เรื่องเล่าประกอบภาพ
เราและฝรั่งที่เป็นหุ้นส่วน ทำสินค้าตัวนี้ขึ้นมา มันเป็นโคมไฟรูปขวดโหลจุดเด่นของมันคือ เป็นโคมไฟที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า แต่ใช้พลังานแสงอาทิตย์ หรือ solar cell เราเริ่มทำไอขวดโหลนี่ เมื่อประมาณกลางปีที่แล้ว โดยที่เราเป็นคนดูแลเรื่องการตลาด ส่วนฝรั่งเป็นคนดูแลเรื่องรายละเอียดการผลิต นำเข้าวัตถุดิบ
ทำกันแค่สองคน เราทำงานแบบ 7 วันต่อสัปดาห์มาเกือบ 8 เดือน ฝรั่งก็ทิ้งลูกทิ้งเมียจากเมืองนอกมาอยู่ที่เมืองไทย
เราและฝรั่ง ช่วยกันทำทุกอย่างกันด้วยมือของเราทั้งสองคน ไม่ว่าจะขนย้าย นั่งรถตุ๊กๆไปซื้อส่วนประกอบ หอบกลับขึ้นเรือข้ามฟาก นั่งประกอบอุปกรณ์ทั้งหมดให้ออกมาเป็นสินค้าทีละอัน ทีละอัน
ฝรั่งนั่งทดลองแล้ว ทดลองเล่า กว่าจะได้ไฟแต่ละแบบออกมา
เราตระเวนซื้อพร็อพมาใส่ในขวดโหล เพื่อถ่ายรูป จตุจักร สำเพ็ง ตามห้างต่างๆ แต่หายากมาก เพราะขนาดขวดมันไม่ค่อยเอื้ออำนวยให้ใส่อะไรลงไป ทุกครั้งที่ถ่ายรูปออกมาเป็นเซ็ตๆ เราจะมีความสุขเสมอ เราหอบขวดโหลไปทุกที่ ที่เราไป เขาใหญ่ ภูเก็ต อยุทธยา เพื่อเอาไปถ่ายรูปในโลเคชั่นต่างๆกัน ถ่ายด้วยไอโฟน ตกแต่งด้วยแอปแต่งรูปกะโหลกกะลา แต่เราภูมิใจและมีความสุขทุกครั้ง นั่งดูรูปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ และอวดมันกับทุกคน^^
เรากำลังจะเริ่มวางขายปลายเดือนธันวาคม แต่ติดปัญหาหลายอย่าง ตอนนั้นก็ยังไม่ได้ซีเรียสอะไรมากเพราะแค่เลื่อน
แต่ไปๆมาๆสถานะการณ์บ้านเมือง ชักยืดเยื้อ ฝรั่งไม่สามารถเซ็นสัญญาทำงานเพื่อที่จะอยู่ประเทศไทยต่อได้ เค้าต้องกลับประเทศในวันจันทร์ ที่ 27 มกรา
ซึ่งนั่น ทำให้ทุกอย่างต้องหยุด เพราะเราก็ไม่รู้รายละเอียดเรื่องวงจรการทำงานของขวดโหล ให้ทำต่อเองก็จนปัญญา เพราะขายเป็นอย่างเดียว เลยต้องพับโครงการเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
วันนี้...
เค้าส่งรูปนี้มาซึ่งเป็นรูปขวดโหลที่เราทำกันนี่แหละ เอามาเรียงเป็นเครื่องหมาย Peace
และส่งข้อความมาว่า
"for thailand"
"i love Thailand, but Suthep f*ck it up"
เราเลยส่งข้อความกลับไปว่า...
"calm down everything it's gonna be fine, don't say like u never back to thailand again."
เค้าตอบว่า...
"U make me cry. I going miss Thailand great friends, u and navy."
เราไม่อยากให้เค้าเครียดมากเลยตอบกลับไปเป็นตัวอีโมยิ้มๆ 😊😊😊 อันที่จริงคือ มันตัน ไม่รู้จะตอบว่าอะไร...
มันอาจจะเป็นเรื่องไร้สาระของใครหลายๆคน แต่สำหรับเราและฝรั่ง หายใจเข้า หายใจออกเป็นขวดโหล เรามักจะแซวกันเล่นเสมอๆ ว่า "I think now the bottle flying in ur head and break ur brain" เค้าก็จะชอบแซวเราว่า "ok u hav to back home and slp on the bottle" เพราะว่าขวดที่สั่งมาจากเมืองนอก มันกองอยู่เต็มบ้านเราจนแทบจะไม่มีที่เดิน...
เราเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ ถึงแม้จะเป็นกระต่ายตื่นตูมก็ตาม แต่ทุกครั้งยังเชื่อ ว่าทุกอย่างมันจะไปได้ดี...
ความทุ่มเท ความตั้งใจ สุดท้ายกองอยู่หลังบ้าน...
เป็นเรื่องที่อยากจะระบายแบบลอยๆเฉยๆ ใครจะว่าเราเพ้อเจ้อ เราก็คงไม่เถียง นอกจากเงินที่ลงทุนไป ความตั้งใจ ความทุ่มเท ความเอาใจใส่ในของแต่ละชิ้น พอมันจะจบจริงๆ มันรู้สึกราวกับสูญเสียคนในครอบครัว... ที่เฝ้าฟูมฟักทะนุถนอมกันมา...
บ้านเราฐานะไม่ดี เนื่องจากล้มละลายเมื่อตอนฟองสบู่แตกคราวที่แล้ว เราปากกัดตีนถีบ ทำงานมาตั้งแต่อายุ 16 จากเป็นเด็กเสิร์ฟร้านเหล้า มาเป็นผู้จัดการฝ่ายขายบริษัทเล็ก ๆ เลี้ยงดูย่าที่เลี้นงเรามาตั้งแต่เกิด ความฝันของเราคืออยากเป็นเจ้าของกิจการส่วนตัว มีบ้านให้แม่ให้น้องและน่ามาอยู่ด้วยกัน เพราะทั้งครอบครัวเหลือกันอยู่แค่ 5 คน มีรถขับพาย่ากับแม่ไปทำบุญ ไปกินอาหารทะเล มีเงินอยากจะซื้ออะไรก็ได้ที่อยากซื้อ โดยไม่ต้องรอเงินเดือนออก อยากจะเลี้ยงย่าให้ดีเหมือนกับที่ย่าเลี้ยงเรามา
ช่วงที่ล้มละลายมีวันนึงที่เราต้องไปเข้าค่าย เราจ่ายค่าเข้าค่ายไปแล้ว แต่ไม่มีเงินติดตัวไป เลยบอกย่าว่าไม่ไปก็ได้ นอนอยู่บ้านดีกว่า เดี๋ยวเหนื่อย ไปเสาร์อาทิตย์ วันจันทร์ก็ต้องเรียนอีก แต่ในใจอยากไปใจจะขาด เข้าใจใช่มั้ยคะ ว่าความฝันของเด็กมัธยมต้น คือ การไปเข้าค่าย สนุกอยู่กับเพื่อนโดยไม่ต้องมีผู้ปกครองคอยคุม แต่เรารู้ว่าย่าไม่มีเงิน เราเลยบอกย่าไปอย่างงั้น
ย่าเดินหายไปพักนึงและกลับมายื่นเงินให้เรา 300฿ "เอ้า เอาไป ไปเที่ยวตั้งไกล จะไปนั่งมองปากเพื่อนกินได้ยังไงลูก"
เรามารู้ทีหลังว่าย่าไปยืมร้านขายของชำที่อยู่ตรงข้ามบ้านมา นึกถึงเรื่องนี้กี่ครั้ง ยังอดน้ำตาไหลไม่ได้ ย่าเราเดินออกจากบ้านหลังที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน ที่กว้างไร่ครึ่ง ราคาบ้านตอนสร้างเสร็จใหม่ๆ เกือบ 20 ล้าน ที่โดนธนาคารยึดเรียบร้อยและกำลังประกาศขายทอดตลาด ไปยืมเงินแม่ค้าร้านขายของชำฝั่งตรงข้ามบ้าน ที่ย่าเกลียดนักเกลียดหนา เพราะว่าเค้างก
สถานะการ์ณที่บ้านตอนนั้นแย่มาก เราต้องซื้อข้าวที่มาหุงกิน ครั้งละ 1 กิโล ตอนนั้นข้าวเสาไห้ กิโลละ 14 บาท ที่บ้านเราเลี้ยงหมาจรจัดอีกเกือบ 30 ตัว เก็บมาจากข้าวถนนป่วยบ้าง รถชนบ้าง โดนสาดน้ำร้อนไล่มาบ้าง ก็เอามารักษาพอรักษาเสร็จก็เลี้ยงไว้ด้วยความสงสาร ช่วงนั้นเราต้องไปขอข้าววัดมาให้หมา เงินร้อยนึงนี่ยิ่งใหญ่สำหรับเรามาก กำแน่นจนแทบจะละลายติดมือ
ชีวิตเราเจอแต่เรื่องร้ายๆ แต่โชคดีที่เราเป็นคนสุขภาพจิตดี ตีโพยตีพายได้ไม่นาน ก็จะฮึดขึ้นสู้ใหม่ เราหวังว่าครั้งนี้ เราก็จะเป็นเหมือนเคย...
ตอนแรกกะว่าจะเล่าให้ฟังแค่เรื่องฝรั่งรักเมืองไทย ไหงกลายเป็นกระทู้ชีวิตดราม่าซะงั้น ...
ล้มครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทุกครั้งที่ลุกขึ้นมาได้ สิ่งที่สัมผัสได้ คือ...รู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้น และจะไม่ล้มซ้ำที่เดิม
ขอบคุณสำหรับพื้นทีในการระบายนะคะ เราคงจะเครียดไปนิดนึง ^^
ปล.ตอนแรกตั้งใจแค่จะโพสท์รูปและข้อความบรรยายสั้นๆในเฟส ดันยาวเป็นสเตตัส สุดท้ายลามเรื่อยเปื่อยมาเป็นกระทู้ในพันทิป แหะๆ ติดลม >,<
ปล2. ไคลแม็กซ์ของเรื่องที่อยากจะเล่าคือ ฝรั่งรักเมืองไทย เรื่องมันยาวเผื่ออ่านแล้วหลงประเด็นแหะๆ
ปล3.แท็กผิดขออภัยด้วยนะคะ
*** จากคำบรรยายใต้ภาพ กลายเป็นสเตตัส 2 หน้าเฟส และลามมาเป็นกระทู้ชีวิตดราม่า ***
เราและฝรั่งที่เป็นหุ้นส่วน ทำสินค้าตัวนี้ขึ้นมา มันเป็นโคมไฟรูปขวดโหลจุดเด่นของมันคือ เป็นโคมไฟที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า แต่ใช้พลังานแสงอาทิตย์ หรือ solar cell เราเริ่มทำไอขวดโหลนี่ เมื่อประมาณกลางปีที่แล้ว โดยที่เราเป็นคนดูแลเรื่องการตลาด ส่วนฝรั่งเป็นคนดูแลเรื่องรายละเอียดการผลิต นำเข้าวัตถุดิบ
ทำกันแค่สองคน เราทำงานแบบ 7 วันต่อสัปดาห์มาเกือบ 8 เดือน ฝรั่งก็ทิ้งลูกทิ้งเมียจากเมืองนอกมาอยู่ที่เมืองไทย
เราและฝรั่ง ช่วยกันทำทุกอย่างกันด้วยมือของเราทั้งสองคน ไม่ว่าจะขนย้าย นั่งรถตุ๊กๆไปซื้อส่วนประกอบ หอบกลับขึ้นเรือข้ามฟาก นั่งประกอบอุปกรณ์ทั้งหมดให้ออกมาเป็นสินค้าทีละอัน ทีละอัน
ฝรั่งนั่งทดลองแล้ว ทดลองเล่า กว่าจะได้ไฟแต่ละแบบออกมา
เราตระเวนซื้อพร็อพมาใส่ในขวดโหล เพื่อถ่ายรูป จตุจักร สำเพ็ง ตามห้างต่างๆ แต่หายากมาก เพราะขนาดขวดมันไม่ค่อยเอื้ออำนวยให้ใส่อะไรลงไป ทุกครั้งที่ถ่ายรูปออกมาเป็นเซ็ตๆ เราจะมีความสุขเสมอ เราหอบขวดโหลไปทุกที่ ที่เราไป เขาใหญ่ ภูเก็ต อยุทธยา เพื่อเอาไปถ่ายรูปในโลเคชั่นต่างๆกัน ถ่ายด้วยไอโฟน ตกแต่งด้วยแอปแต่งรูปกะโหลกกะลา แต่เราภูมิใจและมีความสุขทุกครั้ง นั่งดูรูปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ และอวดมันกับทุกคน^^
เรากำลังจะเริ่มวางขายปลายเดือนธันวาคม แต่ติดปัญหาหลายอย่าง ตอนนั้นก็ยังไม่ได้ซีเรียสอะไรมากเพราะแค่เลื่อน
แต่ไปๆมาๆสถานะการณ์บ้านเมือง ชักยืดเยื้อ ฝรั่งไม่สามารถเซ็นสัญญาทำงานเพื่อที่จะอยู่ประเทศไทยต่อได้ เค้าต้องกลับประเทศในวันจันทร์ ที่ 27 มกรา
ซึ่งนั่น ทำให้ทุกอย่างต้องหยุด เพราะเราก็ไม่รู้รายละเอียดเรื่องวงจรการทำงานของขวดโหล ให้ทำต่อเองก็จนปัญญา เพราะขายเป็นอย่างเดียว เลยต้องพับโครงการเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
วันนี้...
เค้าส่งรูปนี้มาซึ่งเป็นรูปขวดโหลที่เราทำกันนี่แหละ เอามาเรียงเป็นเครื่องหมาย Peace
และส่งข้อความมาว่า
"for thailand"
"i love Thailand, but Suthep f*ck it up"
เราเลยส่งข้อความกลับไปว่า...
"calm down everything it's gonna be fine, don't say like u never back to thailand again."
เค้าตอบว่า...
"U make me cry. I going miss Thailand great friends, u and navy."
เราไม่อยากให้เค้าเครียดมากเลยตอบกลับไปเป็นตัวอีโมยิ้มๆ 😊😊😊 อันที่จริงคือ มันตัน ไม่รู้จะตอบว่าอะไร...
มันอาจจะเป็นเรื่องไร้สาระของใครหลายๆคน แต่สำหรับเราและฝรั่ง หายใจเข้า หายใจออกเป็นขวดโหล เรามักจะแซวกันเล่นเสมอๆ ว่า "I think now the bottle flying in ur head and break ur brain" เค้าก็จะชอบแซวเราว่า "ok u hav to back home and slp on the bottle" เพราะว่าขวดที่สั่งมาจากเมืองนอก มันกองอยู่เต็มบ้านเราจนแทบจะไม่มีที่เดิน...
เราเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ ถึงแม้จะเป็นกระต่ายตื่นตูมก็ตาม แต่ทุกครั้งยังเชื่อ ว่าทุกอย่างมันจะไปได้ดี...
ความทุ่มเท ความตั้งใจ สุดท้ายกองอยู่หลังบ้าน...
เป็นเรื่องที่อยากจะระบายแบบลอยๆเฉยๆ ใครจะว่าเราเพ้อเจ้อ เราก็คงไม่เถียง นอกจากเงินที่ลงทุนไป ความตั้งใจ ความทุ่มเท ความเอาใจใส่ในของแต่ละชิ้น พอมันจะจบจริงๆ มันรู้สึกราวกับสูญเสียคนในครอบครัว... ที่เฝ้าฟูมฟักทะนุถนอมกันมา...
บ้านเราฐานะไม่ดี เนื่องจากล้มละลายเมื่อตอนฟองสบู่แตกคราวที่แล้ว เราปากกัดตีนถีบ ทำงานมาตั้งแต่อายุ 16 จากเป็นเด็กเสิร์ฟร้านเหล้า มาเป็นผู้จัดการฝ่ายขายบริษัทเล็ก ๆ เลี้ยงดูย่าที่เลี้นงเรามาตั้งแต่เกิด ความฝันของเราคืออยากเป็นเจ้าของกิจการส่วนตัว มีบ้านให้แม่ให้น้องและน่ามาอยู่ด้วยกัน เพราะทั้งครอบครัวเหลือกันอยู่แค่ 5 คน มีรถขับพาย่ากับแม่ไปทำบุญ ไปกินอาหารทะเล มีเงินอยากจะซื้ออะไรก็ได้ที่อยากซื้อ โดยไม่ต้องรอเงินเดือนออก อยากจะเลี้ยงย่าให้ดีเหมือนกับที่ย่าเลี้ยงเรามา
ช่วงที่ล้มละลายมีวันนึงที่เราต้องไปเข้าค่าย เราจ่ายค่าเข้าค่ายไปแล้ว แต่ไม่มีเงินติดตัวไป เลยบอกย่าว่าไม่ไปก็ได้ นอนอยู่บ้านดีกว่า เดี๋ยวเหนื่อย ไปเสาร์อาทิตย์ วันจันทร์ก็ต้องเรียนอีก แต่ในใจอยากไปใจจะขาด เข้าใจใช่มั้ยคะ ว่าความฝันของเด็กมัธยมต้น คือ การไปเข้าค่าย สนุกอยู่กับเพื่อนโดยไม่ต้องมีผู้ปกครองคอยคุม แต่เรารู้ว่าย่าไม่มีเงิน เราเลยบอกย่าไปอย่างงั้น
ย่าเดินหายไปพักนึงและกลับมายื่นเงินให้เรา 300฿ "เอ้า เอาไป ไปเที่ยวตั้งไกล จะไปนั่งมองปากเพื่อนกินได้ยังไงลูก"
เรามารู้ทีหลังว่าย่าไปยืมร้านขายของชำที่อยู่ตรงข้ามบ้านมา นึกถึงเรื่องนี้กี่ครั้ง ยังอดน้ำตาไหลไม่ได้ ย่าเราเดินออกจากบ้านหลังที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน ที่กว้างไร่ครึ่ง ราคาบ้านตอนสร้างเสร็จใหม่ๆ เกือบ 20 ล้าน ที่โดนธนาคารยึดเรียบร้อยและกำลังประกาศขายทอดตลาด ไปยืมเงินแม่ค้าร้านขายของชำฝั่งตรงข้ามบ้าน ที่ย่าเกลียดนักเกลียดหนา เพราะว่าเค้างก
สถานะการ์ณที่บ้านตอนนั้นแย่มาก เราต้องซื้อข้าวที่มาหุงกิน ครั้งละ 1 กิโล ตอนนั้นข้าวเสาไห้ กิโลละ 14 บาท ที่บ้านเราเลี้ยงหมาจรจัดอีกเกือบ 30 ตัว เก็บมาจากข้าวถนนป่วยบ้าง รถชนบ้าง โดนสาดน้ำร้อนไล่มาบ้าง ก็เอามารักษาพอรักษาเสร็จก็เลี้ยงไว้ด้วยความสงสาร ช่วงนั้นเราต้องไปขอข้าววัดมาให้หมา เงินร้อยนึงนี่ยิ่งใหญ่สำหรับเรามาก กำแน่นจนแทบจะละลายติดมือ
ชีวิตเราเจอแต่เรื่องร้ายๆ แต่โชคดีที่เราเป็นคนสุขภาพจิตดี ตีโพยตีพายได้ไม่นาน ก็จะฮึดขึ้นสู้ใหม่ เราหวังว่าครั้งนี้ เราก็จะเป็นเหมือนเคย...
ตอนแรกกะว่าจะเล่าให้ฟังแค่เรื่องฝรั่งรักเมืองไทย ไหงกลายเป็นกระทู้ชีวิตดราม่าซะงั้น ...
ล้มครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทุกครั้งที่ลุกขึ้นมาได้ สิ่งที่สัมผัสได้ คือ...รู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้น และจะไม่ล้มซ้ำที่เดิม
ขอบคุณสำหรับพื้นทีในการระบายนะคะ เราคงจะเครียดไปนิดนึง ^^
ปล.ตอนแรกตั้งใจแค่จะโพสท์รูปและข้อความบรรยายสั้นๆในเฟส ดันยาวเป็นสเตตัส สุดท้ายลามเรื่อยเปื่อยมาเป็นกระทู้ในพันทิป แหะๆ ติดลม >,<
ปล2. ไคลแม็กซ์ของเรื่องที่อยากจะเล่าคือ ฝรั่งรักเมืองไทย เรื่องมันยาวเผื่ออ่านแล้วหลงประเด็นแหะๆ
ปล3.แท็กผิดขออภัยด้วยนะคะ