ถาม - คนชอบธรรมะ ต้องเป็นคนที่ชอบอยู่เฉย ปล่อยให้คนชั่วได้ใจ ปล่อยให้นักการเมืองได้ดีอย่างนั้นหรือ?
ตอบ - เท่าที่ผมเห็นในเฟส ในทวิตเตอร์ แวดวงคอธรรมะก็ด่าทอและเกลียดชังนักการเมืองกันเหมือนคนทั่วไปนะครับ ไม่ค่อยเห็นใครอยู่เฉยกันเท่าไร
ถ้าคุยกันตรงไปตรงมา สิ่งที่ต้องเข้าใจกันจริงๆก็คือ ระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่ระบอบคัดคนดี รักษาคนมีฝีมือ แต่เป็นระบอบที่เอื้อให้คนรวยแย่งอำนาจกัน ใครมีเงิน มีพรรคพวก มีความใจกล้า อยากเข้าสู่วงจรการปกครอง ก็มีบันไดขั้นต่างๆให้ ส่วนคนดี มีแต่ชื่อเสียง สั่งสมบารมีมายาวนานนั้น ให้ฝันไปก่อนว่าจะได้มาสะสางอะไรๆอย่างใจ
การเมืองคือเกมชิงอำนาจ ไม่ใช่เวทีประกวดความดี แล้วแต่ไหนแต่ไรมา เกมชิงอำนาจก็ไม่เหมาะกับคนดีเท่าไหร่หรอก บางคนเริ่มต้นด้วยทุนความดีงามอันหนาแน่น แต่พอต้องมาปะปนกับคนเลว ก็มีแค่สองทางเลือก คือ ยอมถูกกลืนกินหนึ่ง กับถอนตัวออกมาเสียก่อนจะสายหนึ่ง
หลักการแบบประชาธิปไตย คือ ‘ประชาชนรวมตัวกันเลือกคนดี’ เข้ามาปกครองบ้านเมือง ปัญหามีนิดเดียว คือ ถ้าคนดีไม่มาให้เลือก แล้วประชาชนจะทำอย่างไร?
ตามวิถีธรรมชาติ ตอนจะเอานักการเมืองเข้ามาปกครองบ้านเมือง ต้องอาศัยความรักความชอบสร้างคะแนนเสียงเป็นกลุ่มก้อน แม้เรื่องดำก็ต้องกลับลำให้เป็นขาว แต่ตอนจะขับไล่นักการเมือง ก็ต้องทำเป็นตรงข้าม คืออาศัยความเกลียดชังเป็นพลังขับดัน บางครั้งเรื่องไม่เป็นเรื่องก็เอามาเป็นเรื่อง ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามทำเรื่องขาว ยังไงก็ต้องกลับให้เป็นดำ เพื่อสร้างความเกลียดรายวันไว้ก่อน
ในมุมมองแบบพุทธ วิถีทางของการขับไล่คนชั่วที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องอาศัยความเกลียด แต่อาศัยความสามารถเห็นภาพรวมร่วมกัน เช่น
๑) การยอมตกเป็นเครื่องมือสร้างสถานการณ์รุนแรง ก็คือการยอมเป็นบันไดช่วยให้อีกขั้วอำนาจหนึ่งก้าวขึ้นมาแทนที่ชั่วคราวเท่านั้น ข้อดีคือตัดตอนไม่ให้เกิดเผด็จการถาวร ข้อเสียคือมีสิทธิ์ต้องรวมตัวออกมาด่า ออกมาแสดงความเกรี้ยวกราดกันใหม่ หลังขั้วอำนาจใหม่ออกลาย
๒) การร่วมกันด่าทอไม่ใช่การแสดงความเข้มแข็งทางจิตใจที่แท้จริง ความเข้มแข็งทางจิตใจที่แท้จริงคือการไม่ยอมรับใช้ความชั่วร้ายต่างหาก ทุกวันนี้ถ้าจะทำธุรกิจใหญ่ๆ ต้องมีการวิ่งเต้น เล่นเส้นเล่นสายกับนักการเมืองกันทั้งนั้น ยอมให้นักการเมืองขอนั่นขอนี่กันทั้งนั้น นั่นแหละ ที่ประชาชนช่วยกันคนละไม้คนละมือ หล่อเลี้ยงความชั่วร้ายเอาไว้ หากจะกำจัดกันที่ต้นตอความชั่วร้าย เราต้องเลิกมองหาพระเอก เลิกคาดหวังว่าจะมีซูเปอร์ฮีโร่ หล่อ รวย ใจบุญ เสนอตัวเข้ามารับใช้ชาติด้วยการเป็นนักการเมือง แต่ต้องพร้อมใจกันเลิกให้อาหารหล่อเลี้ยงความชั่วร้ายกันให้ได้ก่อน
แต่หากรวมตัวกันไม่ติด ก็ต้องทำอย่างที่ควรทำ คือรวมตัวกันออกมาต่อต้านความชั่วร้ายกันเป็นครั้งๆ ขออย่างเดียว ขอแบบชาวพุทธขอชาวพุทธ คือ อย่าอาศัยความเกลียดเป็นพลังขับดัน เพราะความเกลียดที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศนั่นแหละครับ ปีศาจหน้ามืดที่มีอำนาจทำลายล้างความดี ความสว่างของคนทั้งประเทศได้เร็วกว่า รุนแรงกว่าเผด็จการไหนๆ เราบ่นกันทุกวันไม่ใช่หรือว่า ทำไมคนสมัยนี้ประสาทกินกันไปหมด แค่เรื่องเล็กเรื่องน้อยก็ด่ากันแรงๆ หรืออยากฆ่าแกงกันให้ตาย คำตอบง่ายๆที่ไม่น่าปฏิเสธก็คือ ทุกคนมีส่วนช่วยกันคนละไม้คนละมือ กระพือความเกลียดให้กว้างไกลออกไปเรื่อยๆ โดยมีหนึ่งในต้นตอเป็นเรื่องทางการเมืองนี่แหละ!
ผู้ตอบ คุณดังตฤน
ที่มา :
http://forum.02dual.com/index.php?topic=7343.0
ธรรมะกับการเมืองในปัจจุบัน
ตอบ - เท่าที่ผมเห็นในเฟส ในทวิตเตอร์ แวดวงคอธรรมะก็ด่าทอและเกลียดชังนักการเมืองกันเหมือนคนทั่วไปนะครับ ไม่ค่อยเห็นใครอยู่เฉยกันเท่าไร
ถ้าคุยกันตรงไปตรงมา สิ่งที่ต้องเข้าใจกันจริงๆก็คือ ระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่ระบอบคัดคนดี รักษาคนมีฝีมือ แต่เป็นระบอบที่เอื้อให้คนรวยแย่งอำนาจกัน ใครมีเงิน มีพรรคพวก มีความใจกล้า อยากเข้าสู่วงจรการปกครอง ก็มีบันไดขั้นต่างๆให้ ส่วนคนดี มีแต่ชื่อเสียง สั่งสมบารมีมายาวนานนั้น ให้ฝันไปก่อนว่าจะได้มาสะสางอะไรๆอย่างใจ
การเมืองคือเกมชิงอำนาจ ไม่ใช่เวทีประกวดความดี แล้วแต่ไหนแต่ไรมา เกมชิงอำนาจก็ไม่เหมาะกับคนดีเท่าไหร่หรอก บางคนเริ่มต้นด้วยทุนความดีงามอันหนาแน่น แต่พอต้องมาปะปนกับคนเลว ก็มีแค่สองทางเลือก คือ ยอมถูกกลืนกินหนึ่ง กับถอนตัวออกมาเสียก่อนจะสายหนึ่ง
หลักการแบบประชาธิปไตย คือ ‘ประชาชนรวมตัวกันเลือกคนดี’ เข้ามาปกครองบ้านเมือง ปัญหามีนิดเดียว คือ ถ้าคนดีไม่มาให้เลือก แล้วประชาชนจะทำอย่างไร?
ตามวิถีธรรมชาติ ตอนจะเอานักการเมืองเข้ามาปกครองบ้านเมือง ต้องอาศัยความรักความชอบสร้างคะแนนเสียงเป็นกลุ่มก้อน แม้เรื่องดำก็ต้องกลับลำให้เป็นขาว แต่ตอนจะขับไล่นักการเมือง ก็ต้องทำเป็นตรงข้าม คืออาศัยความเกลียดชังเป็นพลังขับดัน บางครั้งเรื่องไม่เป็นเรื่องก็เอามาเป็นเรื่อง ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามทำเรื่องขาว ยังไงก็ต้องกลับให้เป็นดำ เพื่อสร้างความเกลียดรายวันไว้ก่อน
ในมุมมองแบบพุทธ วิถีทางของการขับไล่คนชั่วที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องอาศัยความเกลียด แต่อาศัยความสามารถเห็นภาพรวมร่วมกัน เช่น
๑) การยอมตกเป็นเครื่องมือสร้างสถานการณ์รุนแรง ก็คือการยอมเป็นบันไดช่วยให้อีกขั้วอำนาจหนึ่งก้าวขึ้นมาแทนที่ชั่วคราวเท่านั้น ข้อดีคือตัดตอนไม่ให้เกิดเผด็จการถาวร ข้อเสียคือมีสิทธิ์ต้องรวมตัวออกมาด่า ออกมาแสดงความเกรี้ยวกราดกันใหม่ หลังขั้วอำนาจใหม่ออกลาย
๒) การร่วมกันด่าทอไม่ใช่การแสดงความเข้มแข็งทางจิตใจที่แท้จริง ความเข้มแข็งทางจิตใจที่แท้จริงคือการไม่ยอมรับใช้ความชั่วร้ายต่างหาก ทุกวันนี้ถ้าจะทำธุรกิจใหญ่ๆ ต้องมีการวิ่งเต้น เล่นเส้นเล่นสายกับนักการเมืองกันทั้งนั้น ยอมให้นักการเมืองขอนั่นขอนี่กันทั้งนั้น นั่นแหละ ที่ประชาชนช่วยกันคนละไม้คนละมือ หล่อเลี้ยงความชั่วร้ายเอาไว้ หากจะกำจัดกันที่ต้นตอความชั่วร้าย เราต้องเลิกมองหาพระเอก เลิกคาดหวังว่าจะมีซูเปอร์ฮีโร่ หล่อ รวย ใจบุญ เสนอตัวเข้ามารับใช้ชาติด้วยการเป็นนักการเมือง แต่ต้องพร้อมใจกันเลิกให้อาหารหล่อเลี้ยงความชั่วร้ายกันให้ได้ก่อน
แต่หากรวมตัวกันไม่ติด ก็ต้องทำอย่างที่ควรทำ คือรวมตัวกันออกมาต่อต้านความชั่วร้ายกันเป็นครั้งๆ ขออย่างเดียว ขอแบบชาวพุทธขอชาวพุทธ คือ อย่าอาศัยความเกลียดเป็นพลังขับดัน เพราะความเกลียดที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศนั่นแหละครับ ปีศาจหน้ามืดที่มีอำนาจทำลายล้างความดี ความสว่างของคนทั้งประเทศได้เร็วกว่า รุนแรงกว่าเผด็จการไหนๆ เราบ่นกันทุกวันไม่ใช่หรือว่า ทำไมคนสมัยนี้ประสาทกินกันไปหมด แค่เรื่องเล็กเรื่องน้อยก็ด่ากันแรงๆ หรืออยากฆ่าแกงกันให้ตาย คำตอบง่ายๆที่ไม่น่าปฏิเสธก็คือ ทุกคนมีส่วนช่วยกันคนละไม้คนละมือ กระพือความเกลียดให้กว้างไกลออกไปเรื่อยๆ โดยมีหนึ่งในต้นตอเป็นเรื่องทางการเมืองนี่แหละ!
ผู้ตอบ คุณดังตฤน
ที่มา : http://forum.02dual.com/index.php?topic=7343.0