นอนโรงพยาบาลด้วยระบบประกันสังคมครั้งแรก

เมื่อสามวันก่อนปวดท้องหนักมากที่ใต้ชายโครงขวาเหนือสะดือ

โดนย้ายไปสามรพเนื่องจากระบบประกันสังคมตัดแล้วจนถึงโรงพยาบาลที่มีชื่อ

มาถึงดิ้นทุรนทุราย หมอก็เจาะเลือดไปตรวจพร้อมปัสสาวะ ให้น้ำเกลือ

แต่ในวันแรกที่มาถึงหมอไม่ได้ให้ยาอะไรจนกระทั่งหายปวดไปเอง

วันที่สองหมอให้ยาฆ่าเชื่อ กับยาอะไรไม่รู้ที่เขียนว่า nl บนเม็ด พร้อมกับพาไป xray ตอนช่วงแปดโมง

เราถามหมอว่าเป็นอะไรช่วงเที่ยงๆ แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบว่าเป็นอะไร ได่แต่ถามเราว่าเยี่ยวสีอะไร เยี่ยวบ่อยมั้ย

เราว่าคำๆ นี้มันไม่สมควรใช้นะ ในฐานะคนที่มีการศึกษาทั้งนางพยาบาลและคุณหมอ

วันที่สาม หมอบอกว่าผลยังไม่แน่ชัดเพราะฟิล์มไม่ชัด วันนี้เราเริ่มปวดแบบอาการกำเริบอีกแล้ว

เราจับให้หมอดูว่าปวดตำแหน่งไหน หมอบอกว่าไม่ต้องจับให้ดูหรอกว่าเป็นอะไร เขารู้แล้ว

น่าจะเป็นนิ่วในถุงน้ำดีหรือไม่ก็โรคกระเพาะ หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ดังนั้นก็เลยให้เรากลับบ้านก่อน

หรือจะนอนอยู่ต่อก็ได้ จนกว่าจะถึงคิวนัดฉีดสี

ถึงจุดนี้เราเริ่มรู้สึกไม่ดีกับการให้บริการ แถมในวันที่สามนี้เขาจะให้ยาระบายเราอีก ซึ่งวันนี้เราไม่ได้กินอะไรทั้งนั้น

โทรหาแม่บอกว่าไม่ไหวแล้ว ปวดจนน้ำตาไหล ก่อนแม่มาถึงกดโฟนเรียกพยาบาล

พยาบาลมาถึงก็ให้ยาฆ่าเชื้อและแก้ปวด แต่ก็ยังไม่หาย โฟนครั้งที่สองให้อัลพราโซลมา (แก้ปวดเสียดและระบบลำไส้)

ครั้งที่สามคนที่คอยตรวจระบบประกันสังคมมาถึง เรานอนกอดผ้าห่มตัวงอแล้ว เขาจะมาสัมภาษณ์ว่าบริการดีไหม

พวกเขาก็ตกใจแล้วเลิกการสัมภาษณ์พร้อมไปตามพยาบาลมาอีกครั้ง

คราวนี้เธอเอาบูสโพรเฟนแบบน้ำมาฉีด เราบอกไปว่าจะฉีดยาตัวนี้ใช่มั้ย

ดูเธอไม่ค่อยพอใจที่อาจจะเพราะว่าเราสู่รู้เรื่องยามากเกินไป เลยถามว่าจะรับไหม ถ้าไม่รับจะได้ให้เซ็นใบปฏิเสธการรับยา

ซึ่งเราเองก็ปฏิเสธไม่ได้ วินาทีนั้นมันปวดจนทนไม่ไหวแล้ว ระหว่างที่ฉีดไปสองหลอดใหญ่ๆ

นางหมุนตัวไปเอาเทปทั้งเข็มยังขาอยู่ เข็มล้มลงสะบัดเส้นเลือดไปอีกทาง นางตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่สนใจอะไร

เส้นเลือดที่เจาะแล้วเจาะอีกหาไม่เจอก็ไม่ปิดเทปให้ ตอนนั้นเจ็บมาก ปวด ทั้งเส้นเลือด ทั้งท้องเวลาเดียวกัน

แม่ทนไม่ไหวแล้วก็เลยโทรเรียกญาติให้มาช่วยย้ายโรงพยาบาล

หมอขึ้นมาถ้าทางจะโมโห เขาบอกว่าไหนเป็นอะไร หมอบอกไปแล้วใช่มั้ยว่าเป็นอะไร

เราตอบทั้งที่มีสติเหลืออยู่ บอกไปว่าหมอบอกว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดีกับกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

แล้วก็ให้ยาบูสโพรเฟน หมอถามว่ารู้ได้ยังไง ตอบหมอมา กระโชกเสียงใส่ ตอนนั้นใจเต้นเร็วและหนักมากอย่างที่ไม่เคยเป็น

ก็เลยบอกหมอว่าใจเต้นแรงมาก ไม่รู้ว่าด้วยฤทธิ์ยาหรือเปล่า หมอบอกว่าใจเต้นก็ดีแล้วไง ยังดีกว่าไม่เต้น

ตอนนั้นญาติทุกคนอึ้งกันมากกับคำพูดหมอ หมอเรียกญาติทุกคนออกไปคุยกันนอกห้องรวมทั้งแม่ด้วย

ลุงบอกว่าทำไมถึงพูดแบบนี้ หมอบอกเขาเป็นคนตรงๆ ก็ชอบพูดตรงๆ เหมือนกัน มีอะไรก็พูดมาเลย

เราสาบานได้ว่าตั้งแต่นอนมาสามวันทำตามคำสั่งที่หมอและพยาบาลบอก พูดจา ยิ้มแย้มให้ เพราะรู้ว่าอาชีพนี้เขาทำ

แล้วกดดัน แต่ดูเหมือนกับเขาจะไม่สนใจอะไรเลย ทั้งที่ปวดอยู่มากก็เข้ามาวัดไข้ วัดความดัน แล้วก็ออกไปเหมือนกับ

ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าไม่โฟนบอก เขาก็ไม่เข้ามาดูแล เข้ามาเก็บจานชาม เห็นดิ้นปวดอยู่ ก็เก็บจานชามออกเหมือนปกติ

หลังจากที่คุยกับทุกคนนอกห้องแล้ว หมอก็เข้ามาแล้วก็ถามว่าข้าวได้กินหรือยัง ก็เลยบอกว่ายังไม่ได้กิน เพราะปวดมาก

เขาบอกว่าแล้วทำไมไม่กิน เป็นโรคกระเพาะอยู่แล้วไม่กินจะหายไหม หรือว่าจะให้เจาะเข้าทางจมูก รับรองเจ็บกว่า

ที่เป็นอยู่แน่ อย่าทำให้คนอื่นเขาตกใจ อย่าทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน เข้าใจไหม งานผมยิ่งเยอะอยู่ มันไม่ได้เจ็บไม่ได้ปวดอะไรขนาดนั้น

ยาก็ให้ไปแล้ว มันเกินไป แล้วเขาก็หันไปบอกญาติว่านัดฉีดสีผมก็ไม่รู้ว่าได้คิวเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่แผนกกับหน้าที่ของผม

แล้วจะนอนอยู่ที่นี่มั้ย ถ้านอนจะได้ให้นอนเกลือ ถ้าไม่นอนจะได้เซ็นออกให้

หมอพูดชื่อโรคทั้งๆ ที่ยังไม่แน่ใจว่าเป็นโรคอะไรด้วยซ้ำ

เราเซ็นออกตอนบ่ายสามแล้วย้ายไปโรงพยาบาลหลวงใกล้บ้านลุง

หลังจาก xray เสร็จ หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคนิ่วในท่อไต เพราะค่าเลือดที่ได้จากโรงพยาบาลที่หนึ่งที่ปนมากับปัสสาวะมันสูงมาก

เรางงว่าทำไมหมอโรงพยาบาลที่สองที่ด่าเราทำไมเขาถึงพูดไม่ตรงหรือไม่ยอมดูใบจากค่าโรงพยาบาลที่หนึ่งเลย

(ในคืนเดียวกันเราถูกส่งตัวจากโรงพยาบาลแรกเนื่องจากเขาไม่รับประกันสังคมแล้วก็เลยย้ายไปโรงพยาบาลที่สองที่พูดจาไม่ดีเนี่ยแหละ

เพราะมันมีสิทธิประกันสังคมรอรับ)

เพื่อความแน่ใจที่มากขึ้นก็เลยไปฉีดสี แต่หลังจากส่งใบฉีดแล้ว ทางรังสีวิทยาเขาไม่รับเนื่องจากค่าเลือด

เกินหนึ่งจุดหก ถ้าหนึ่งจุดห้าถึงจะทำได้ ถ้ายังฝืนอาจมีผลต่อไตได้ ตรงจุดนี้ โรงพยาบาลที่สองก็ไม่ได้บอก

จริงอยู่ที่ว่ามันฝืนทำได้ แต่เราว่าความห่วงใยที่มีต่อผู้ให้รักษาเราว่ามันต่างกันราวฟ้ากับเหวมากๆ

ในที่สุดวันนี้เราได้คุยกับหมออีกครั้ง หมอจึงเลี่ยงไปอัลตราซาวแทน ซึ่งให้ผลที่ดีพอกัน แต่คิวต้องรอเดือนหน้า

และก็ให้ยาแก้ปวดกลับบ้านซึ่งได้ผลดีมาก นี่ก็เป็นวันที่สองแล้วที่เราไม่ต้องทุรนทุรายบนเตียงเหมือนหลายวันก่อน

ที่ไม่คิดว่า ถ้าอยู่โรงพยาบาลเก่าเราจะรอดมั้ย จะต้องทนปวดจนกว่าพ้นคืนๆ หนึ่งมั้ย

มันทรมานมากนะ ถึงจะดูเหมือนสั้น แต่การทนปวดให้พ้นคืนๆ นึงมันยาวนานจริงๆ

ที่ตั้งกระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาจะบอกว่า ประกันสังคมมันแย่ไปหมด

สำหรับคนอื่นที่ได้ยินๆ มาทั้งเพื่อนบ้านตัดมดลูกที่เป็นมะเร็ง นิ้วขาดจากการทำงาน เขาทำให้ดีหมด

แต่เราคงโชคร้ายเองที่มาเจอ "โรงพยาบาล" กับ "หมอและนางพยาบาล" แบบนี้

ที่ทั้งวินิจฉัยผิด ดูแลแย่ ให้ยาผิดพลาด ไม่มีการใส่ใจ ให้กำลังใจ ขาดจรรยาบรรณมากถึงมากที่สุด

(ตอนหัวใจเต้นแรงบอกตรงๆ ว่ากลัวหัวใจจะล้มเหลวมาก)

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่