่งของ อ.แม่แจ่ม นอกจาก"จุดชมวิวนาขั้นบันไดบ้านกองกาน" แต่พอเปิดเต็นท์ออกมาหลังจากตื่นนอนในเวลาประมาณเกือบหกโมงเช้า แว๊บแรกที่โผล่หัวออกมานอกเต็นท์ นอกจากท้องฟ้าที่ยังไม่สว่างแล้วรอบรอบบริเวณยังปกคลุมไปด้วยหมอกที่ฟุ้งกระจายไปทั่วพื้นที่ จนไม่สามารถมองเห็นวิวอะไรได้เกิน 5 เมตรด้วย สรุปแล้วแผนการที่จะขับรถไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกสวยสวยที่ "จุดชมวิวบ้านบนนา"ก็เป็นอันต้องพับเก็บไว้ไปอีกหนึ่งโปรแกรม
หดหัวกลับเข้าเต็นท์แล้วก็นอนเล่นกลิ้งไปกลิ้งมาประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วก็ลุกออกจากเต็นท์มาเก็บภาพวิวสลัวสลัวเพื่อเป็นการฆ่าเวลาดีกว่า
อากาศด้านนอกเต็นท์ยังคงหนาวเหน็บอยู่ หมอกที่กระจายอยู่ทุกหนแห่งยิ่งทำให้บรรยากาศน่านอนมากขึ้นแต่ก็เป็นบรรยากาศที่สวยงามแปลกตาไปอีกแบบ
ดอกไม้สวยกับบรรยากาศเหงาเหงา เข้ากันได้ดี
บ้านพัก 3 หลังของ"มนต์เมืองแจ่ม" ราคาหลังละ 1,000 บาท
กระต๊อบหลังเล็ก 2 หลัง ราคา 500-600 บาท
บริเวณลานกางเต็นท์ไล่ระดับกันลงมา ถ้าเป็นเต็นท์ของที่รีสอร์ทคิดหลังละ 300 บาท แต่ถ้านำเต็นท์มาเองคิดคนละ 100 บาท
หลังจากเดินเก็บบรรยากาศสักพัก คุณผู้หญิงก็เพิ่งโผล่หัวออกมาทักทาย good morning
จากนั้นก็ชวนออกมาถ่ายรูปกัน
บรรยากาศแบบนี้เข้ากับเพิงไม้ไผ่แบบนี้จัง
คุณผู้หญิงนั่งไปก็บ่นไป หนาวอย่างโน้นหนาวอย่างนี้
ขอรูปคู่สักคู่ ใส่กางเกงลานสก๊อตเหมือนกันด้วย
มีเก้าอี้สีสวยให้เป็นพล๊อบถ่ายรูปและนั่งพักผ่อนกลางแจ้งอีกด้วย
ไม่นานอาหารเช้าของพวกเราก็มามี ข้าวต้มหมูร้อนร้อน ไข่ต้ม และกาแฟร้อน สามารถเติมได้ถ้าไม่อิ่มนะครับ
หลังจากกินอาหารเช้าท่ามกลางบรรยากาศหนาวหนาวจะอิ่มหนำสำราญ พวกเราก็เริ่มขยับตัวไปทำกิจวัตรประจำวัน อาบน้ำล้างหน้าแล้วก็แต่งตัวเตรียมเดินทางกันต่อ พอทุกอย่างพร้อมท้องฟ้าก็เริ่มเปิดเริ่มมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้กว้างไกลมากขึ้นแล้ว ก็เลยขอเก็บภาพอีกสักพัก
แล้วเมื่อได้เวลาก็เดินทางออกจาก"มนต์เมืองแจ่ม" เข้าสู่ตัวอำเภอแม่แจ่ม แวะไหว้พระที่"วัดพุทธเอิ้น"
"วัดพุทธเอิ้น"ตามประวัติได้ก่อสร้างในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เมื่อ 200 กว่าปีมาแล้ว
มีโบราณสถานซึ่งขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรแล้วคือ “โบสถ์น้ำ” ลักษณะคือสร้างในสระสี่เหลี่ยมโดยปักเสาลงในน้ำล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลง
บริเวณรอบโบสถ์จนถึงกำแพงเรียกว่า “อุทกสีมา” มีความหมายเหมือนกับ “ขันทสีมา” ของโบสถ์บนบก โบสถ์น้ำนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรแล้ว
บริเวณด้านหลังโบสถ์น้ำมีวิหารเก่าแก่ ซึ่งภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างสกุลไทยใหญ่ ปัจจุบันหลงเหลือเพียงภาพเดียว เหนือประตูทางเข้า
องค์พระประธานในวิหาร
ด้านหลังวิหารเป็นที่ประดิษฐานของ"เจดีย์ 12 นักษัตร"
นอกจากนี้ด้านหน้าของ"วัดพุทธเอิ้น"ยังมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่เคารพและเชื่อถือจากชาวเมืองแม่แจ่ม
หลังจากไหว้พระขอพร ณ "วัดพุทธเอิ้น"เรียบร้อย พวกเราก็เดินทางต่อจุดหมายปลายทางอยู่"หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด"ที่ตั้งอยู่ที่ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งมีเส้นทางที่ตัดจาก อ.แม่แจ่ม มุ่งหน้าสู่ อ.ขุนยวม ได้เลยระยะทางประมาณ 90 กว่ากิโลเมตร หลังจากขับรถมาได้ประมาณครึ่งทางก็แวะจอดรถกินกาแฟและเข้าห้องน้ำ เป็นร้านกาแฟที่มีห้องพักวิวสวยให้บริการด้วยแถมราคาก็ไม่แพงเมื่อเทียบกับวิวทิวทัศน์ที่ได้รับ(ราคาห้อง 300 บาท)
ห้องพักมีอยู่ 2 ห้อง ระเบียงด้านหน้าห้องพักยื่นออกไปด้านนอก ได้ชมวิวกว้างไกลสุดสายตา
แอบขอเข้าไปถ่าย เป็นอีกที่ที่น่าสนใจถ้าเผื่อได้แวะขับรถมาเส้นทางนี้
หลังจากพักรถพักคนกันสักพักก็เดินทางกันต่อ มาหยุดอีกทีที่"จุดชมวิว"ระหว่างทาง
ดอกไม้สวยแต่เริ่มร่วงโรยแล้ว
ภาพมุมกว้างของจุดชมวิวแห่งนี้
จากนั้นก็ขับรถต่อมาอีกหน่อยก็แวะซื้อ"สตอเบอรี่"สดสดจากไร่ชาวบ้าน ราคามีตั้งแต่ 150-170-180 บาทแล้วแต่ขนาด พวกเราเลือกแบบกลางกลาง 170 บาทต่อถุง แถมลองชิมไปหลายลูกอยู่เหมือนกัน หลังจากซื้อสตอเบอรี่เสร็จก็สอบถามทางว่าจากจุดนี้ไปจนถึงเป้าหมายระยะทางอีกไกลมากน้อยแค่ไหน น้องคนขายบอกว่าวิ่งไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตรแล้วเลี้ยวขวาไปตามทางที่จะไป"ทุ่งดอกบัวตองแม่อูคอ"วิ่งไปอีกประมาณสิบกว่ากิโลเมตรก็ถึงแล้วครับ
พวกเราขับรถตามเส้นทางที่บอกไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็มาถึงปากทางเข้า"หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด"อยู่ทางขวามือ จากปากทางวิ่งไปตามถนนลูกรังที่ปรับถนนได้ค่อนข้างเรียบแต่เส้นทางค่อนข้างคับแคบระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ระหว่างทางที่ขับขึ้นไปยัง"หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด"นั้นวิวทิวทัศน์สุดยอดจริงจริง
แค่ทางเข้าก็สุดยอดจริงจริงครับ
แล้วก็ถึงแล้วครับ"หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด"
จอดรถแล้วไปที่ที่ทำการหน่วยฯ เพื่อติดต่อขอเข้าพัก เผอิญวันที่ไปเป็นวันที่ 1 มกราคมซึ่งเป็นวันปีใหม่ เจ้าหน้าที่หลายคนจึงหยุดงานเพื่อกลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้าน เหลือเพียงพี่เจ้าหน้าที่คนเดียวที่อยู่ในที่ทำการ หลังจากพูดคุยกับพี่เจ้าหน้าที่ก็ได้ความว่า หาทำเลที่พักกางเต็นท์ได้ตามสบาย ค่าขอใช้พื้นที่ก็แล้วแต่จะบริจาค เมื่อได้ความดังนั้นพวกเราก็เดินสำรวจพื้นที่หาทำเลเพื่อกางเต็นท์กัน ระหว่างสำรวจพื้นที่อยู่ได้เจอกับพี่พี่ที่มาถึงที่นี่ก่อนหน้าพวกเรา ได้พูดคุยกันแล้วขอพี่พี่เค้ากลางเต็นท์ใกล้ใกล้กับที่พักของพวกพี่เค้า คุยไปคุยมาพี่ผู้หญิงทักว่าเคยเห็นพวกเราใน pantip ก็เลยคุยกันอย่างคนคอเดียว ซึ่งพวกเราก็ได้รับไมตรีจิตและความกรุณาหลายอย่างจากพี่ทั้งหมดเป็นอย่างดี นี่แหละครับ"มิตรภาพระหวางการเดินทาง" ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้นะครับ พี่ CHIBA และพี่ผู้หญิง(ขอสงวนนามไว้เพื่อเป็นการส่วนตัวนะครับ)
ระเบียงชมวิว
จากตรงที่พวกเรากางเต็นท์สามารถซูมกล้องเห็นบริเวณทุ่งดอกบัวตองแม่อูคอได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าในเวลานี้จะล่วงเลยเวลาแห่งความสวยงามของดอกบัวตองแล้วแต่ที่นั่นก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนไปชมกันอย่างต่อเนื่อง
ต้นสนกับวิวสวย
เส้นคลื่นแห่งขุนเขา
ร่องรอยแห่งความสวยงามของ"ดอกบัวตอง"
หลังจากทำการกางเต็นท์เสร็จ พี่พี่เค้าก็ชวนขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวด้านบนที่ถูกตั้งชื่อว่า"ภูชี้เพ้อ" กัน พวกเรารีบหยิบกล้องแล้วก็เดินตามพี่เค้าขึ้นไป เส้นทางเดินขึ้นไปยัง"ภูชี้เพ้อ"ถึงจะสูงชันแต่ก็มีขั้นบันไดให้เดินได้แบบสบายสบาย
พระอาทิตย์ไล่หลังพวกเรามาแล้ว
วันนี้ขอจบรีวิว Part นี้ไว้เพียงเท่านี้ก่อนดีกว่าเพราะอยากให้เพื่อนเพื่อนได้เห็นความงามของ"ภูชี้เพ้อ"แห่งนี้ทั้งตอนพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้นแบบเต็มเต็มในรีวิวหน้า ยอมรับเลยว่าที่นี่สวยถึงสวยที่สุดตั้งแต่เป็นนักเดินทางท่องเที่ยวมา ไว้พบกันในรีวิวหน้ารับรองว่ารูปที่เห็นยังสวยได้ไม่ถึงครึ่งกับสิ่งที่พวกเราได้เห็นกับตา อย่าลืมติดตามกันนะครับ
[CR] เที่ยวเหนือ 9 วันแห่งความสุข ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ (กำแพงเพชร-ตาก-แม่ฮ่องสอน-เชียงใหม่) Part 4
เกริ่นนำสักหน่อย สำหรับวันแรกพวกเราหลังจากออกจากกรุงเทพฯ ก็มุ่งหน้าสู่ จ.กำแพงเพชร พักค้างแรมที่"อุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า" วันที่ 2 เที่ยว"อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร"ในช่วงเช้า และออกเดินทางมากางเต็นท์ที่ "อุทยานแห่งชาติแม่เมย"จ.ตาก ส่วนวันที่ 3 ชมทะเลหมอกยามเช้าที่"ม่อนพูนสุดา"และ"ม่อนครูบาใส" 2 จุดชมทะเลหมอกของ"อุทยานแห่งชาติแม่เมย" ช่วงบ่ายออกเดินทางไป อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ แวะอาบน้ำแร่ที่ "บ่อน้ำร้อนเทพพนม"
วันที่ 4 (วันพุธที่ 1 มกราคม 2557) มนต์เมืองแจ่ม อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ - ภูชี้เพ้อ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน สำหรับวันที่ 4 หลังจากที่เมื่อคืนไม่ได้ไปสวดมนต์ข้ามปีเพราะเริ่มรู้สึกว่าจะเป็นไข้ กินยาแล้วก็นอนแต่หัวค่ำ เช้าวันนี้ตั้งใจว่าจะไปยังจุดชมวิวแห่งหนึ่งของ อ.แม่แจ่ม ที่ชื่อว่า"จุดชมวิวบ้านบนนา"ซึ่งเคยได้อ่านหลายหลายรีวิวว่าที่จุดชมวิวแห่งนี้เป็นที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกที่สวยงามแห่งหนึ่งของ อ.แม่แจ่ม นอกจาก"จุดชมวิวนาขั้นบันไดบ้านกองกาน" แต่พอเปิดเต็นท์ออกมาหลังจากตื่นนอนในเวลาประมาณเกือบหกโมงเช้า แว๊บแรกที่โผล่หัวออกมานอกเต็นท์ นอกจากท้องฟ้าที่ยังไม่สว่างแล้วรอบรอบบริเวณยังปกคลุมไปด้วยหมอกที่ฟุ้งกระจายไปทั่วพื้นที่ จนไม่สามารถมองเห็นวิวอะไรได้เกิน 5 เมตรด้วย สรุปแล้วแผนการที่จะขับรถไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกสวยสวยที่ "จุดชมวิวบ้านบนนา"ก็เป็นอันต้องพับเก็บไว้ไปอีกหนึ่งโปรแกรม
หดหัวกลับเข้าเต็นท์แล้วก็นอนเล่นกลิ้งไปกลิ้งมาประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วก็ลุกออกจากเต็นท์มาเก็บภาพวิวสลัวสลัวเพื่อเป็นการฆ่าเวลาดีกว่า
อากาศด้านนอกเต็นท์ยังคงหนาวเหน็บอยู่ หมอกที่กระจายอยู่ทุกหนแห่งยิ่งทำให้บรรยากาศน่านอนมากขึ้นแต่ก็เป็นบรรยากาศที่สวยงามแปลกตาไปอีกแบบ
ดอกไม้สวยกับบรรยากาศเหงาเหงา เข้ากันได้ดี
บ้านพัก 3 หลังของ"มนต์เมืองแจ่ม" ราคาหลังละ 1,000 บาท
กระต๊อบหลังเล็ก 2 หลัง ราคา 500-600 บาท
บริเวณลานกางเต็นท์ไล่ระดับกันลงมา ถ้าเป็นเต็นท์ของที่รีสอร์ทคิดหลังละ 300 บาท แต่ถ้านำเต็นท์มาเองคิดคนละ 100 บาท
หลังจากเดินเก็บบรรยากาศสักพัก คุณผู้หญิงก็เพิ่งโผล่หัวออกมาทักทาย good morning
จากนั้นก็ชวนออกมาถ่ายรูปกัน
บรรยากาศแบบนี้เข้ากับเพิงไม้ไผ่แบบนี้จัง
คุณผู้หญิงนั่งไปก็บ่นไป หนาวอย่างโน้นหนาวอย่างนี้
ขอรูปคู่สักคู่ ใส่กางเกงลานสก๊อตเหมือนกันด้วย
มีเก้าอี้สีสวยให้เป็นพล๊อบถ่ายรูปและนั่งพักผ่อนกลางแจ้งอีกด้วย
ไม่นานอาหารเช้าของพวกเราก็มามี ข้าวต้มหมูร้อนร้อน ไข่ต้ม และกาแฟร้อน สามารถเติมได้ถ้าไม่อิ่มนะครับ
หลังจากกินอาหารเช้าท่ามกลางบรรยากาศหนาวหนาวจะอิ่มหนำสำราญ พวกเราก็เริ่มขยับตัวไปทำกิจวัตรประจำวัน อาบน้ำล้างหน้าแล้วก็แต่งตัวเตรียมเดินทางกันต่อ พอทุกอย่างพร้อมท้องฟ้าก็เริ่มเปิดเริ่มมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้กว้างไกลมากขึ้นแล้ว ก็เลยขอเก็บภาพอีกสักพัก
แล้วเมื่อได้เวลาก็เดินทางออกจาก"มนต์เมืองแจ่ม" เข้าสู่ตัวอำเภอแม่แจ่ม แวะไหว้พระที่"วัดพุทธเอิ้น"
"วัดพุทธเอิ้น"ตามประวัติได้ก่อสร้างในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เมื่อ 200 กว่าปีมาแล้ว
มีโบราณสถานซึ่งขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรแล้วคือ “โบสถ์น้ำ” ลักษณะคือสร้างในสระสี่เหลี่ยมโดยปักเสาลงในน้ำล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลง
บริเวณรอบโบสถ์จนถึงกำแพงเรียกว่า “อุทกสีมา” มีความหมายเหมือนกับ “ขันทสีมา” ของโบสถ์บนบก โบสถ์น้ำนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรแล้ว
บริเวณด้านหลังโบสถ์น้ำมีวิหารเก่าแก่ ซึ่งภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างสกุลไทยใหญ่ ปัจจุบันหลงเหลือเพียงภาพเดียว เหนือประตูทางเข้า
องค์พระประธานในวิหาร
ด้านหลังวิหารเป็นที่ประดิษฐานของ"เจดีย์ 12 นักษัตร"
นอกจากนี้ด้านหน้าของ"วัดพุทธเอิ้น"ยังมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่เคารพและเชื่อถือจากชาวเมืองแม่แจ่ม
หลังจากไหว้พระขอพร ณ "วัดพุทธเอิ้น"เรียบร้อย พวกเราก็เดินทางต่อจุดหมายปลายทางอยู่"หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด"ที่ตั้งอยู่ที่ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งมีเส้นทางที่ตัดจาก อ.แม่แจ่ม มุ่งหน้าสู่ อ.ขุนยวม ได้เลยระยะทางประมาณ 90 กว่ากิโลเมตร หลังจากขับรถมาได้ประมาณครึ่งทางก็แวะจอดรถกินกาแฟและเข้าห้องน้ำ เป็นร้านกาแฟที่มีห้องพักวิวสวยให้บริการด้วยแถมราคาก็ไม่แพงเมื่อเทียบกับวิวทิวทัศน์ที่ได้รับ(ราคาห้อง 300 บาท)
ห้องพักมีอยู่ 2 ห้อง ระเบียงด้านหน้าห้องพักยื่นออกไปด้านนอก ได้ชมวิวกว้างไกลสุดสายตา
แอบขอเข้าไปถ่าย เป็นอีกที่ที่น่าสนใจถ้าเผื่อได้แวะขับรถมาเส้นทางนี้
หลังจากพักรถพักคนกันสักพักก็เดินทางกันต่อ มาหยุดอีกทีที่"จุดชมวิว"ระหว่างทาง
ดอกไม้สวยแต่เริ่มร่วงโรยแล้ว
ภาพมุมกว้างของจุดชมวิวแห่งนี้
จากนั้นก็ขับรถต่อมาอีกหน่อยก็แวะซื้อ"สตอเบอรี่"สดสดจากไร่ชาวบ้าน ราคามีตั้งแต่ 150-170-180 บาทแล้วแต่ขนาด พวกเราเลือกแบบกลางกลาง 170 บาทต่อถุง แถมลองชิมไปหลายลูกอยู่เหมือนกัน หลังจากซื้อสตอเบอรี่เสร็จก็สอบถามทางว่าจากจุดนี้ไปจนถึงเป้าหมายระยะทางอีกไกลมากน้อยแค่ไหน น้องคนขายบอกว่าวิ่งไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตรแล้วเลี้ยวขวาไปตามทางที่จะไป"ทุ่งดอกบัวตองแม่อูคอ"วิ่งไปอีกประมาณสิบกว่ากิโลเมตรก็ถึงแล้วครับ
พวกเราขับรถตามเส้นทางที่บอกไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็มาถึงปากทางเข้า"หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด"อยู่ทางขวามือ จากปากทางวิ่งไปตามถนนลูกรังที่ปรับถนนได้ค่อนข้างเรียบแต่เส้นทางค่อนข้างคับแคบระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ระหว่างทางที่ขับขึ้นไปยัง"หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด"นั้นวิวทิวทัศน์สุดยอดจริงจริง
แค่ทางเข้าก็สุดยอดจริงจริงครับ
แล้วก็ถึงแล้วครับ"หน่วยจัดการต้นน้ำแม่หยอด"
จอดรถแล้วไปที่ที่ทำการหน่วยฯ เพื่อติดต่อขอเข้าพัก เผอิญวันที่ไปเป็นวันที่ 1 มกราคมซึ่งเป็นวันปีใหม่ เจ้าหน้าที่หลายคนจึงหยุดงานเพื่อกลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้าน เหลือเพียงพี่เจ้าหน้าที่คนเดียวที่อยู่ในที่ทำการ หลังจากพูดคุยกับพี่เจ้าหน้าที่ก็ได้ความว่า หาทำเลที่พักกางเต็นท์ได้ตามสบาย ค่าขอใช้พื้นที่ก็แล้วแต่จะบริจาค เมื่อได้ความดังนั้นพวกเราก็เดินสำรวจพื้นที่หาทำเลเพื่อกางเต็นท์กัน ระหว่างสำรวจพื้นที่อยู่ได้เจอกับพี่พี่ที่มาถึงที่นี่ก่อนหน้าพวกเรา ได้พูดคุยกันแล้วขอพี่พี่เค้ากลางเต็นท์ใกล้ใกล้กับที่พักของพวกพี่เค้า คุยไปคุยมาพี่ผู้หญิงทักว่าเคยเห็นพวกเราใน pantip ก็เลยคุยกันอย่างคนคอเดียว ซึ่งพวกเราก็ได้รับไมตรีจิตและความกรุณาหลายอย่างจากพี่ทั้งหมดเป็นอย่างดี นี่แหละครับ"มิตรภาพระหวางการเดินทาง" ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้นะครับ พี่ CHIBA และพี่ผู้หญิง(ขอสงวนนามไว้เพื่อเป็นการส่วนตัวนะครับ)
ระเบียงชมวิว
จากตรงที่พวกเรากางเต็นท์สามารถซูมกล้องเห็นบริเวณทุ่งดอกบัวตองแม่อูคอได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าในเวลานี้จะล่วงเลยเวลาแห่งความสวยงามของดอกบัวตองแล้วแต่ที่นั่นก็ยังคงมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนไปชมกันอย่างต่อเนื่อง
ต้นสนกับวิวสวย
เส้นคลื่นแห่งขุนเขา
ร่องรอยแห่งความสวยงามของ"ดอกบัวตอง"
หลังจากทำการกางเต็นท์เสร็จ พี่พี่เค้าก็ชวนขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกที่จุดชมวิวด้านบนที่ถูกตั้งชื่อว่า"ภูชี้เพ้อ" กัน พวกเรารีบหยิบกล้องแล้วก็เดินตามพี่เค้าขึ้นไป เส้นทางเดินขึ้นไปยัง"ภูชี้เพ้อ"ถึงจะสูงชันแต่ก็มีขั้นบันไดให้เดินได้แบบสบายสบาย
พระอาทิตย์ไล่หลังพวกเรามาแล้ว
วันนี้ขอจบรีวิว Part นี้ไว้เพียงเท่านี้ก่อนดีกว่าเพราะอยากให้เพื่อนเพื่อนได้เห็นความงามของ"ภูชี้เพ้อ"แห่งนี้ทั้งตอนพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้นแบบเต็มเต็มในรีวิวหน้า ยอมรับเลยว่าที่นี่สวยถึงสวยที่สุดตั้งแต่เป็นนักเดินทางท่องเที่ยวมา ไว้พบกันในรีวิวหน้ารับรองว่ารูปที่เห็นยังสวยได้ไม่ถึงครึ่งกับสิ่งที่พวกเราได้เห็นกับตา อย่าลืมติดตามกันนะครับ