ความจริงจากกลุ่มแพทย์ เพื่อนร่วมแนวทางของ"กลุ่มเสรีนักศึกษามหิดลเพื่อประชาชน

กระทู้สนทนา
ขอเรียนหมู่เพื่อนสมาชิกผู้รักประชาธิปไตย และต่อต้านลัทธิแบ่งแยกความเป็นมนุษย์ ผมไม่คิดว่าจะต้องมาแก้ต่างให้สถาบันที่ผมรักตามที่มีข่าวถึงกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีกลุ่มแพทย์จากโรงพยาบาลศรีนครินทร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น เข้าร่วมการชุมนุมด้วยนั้น ขอให้ทราบด้วยว่าไม่ใช้เสียงส่วนใหญ่ หรือฉันทามติของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นเพียงกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์จำนวนน้อยเท่านั้น  ซึ่งมันก็เหมือนทุกมหาวิทยาลัย หรือหน่วยงานราชการต่างๆที่แอบอ้างเพื่อหาความชอบธรรมให้กับตนที่จะเข้าร่วมม็อบ  และที่สำคัญอะไรคือผู้ที่เสียผลประโยชน์
        1.ผู้ที่เสียผลประโยชน์กลุ่มแรกคือ ผู้ที่ปรับตัวไม่ได้กับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เพราะเมื่อก่อนแพทย์จะมีพฤติกรรมไม่รักษาให้เสร็จภายในโรงพยาบาล (เป็นส่วนน้อยเฉพาะกลุ่มที่เปิดคลินิก ) แต่จะแนะนำให้คนไข้ไปรักษาต่อที่คลีนิคของตนต่อ (โดยจะอ้างว่าเพื่อความต่อเนื่อง และเอาใจใส่) แต่เมื่อมีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค แพทย์ก็จึงไม่สามารถต้อนผู้ป่วยไปคลีนิคของตนเองได้อีก เพราะรักษาที่โรงพยาบาลเสียค่าใช้จ่ายน้อย แต่รักษาที่คลินิคมันแพงกว่า  ดังนั้นคลีนิคที่แพทย์กู้เงินมาจากธนาคารมาเปิดจะต้องใช้หนี้คืน แต่รายได้มันหายไปมาก...เลยเกลียดทักษิน
        2.กลุ่มแพทย์ชนบทก็เหมือนกันได้ประโยชน์ตั้งมากมายจากการใช้ชื่อว่าแพทย์ชนบทเพราะจะได้ค่าตอบแทนต่างๆมากกว่าเพื่อนร่วมวิชาชีพอื่นถึง 6 เท่า แต่ทำไมถึงเกลียด...เพราะรัฐบาลต้องการจะปรับรูปแบบแพทย์ชนบทใหม่ เพราะประเทศไทยแทบจะไม่เหลือคำว่าชนบทอีกแล้วจึงจะปรับรูปการให้บริการแบบยุโรปคือให้แพทย์รับผิดชอบคนไข้เป็นรายหัวแล้วรับค่าตอบแทน นั้นคือสาธารณะสุขเชิงรุกคือให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ในหลักใหญ่ๆ คือแพทย์ชนบทจะต้องออกพื้นที่ในลักษณะป้องกันดีกว่ารักษา...ไม่ใช้รอให้ป่วยแล้วค่อยมาหาหมอ...แต่มันก็ไม่ตรงใจกลุ่มแพทย์ชนบทเพราะเขาคิดว่าเขาเป็นคนเสียสละ(คิดไปเอง) เขาต้อง การเพียงแค่นั่งเฝ่าคลินิก(ของเขาเอง)และรับเงินค่าตอบแทนไปวันๆ(อย่ามายุ่งกับฉัน)... แล้วแพทย์ชนบทรักษาพยาบาลไหม ? รักษาครับ แต่จะรักษาในโรคอายุระเวศเบื้องต้นเท่านั้น...นอกนั้นก็จะส่งรักษาต่อไปยังโรงพยาบาลต่างๆ...ตีกินแบบสบายๆ
             3.”เรื่องแค่นี้เองแล้วทำไมถึงเกลียดขนาดนี้...” กลุ่มแพทย์ก็นึกถึงอนาคตเหมือนกันเกษียณแล้วจะทำอะไร...เป็นหมอเกษียณแล้วก็ต้องเป็นหมอ...แต่กลับมีข่าวว่าทักษินและตระกูลได้ซื้อหุ่นโรงพยาบาลเอกชนไว้หลายแห่ง...”ก็แค่นี้เองแล้วทำไมต้องเกลียด”...ในอนาคตเราจะเป็น AEC นั้นก็คือในกลุ่ม AEC สามารถจะประกอบอาชีพต่างๆได้จะไม่การกีดกัน ร่วมถึงสาขา แพทย์ และพยาบาลด้วย ฉะนั้นเราจะมี แพทย์จาก เขมร ลาว เวียดนาม พม่า อาจรวมถึงอินเดียด้วย ที่มีค่าแรงที่ถูกกว่า แต่ความสามารถไม่แตกต่างกันเข้ามาประกอบอาชีพในไทย...แล้วแห่งแรกที่จะต้อนรับบุคคลกลุ่มนี้ละ...กลุ่มแพทย์ในไทยจึงเล็งไปที่โรงพยาบาลที่ทักษิน และตระกูลมีหุ้นอยู่...”เท่านั้นเองจะผูกขาดได้อย่างไร”...ไม่ผูกขาดหรอกครับ แต่ในอนาคตจะเป็นลักษณะโยนหินลงน้ำคือจะเกิดระลอกคลื่นกระจายออกไปรอบทิศทาง...เพราะแพทย์ไทยในครั้งปี 53 เกิดความตกต่ำในใจกับกลุ่มแพทย์บางกลุ่ม (ส่วนน้อย) เมื่อเกิดกรณีผู้บาดเจ็บจากการล้อมปราบของทหารได้มีเรื่องเล่าลือถึงการเลือกปฎิบัติของแพทย์ต่อกลุ่มคนที่ตนเองไม่ชอบ( ซึ่งผิดหลักจรรยาบรรณแพทย์ แม้แต่ในภาวะสงคราม ) ทั้งคนไทย และสื่อต่างชาติก็รับทราบถึงเรื่องราวนั้นกันดี (คนกลุ่มนั้นหาไม่ยากหรอกครับเขาเดินกันอยู่ในม็อบ) โดยในอนาคตโรงพยาบาลต่างๆที่ทักษินมีหุ้น และไม่มีหุ้นเหล่านั้นก็ต้องเข้าโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคซึ่งจะเป็นคู่แข่งกับแพทย์ที่ไม่ยอมปรับตัวในโลกอนาคต (พยายามดำรงค์ไว้ซึ่งสิทธิที่แอบแฝงของการเอาเปรียบสังคม เพราะประชาชนผู้ยากไร้คือแหล่งรายได้ของเขา ) ซึ่งบางท่านถ้าไม่บอกว่าเป็นหมอเมื่อเดินอยู่ในม็อบเราก็จะคิดว่าพวกเขาเป็นพวกขายยาบ้า หรือพวกขายหวยเถื่อนหรือสารพัดมิจฉาชีพที่เกลียดทักษินที่ทำให้พวกเขาเสียผลประโยชน์เพราะเวลาอยู่บนเวทีแล้วผมไม่เห็นศักดิ์ศรีของความเป็นแพทย์ของเขาเลย...ผมอายแทน
4. “แล้วแพทย์รุ่นใหม่ยังไม่เกษียนก็เกลียดทักษินเหมือนกัน..” .ผมไม่อยากจะพูดว่ามันเป็น “เทรน” หรือเกิดจากการอบรมสั่งสอนของอาจารย์หมอ ( ล้างสมอง  “มันล้างได้จริงๆไม่เช่นนั้นไม่ทำได้ถึงขนาดนี้” ) แต่ด้วยเหตุผลอีกข้อที่ยังหลีกหนีความเป็นจริงไปไม่พ้น “เป็นหมอแล้วต้องเปิดคลินิค”( ด้วยความเคารพก็ไม่ใช่กับทุกท่านที่จะต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป ) คงจะไม่มีใครที่ไหนจบหมอแล้วอยากทำงานในโรงพยาบาลหลวงได้เงินเดือนต่ำๆ( หมื่นกว่าบาทเอง) หรือโรงพยาบาลเอกชนที่ได้เงินค่าตอบแทนมากแต่ลำบากทั้งกาย และใจ ...เมื่อก่อนยังไม่จบแพทย์ธนาคารก็มารอที่จะให้กู้เงินไปเปิดคลีนิคแล้ว เพราะอาชีพแพทย์แทบจะไม่มีความเสี่ยงไม่ต้องมีอะไรมาค้ำประกันกับธนาคาร...แต่ในปัจจุบันเมื่อมีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค คลีนิคก็ไม่ใช่ทางทางเลือกอีกต่อไปแล้วสำหรับประชาชนทั่วไปและรวมไปถึงธนาคารด้วย...ดังนั้นวิชาชีพแพทย์จึงมีความเท่าเทียมกับคนทั่วไปคือต้องมีเครดิต...( นั้นคือเหตุผลหรือเปล่าที่ไม่เอา 1 สิทธ 1เสียง )
5.  “แล้วแพทย์ท่านอื่นที่ไม่เข้าข่ายที่กล่าวมาข้างต้นแต่ก็เกลียดทักษินนะ” โครงการประชาสังคมของทักษินนั้นจะมีผลข้างเคียงกับกลุ่มคนที่ไม่ยอมปรับตัวกับภาวะการณ์ที่เปลียนไปของโลก  ยกตัวอย่างเช่นรัฐวิสาหกิจของรัฐ ที่เงินเดือนก็มาก สวัสดิการครอบคลุมทั้งตระกูล ( ค่าน้ำ ค่าไฟ รักษาพยาบาลทั้งครอบครัวพ่อแม่ มีเงินทุนการศึกษาแบบให้เปล่ากับบุตรหลาน ทัษณะศึกษา สัมมณา ทั้งยังมีสิทธสืบทอดทางสายเลือดในการเข้าทำงานได้อีกด้วย) แต่ก็ทำงานเท่าแมวดม แต่เมื่อมีการเปลียนแปลงอย่างแรกที่กระทบคือ ภาระงานเพิ่ม ( แล้วก็โวยวายว่างานเพิ่มเงินเท่าเดิม แต่ก็ลืมไปว่าได้โบนัสเหมือนเอกชน)  และอีกส่วนก็คือการอยู่ในกลุ่มคนที่มีทัศณะคติที่เหมือนกันเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น และยังถูกกรอกหูทุกวันมันก็ไม่ต่างกับเข้าค่ายสัมณาของพวกคอมมูนิสต์ในสมัยก่อน คนดีก็กลายเป็นคนที่ไม่มีจิตสำนึกความผิดชอบชั่วดีได้ (พูดถึงคอมมิวนิสต์นะ) แต่คุณหมออาจจะไม่ถึงขั้นนั้นเพียงแค่โน้มเอียงแล้วกลับมาไม่ได้ด้วยความทิฐิเอาชนะภาพที่ออกมาถึงมีแต่ความเสื่อม ทำให้วงการแพทย์ และแพทย์ที่ดีๆท่านอื่นๆต้องมาได้รับความเสื่อมเสียถูกเหมารวมตามไปด้วย
              สุดท้ายนี้สิ่งที่ผมได้ระบายแทนบุคลากรท่านอื่นของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มันก็เป็นเพียงส่วนน้อยที่ได้ชี้แจงให้โลกภายนอกได้รับทราบถึงเกียรติภูมิของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อย่าให้กลุ่มแพทย์ และบุคลากรบางท่านที่ไปร่วมกับม็อบปิดกรุงเทพฯทำให้คนส่วนมากต้องรับกรรมที่ท่านได้ก่อแล้วปล่อยให้โรงพยาบาล และคนส่วนมากต้องเป็นศัตรูกับประชาชนทั่วไป และกลุ่มคนที่มีความเห็นต่าง  ถ้าท่านมีศักดิ์ศรี และความกล้าหาญพอ ขอให้ท่านระบุว่าเป็นเพียงกลุ่มของท่านเท่านั้นไม่เกี่ยวกับสถาบันโรงพยาบาลที่ท่านได้เอาไปแอบอ้าง และขออภัยอย่างสูงต่ออาจารย์หมอ คุณหมอท่านอื่นที่ท่านจำเป็นต้องเงียบ เก็บความเจ็บช้ำใจต่อกลุ่มบุคคลที่นำโรงพยาบาลไปใช้ในทางที่เสื่อม ผมทราบว่าทุกท่านอยากออกมาตอบโต้เพื่อกู้คืนเกียรติภูมิของสถาบันแต่ก็กลัวการเผชิญหน้า และความแต่แยกภายใน แต่สำหรับผมจิตตกก่อนเลยยั้งไม่อยู่จึงกราบขออภัยมายังอาจารย์หมอ และคุณหมอทุกท่าน รวมถึงเพื่อนๆบุคลากรโรงพยาบาลทุกท่านมา ณ. ที่นี้ด้วย
ขอเรียนหมู่เพื่อนสมาชิกผู้รักประชาธิปไตย และต่อต้านลัทธิแบ่งแยกความเป็นมนุษย์ ผมไม่คิดว่าจะต้องมาแก้ต่างให้สถาบันที่ผมรักตามที่มีข่าวถึงกลุ่มผู้ชุมนุมที่มีกลุ่มแพทย์จากโรงพยาบาลศรีนครินทร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น เข้าร่วมการชุมนุมด้วยนั้น ขอให้ทราบด้วยว่าไม่ใช้เสียงส่วนใหญ่ หรือฉันทามติของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นเพียงกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์จำนวนน้อยเท่านั้น ซึ่งมันก็เหมือนทุกมหาวิทยาลัย หรือหน่วยงานราชการต่างๆที่แอบอ้างเพื่อหาความชอบธรรมให้กับตนที่จะเข้าร่วมม็อบ และที่สำคัญอะไรคือผู้ที่เสียผลประโยชน์ 1.ผู้ที่เสียผลประโยชน์กลุ่มแรกคือ ผู้ที่ปรับตัวไม่ได้กับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เพราะเมื่อก่อนแพทย์จะมีพฤติกรรมไม่รักษาให้เสร็จภายในโรงพยาบาล (เป็นส่วนน้อยเฉพาะกลุ่มที่เปิดคลินิก ) แต่จะแนะนำให้คนไข้ไปรักษาต่อที่คลีนิคของตนต่อ (โดยจะอ้างว่าเพื่อความต่อเนื่อง และเอาใจใส่) แต่เมื่อมีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค แพทย์ก็จึงไม่สามารถต้อนผู้ป่วยไปคลีนิคของตนเองได้อีก เพราะรักษาที่โรงพยาบาลเสียค่าใช้จ่ายน้อย แต่รักษาที่คลินิคมันแพงกว่า ดังนั้นคลีนิคที่แพทย์กู้เงินมาจากธนาคารมาเปิดจะต้องใช้หนี้คืน แต่รายได้มันหายไปมาก...เลยเกลียดทักษิน 2.กลุ่มแพทย์ชนบทก็เหมือนกันได้ประโยชน์ตั้งมากมายจากการใช้ชื่อว่าแพทย์ชนบทเพราะจะได้ค่าตอบแทนต่างๆมากกว่าเพื่อนร่วมวิชาชีพอื่นถึง 6 เท่า แต่ทำไมถึงเกลียด...เพราะรัฐบาลต้องการจะปรับรูปแบบแพทย์ชนบทใหม่ เพราะประเทศไทยแทบจะไม่เหลือคำว่าชนบทอีกแล้วจึงจะปรับรูปการให้บริการแบบยุโรปคือให้แพทย์รับผิดชอบคนไข้เป็นรายหัวแล้วรับค่าตอบแทน นั้นคือสาธารณะสุขเชิงรุกคือให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ในหลักใหญ่ๆ คือแพทย์ชนบทจะต้องออกพื้นที่ในลักษณะป้องกันดีกว่ารักษา...ไม่ใช้รอให้ป่วยแล้วค่อยมาหาหมอ...แต่มันก็ไม่ตรงใจกลุ่มแพทย์ชนบทเพราะเขาคิดว่าเขาเป็นคนเสียสละ(คิดไปเอง) เขาต้อง การเพียงแค่นั่งเฝ่าคลินิก(ของเขาเอง)และรับเงินค่าตอบแทนไปวันๆ(อย่ามายุ่งกับฉัน)... แล้วแพทย์ชนบทรักษาพยาบาลไหม ? รักษาครับ แต่จะรักษาในโรคอายุระเวศเบื้องต้นเท่านั้น...นอกนั้นก็จะส่งรักษาต่อไปยังโรงพยาบาลต่างๆ...ตีกินแบบสบายๆ 3.”เรื่องแค่นี้เองแล้วทำไมถึงเกลียดขนาดนี้...” กลุ่มแพทย์ก็นึกถึงอนาคตเหมือนกันเกษียณแล้วจะทำอะไร...เป็นหมอเกษียณแล้วก็ต้องเป็นหมอ...แต่กลับมีข่าวว่าทักษินและตระกูลได้ซื้อหุ่นโรงพยาบาลเอกชนไว้หลายแห่ง...”ก็แค่นี้เองแล้วทำไมต้องเกลียด”...ในอนาคตเราจะเป็น AEC นั้นก็คือในกลุ่ม AEC สามารถจะประกอบอาชีพต่างๆได้จะไม่การกีดกัน ร่วมถึงสาขา แพทย์ และพยาบาลด้วย ฉะนั้นเราจะมี แพทย์จาก เขมร ลาว เวียดนาม พม่า อาจรวมถึงอินเดียด้วย ที่มีค่าแรงที่ถูกกว่า แต่ความสามารถไม่แตกต่างกันเข้ามาประกอบอาชีพในไทย...แล้วแห่งแรกที่จะต้อนรับบุคคลกลุ่มนี้ละ...กลุ่มแพทย์ในไทยจึงเล็งไปที่โรงพยาบาลที่ทักษิน และตระกูลมีหุ้นอยู่...”เท่านั้นเองจะผูกขาดได้อย่างไร”...ไม่ผูกขาดหรอกครับ แต่ในอนาคตจะเป็นลักษณะโยนหินลงน้ำคือจะเกิดระลอกคลื่นกระจายออกไปรอบทิศทาง...เพราะแพทย์ไทยในครั้งปี 53 เกิดความตกต่ำในใจกับกลุ่มแพทย์บางกลุ่ม (ส่วนน้อย) เมื่อเกิดกรณีผู้บาดเจ็บจากการล้อมปราบของทหารได้มีเรื่องเล่าลือถึงการเลือกปฎิบัติของแพทย์ต่อกลุ่มคนที่ตนเองไม่ชอบ( ซึ่งผิดหลักจรรยาบรรณแพทย์ แม้แต่ในภาวะสงคราม ) ทั้งคนไทย และสื่อต่างชาติก็รับทราบถึงเรื่องราวนั้นกันดี (คนกลุ่มนั้นหาไม่ยากหรอกครับเขาเดินกันอยู่ในม็อบ) โดยในอนาคตโรงพยาบาลต่างๆที่ทักษินมีหุ้น และไม่มีหุ้นเหล่านั้นก็ต้องเข้าโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคซึ่งจะเป็นคู่แข่งกับแพทย์ที่ไม่ยอมปรับตัวในโลกอนาคต (พยายามดำรงค์ไว้ซึ่งสิทธิที่แอบแฝงของการเอาเปรียบสังคม เพราะประชาชนผู้ยากไร้คือแหล่งรายได้ของเขา ) ซึ่งบางท่านถ้าไม่บอกว่าเป็นหมอเมื่อเดินอยู่ในม็อบเราก็จะคิดว่าพวกเขาเป็นพวกขายยาบ้า หรือพวกขายหวยเถื่อนหรือสารพัดมิจฉาชีพที่เกลียดทักษินที่ทำให้พวกเขาเสียผลประโยชน์เพราะเวลาอยู่บนเวทีแล้วผมไม่เห็นศักดิ์ศรีของความเป็นแพทย์ของเขาเลย...ผมอายแทน 4. “แล้วแพทย์รุ่นใหม่ยังไม่เกษียนก็เกลียดทักษินเหมือนกัน..” .ผมไม่อยากจะพูดว่ามันเป็น “เทรน” หรือเกิดจากการอบรมสั่งสอนของอาจารย์หมอ ( ล้างสมอง “มันล้างได้จริงๆไม่เช่นนั้นไม่ทำได้ถึงขนาดนี้” ) แต่ด้วยเหตุผลอีกข้อที่ยังหลีกหนีความเป็นจริงไปไม่พ้น “เป็นหมอแล้วต้องเปิดคลินิค”( ด้วยความเคารพก็ไม่ใช่กับทุกท่านที่จะต้องเป็นเช่นนั้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่