น้องแขก..คำผกาเขาฝากมา..

กระทู้สนทนา
..

ไม่ใช่แสงอำมหิต และเป็นแสงชี้ทางชีวิตให้ไอ้พวกกบฏ ทั้งหลายได้สำนึก และรู้จักอายกันบ้าง..

โดยเฉพาะ ตอนตบท้ายว่า..

การกล่าวว่าต้องเลื่อนเลือกตั้งเพราะกลัวความรุนแรง จึงคล้ายเป็นการกล่าวว่า "อย่าสร้างบ้านเลย นอนข้างถนนดีกว่า เพราะมีบ้านแล้วเดี๋ยวโจรจะมาปล้นบ้าน"

ปัญหาโจรปล้นบ้านคงไม่ได้อยู่ที่คนมีบ้านแต่อยู่ที่โจร-ไม่ใช่หรือ..?


เจ็บอ่ะ..

-----------------------------

ยลฉบับเต็มที่คัดมาจากมติชน ..

คำเตือน : ยาวไปนิด สลิ่มสมาธิสั้น ไม่ควรอ่านถ้าไม่จำเป็น


"ปิดปรับปรุงประเทศชั่วคราว"

ประโยคนี้ล้อกับประโยคที่เราคุ้นเคยว่า"ปิดปรับปรุงร้านชั่วคราว"เช่นร้านอาหารอาจจะปิดร้านไป1เดือน เพื่อซ่อมแซมร้าน เปลี่ยนโต๊ะ เก้าอี้ ปรับปรุงหลังคา ล้างแอร์ renovate แต่งร้านใหม่ให้สวยกว่าเดิม

การปิดปรับปรุงร้านชั่วคราว เจ้าของร้านยอมเพิ่มเงินลงทุน ยอมสูญเสียรายได้ในช่วงที่ปิดร้าน ด้วยคิดคำนวณแล้วว่า หากเปิดร้านมาอีกครั้งในโฉมใหม่ที่สดใสกว่าเดิม จะเรียกลูกค้าได้มากขึ้น กิจการจะดีขึ้น

คำถามคือ เราสามารถปิดประเทศเพื่อปรับปรุงชั่วคราวแล้วค่อยเปิดใหม่ได้หรือไม่?

คำตอบ "ไม่ได้" เพราะว่า ประเทศชาติ ไม่ใช่ร้านอาหารที่มีเจ้าของ 1 คน หรือ 4 คน 5 คน 10 คน หลายคนในนามของหุ้นส่วน ที่สามารถตกลงยินยอมพร้อมใจกันว่า "โอเค เราปิดร้านกันชั่วคราว" หรือถ้าจะเปรียบเทียบให้ใกล้เคียง สมมุติว่า มีหุ้นส่วน 10 คน, 3 คนบอกว่า อยากปิดร้านเพื่อปรับปรุงชั่วคราว แต่อีก 7 คนเห็นว่า ยังไม่จำเป็นต้องปิด, การประชุมหุ้นส่วนก็คงต้องฟังเสียงข้างมาก หรือมิเช่นนั้นก็ต้องฟังหุ้นส่วนที่ถือหุ้นในสัดส่วนที่มากที่สุด

แต่สำหรับประเทศชาติ ไม่สามารถ "ปิดชั่วคราวได้" เพราะเจ้าของประเทศไทยคือคนไทยเจ็ดสิบกว่าล้านคน

ถ้าคุณคือเจ้าของประเทศจำนวนสิบสองล้านคนอยากปิดประเทศแต่มีคนไทยอีกสิบห้าล้านคนไม่อยากปิดประเทศคุณจะจัดการอย่างไรกับคนไทยอีกสิบห้าล้านคนนั้นที่เขามีสิทธิความเป็นเจ้าของประเทศเท่าๆกันกับคุณ?

ยิ่งไปกว่านั้น"ประเทศชาติ"ไม่ใช่ร้านอาหาร ไม่ใช่บริษัท ไม่ใช่กิจการ ที่จะปิดไปชั่วคราวแล้วเปิดใหม่ได้

แต่ "ประเทศชาติ" คือหน่วยของสังคมการเมืองที่มีชีวิตมนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกันภายใต้กติกาและกฎหมายของรัฐชาติสมัยใหม่ที่ยึดถือคุณค่าว่าด้วยสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐานร่วมกัน

นั่นคือให้เป็นหน่วยของสังคมการเมืองที่มนุษย์ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพที่จะมีชีวิตในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ว่าจะยากดีมีจนจะมีงานทำหรือจะตกงานจะเป็นหญิงชายเกย์ เลสเบี้ยน จะแต่งงานหรือจะไม่แต่งงาน จะร่ำรวยหรือยากจน พวกเขามีสิทธิที่จะดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีเท่าๆ กับมนุษย์คนอื่นๆ มีเสรีภาพในการเดินทาง ในการพูด คิด เขียน แสดงออกซึ่งความคิดเห็นทางการเมือง มีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก

การปิดประเทศจึงไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับการปิดกิจการชั่วคราวได้

เพราะประเทศชาติไม่ใช่ธุรกิจแต่เป็นหน่วยทางการเมืองที่มีเพื่อ"โอบอุ้ม"มนุษย์ทุกคนที่เป็นสมาชิกของสังคมการเมืองนั้นๆให้ได้มีชีวิตที่ดีตามอัตภาพของพวกเขามีความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินตามหลักประกันว่าด้วยสิทธิมนุษยชนเบื้องต้นนั่นเอง(รวมไปถึงคนต่างชาติผู้อพยพ คนเถื่อน หรือแม้กระทั่งอาชญากร คนชายขอบทุกประเภท)

เพราะฉะนั้น การลุกขึ้นมา "ปิดประเทศ" โดยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอาจจะกระทำผ่านการใช้อำนาจของกองกำลังที่มีอาวุธอยู่ในมือ หรือมีกองกำลังปัญญาชนเผด็จการอยู่ในมือ จึงเท่ากับเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

เป็นการ "ปล้น" สิทธิ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น

หาใช่เป็นการ "ปิดชั่วคราวเพื่อปรับปรุง"



ประโยคถัดมา "ล้างโกงก่อนเลือกตั้ง"

ประโยคนี้ก็เป็นประโยคชวนฝัน ทว่า เป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง

เพราะในระบบการบริหารไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือเอกชนย่อมมีสิ่งที่เรียกว่าการโกงและการคอร์รัปชั่นในระดับที่ต่างๆกันเท่าที่เติบโตมาและอ่านหนังสือได้ยังไม่เคยอ่านพบว่ามีรัฐบาลของประเทศไหน"ปลอด"การโกงหรือการคอร์รัปชั่นสะอาดพิสุทธิ์ดั่งสาวพรหมจรรย์เลยแม้แต่รัฐบาลเดียว

หากจะมีรัฐบาลไหนที่อวดอ้างได้ว่าเป็นรัฐบาลใจซื่อมือสะอาดปราศจากคอร์รัปชั่นได้เต็มปากเต็มคำก็คงมีแต่รัฐบาลเผด็จการเท่านั้นเพราะเป็นรัฐบาลที่ประชาชนไม่สามารถตรวจสอบได้เมื่อตรวจสอบไม่ได้จึงไม่รู้ว่ามีคอร์รัปชั่น

เมื่อไม่รู้ว่า"มี"จึงเชื่อไปได้ว่ามัน"ไม่มี"

ในทางตรงกันข้ามระบอบประชาธิปไตยต่างหากที่ทำให้เราจัดการกับปัญหาคอร์รัปชั่นได้ดีขึ้น

เมื่อเป็นประชาธิปไตยมาก ตรวจสอบได้มาก จึงพบว่ามีการคอร์รัปชั่นมาก

มองดูอย่างผิวเผินจึงชวนให้ท้อใจว่า-ว้า ประชาธิปไตยนี่แย่จัง นักการเมืองนี่เลวจริง เอามือควานไปเรื่องไหนก็เจอแต่เรื่องคอร์รัปชั่นเยอะแยะไปหมด-ก็คงต้องค่อยอธิบายให้พ่อเจ้าประคุณ แม่เจ้าประคุณทั้งหลายฟังว่า

"ใจเย็นๆ นะจ๊ะ ที่เราเจอเคสโกงเยอะแยะไปหมด ก็เพราะเราตรวจสอบได้มาก มีอำนาจจับผิดได้เยอะไง อย่าตกใจไป พอเจอเคสเยอะๆ ก็ค่อยๆ ตั้งหลักแก้ปัญหาในระบอบประชาธิปไตยนี่แหละ และทางแก้คอร์รัปชั่นที่ได้ผลกันมากคือ การกระจายอำนาจ เพื่อให้หน่วยการบริหารเล็กลง เมื่อเล็กลง ประชาชนก็ตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ใกล้ชิดขึ้น รวดเร็วขึ้น ไม่ใช่โกงในระดับหมู่บ้านแล้วมาตรวจสอบกันในระดับประเทศ กว่าเรื่องจะมาถึง กว่าตีกลับ กว่าจะอะไรต่อมิอะไร ทั้งคนโกงคนถูกโกงก็พากันตายห่าไปหมดแล้ว การแก้ไขปัญหาการโกงการคอร์รัปชั่นก็เหมือนเราเจอหนูในบ้าน วิธีที่จะกำจัดหนู ไม่ใช่การเผาบ้านทิ้ง ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่การปิดไฟ เพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นหนูเลยคิดว่าไม่มีหนู"

เพราะฉะนั้น คำตอบคือ ล้างโกงก่อนเลือกตั้งไม่ได้ เพราะล้างโกงก่อนเลือกตั้งคือการปิดไฟ คือการเผาบ้าน เราต้องเลือกตั้งค่ะ เพื่อเป็นการเปิดไฟ หาหนูให้เจอ แล้วกำจัดมัน"



"ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง"

คำถามคือทำไมต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง?

ทำไมถึงเลือกตั้งแล้วปฏิรูปไม่ได้?

คำตอบวนไปที่ต้องล้างบางนักการเมืองชั่วก็ต้องถามต่อไปว่าล้างบางนักการเมืองชั่วด้วยวิธีไหน?

และใครเข้าข่ายนักการเมืองชั่วบ้าง?

ใช้วิธีไหนล้าง?

ล้างแล้วหมดประเทศเลยจริงหรือไม่?

แล้วหากล้างจนหมดจดมีการเลือกตั้งอีกคนหน้าใหม่ที่เข้ามาเป็นนักการเมืองก็ชั่วอีกเรามิได้ต้องปิดประเทศกันไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดหรือ?

ถามต่อไปได้อีกว่าหากบอกว่านักการเมืองชั่วแล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่า คนที่จะ "สรรหา" มาบริหารประเทศในระหว่างที่ล้างบางนักการเมืองชั่ว นั้นคือคนดี และรักษาความดีได้ตลอดสมัยการบริหารประเทศ และหากต่อมาเราพบว่าเขาไม่ใช่คนดีอีกต่อไป เราจะจัดการกับเขาได้อย่างไร เอาอำนาจอะไรมาจัดการ?

ถามต่อไปว่าเราต้องปฏิรูปนานเท่าไหร่?

ใครกำหนดระยะเวลา?

และระยะเวลาที่กำหนดนั้นทำอย่างไรจะให้เป็นฉันทานุมัติของสังคม?

ถ้าสังคมไม่มีฉันทานุมัติในประเด็นกรอบของเวลาการปฏิรูปเช่นบ้างก็เห็นว่าหกเดือนบ้างก็เห็นว่าแปดเดือนบ้างเห็นว่าสามปี ฯลฯ เมื่อเห็นไม่ตรงกันเช่นนี้ใครจะเป็นคนเลือกรอบของเวลา?

แล้วหากเลือกมาแล้วมีคนจำนวนมากไม่เห็นด้วยจะทำอย่างไรหรือหากกำหนดกรอบเวลาแล้วทำไม่ได้อย่างราคาคุยใครจะเป็นคนรับผิดชอบต่อความเสียหายทางเวลาที่เกิดขึ้นไม่นับค่าเสียหายทางโอกาสของประเทศชาติ

สุดท้ายประชาชนในประเทศจะมีอะไรมาการันตีว่าปฏิรูปแล้วจะได้เลือกตั้ง ทั้งไม่มีอะไรมาการันตีว่า ในระหว่างที่ปฏิรูปโดยคณะปฏิรูปที่ไม่มีอำนาจยึดโยงกับประชาชนจะกระทำการละเมิดสิทธิพื้นฐานของประชาชนหรือไม่โดยเฉพาะประชาชนที่ไม่ได้เห็นด้วยกับการปฏิรูปถามต่อไปได้อีกว่าแล้วประชาชนมีสิทธิไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปได้หรือไม่?

หากไม่เห็นด้วยมีสิทธิออกมาก่อม็อบประท้วงหรือไม่?

และมีอะไรมารับประกันว่าคณะปฏิรูปจะไม่ใช้อาวุธและอำนาจที่เด็ดขาดมาปราบปรามประชาชนที่ขัดแย้งกับคณะปฏิรูปฯลฯ

ต่อประเด็นนี้สามารถถามต่อไปได้อีกหลายสิบคำถามต่อความชอบธรรมของกระบวนการปฏิรูปที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนยิ่งไปกว่านั้นมีใครปฏิเสธได้บ้างว่า การปฏิรูปคือ "กระบวนการ" ไม่ใช่ "ผลงานสำเร็จรูป"

การปฏิรูปนั้นเป็นกระบวนการที่ไม่มีจุดจบ ไม่มีคำว่าสำเร็จ แต่มันคือพลวัตของระบอบประชาธิปไตยที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กับวุฒิภาวะของประชาชน สังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม

การปฏิรูปคือกระบวนการของการปะทะ ขัดแย้ง รอมชอม สังสรรค์กันของคนที่แตกต่างกัน ของผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกัน ของความเชื่อที่หลากหลาย ของอุดมคติ และความฝันที่แตกต่างกันไปของคนในสังคม

ทั้งหมดนี้ปะทะ ขัดแย้ง รอมชอม ยอมแพ้บ้าง ถอยบ้าง สู้กลับบ้าง ต่อรองบ้างทั้งในพื้นที่การเมือง และพื้นทางวัฒนธรรม ในกรอบประชาธิปไตย จึงเรียกว่าการปฏิรูป

การปฏิรูปไม่อาจเกิดขึ้นในสังคมที่ถูกแช่แข็ง ในสังคมฟาสซิสต์ที่หล่อหลอมให้คนคิดเหมือนกัน เชื่อเหมือนกัน ศรัทธาในสิ่งเดียวกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา หากเป็นเช่นนั้นมันก็เป็นแค่การล้างสมองที่ถูกแปะฉลากว่าการปฏิรูป



สุดท้าย

"รู้ว่าถ้าเลือกตั้งแล้วจะมีแต่เหตุการณ์วุ่นวายนองเลือดยังจะเลือกตั้งอีกหรือทำไมไม่ลาออกทำไมต้องรีบร้อนเลือกตั้ง"

สำหรับผู้ที่กล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมาเราก็คงต้องเริ่มต้นทบทวนให้ทราบว่ารัฐบาลนี้ยุบสภา เป็นแค่รัฐบาลรักษาการ ลาออกไม่ได้ ถ้าลาออกเท่ากับละเลยการปฏิหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

ส่วนวันเลือกตั้งนั้น กำหนดตามกฎหมาย ตามข้อบังคับ ไม่ได้กำหนดเอาตามอำเภอใจ

ส่วนเรื่องความรุนแรงที่บอกว่าจะเกิดขึ้นหากไม่ยอมเลื่อนเลือกตั้งนั้น ผู้พูดต้องไปทบทวนว่าใครเป็นผู้เริ่มจุดชนวนความรุนแรง?

การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นตามครรลองของกฎหมายถูกขัดขวางโดยผู้ที่ไม่ยอมทำตามกฎหมาย

พรรคประชาธิปปัตย์บอยคอตการเลือกตั้งโดยอ้างเรื่องกติกาที่ไม่เป็นธรรมซึ่งฟังไม่ขึ้นเพราะกติกานี้เป็นกติกาภายใต้รัฐธรรมนูญปี2550ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อพรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำไปไม่นับกฎหมายการเลือกตั้งที่ถูกแก้ในสมัยที่พรรคประชาธิปปัตย์เป็นรัฐบาล

ล่าสุดยังมีผู้กล่าวอ้างไปได้อีกว่า "เกรงว่ารัฐบาลรักษาการจะไม่สามารถจัดการเลือกตั้งที่เป็นธรรมได้" ก็คงต้องตอบว่า ผู้จัดการเลือกตั้งคือ องค์กรอิสระที่ชื่อว่า กกต. หากไม่เชื่อมั่นใน กกต. ก็คงต้องยุบองค์กรอิสระ มิใช่ ยุบหลักการประชาธิปไตยหรือยุบรัฐบาลรักษาการ

ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย มีเพียง 8 จังหวัดเท่านั้นที่ไม่สามารถจัดการรับสมัคร ส.ส. ได้ ซึ่งเรื่องนี้องค์กรที่ต้องพิจารณาความบกพร่องของตนเองมากที่สุดก็หนีไม่พ้น กกต.

หากจะมีความวุ่นวายเพราะการเลือกตั้ง กลุ่มคนที่พึงถูกตั้งคำถามมากที่สุดก็คือกลุ่มคนที่ไม่ต้องการเลือกตั้ง ขัดขวางการเลือกตั้ง มิใช่ประชาชนส่วนใหญ่ที่ทำตามกฎหมาย ไปใช้สิทธิของตนเองเพื่อเลือกผู้แทนฯ ของตนเอง

การกล่าวว่าต้องเลื่อนเลือกตั้งเพราะกลัวความรุนแรง จึงคล้ายเป็นการกล่าวว่า "อย่าสร้างบ้านเลย นอนข้างถนนดีกว่า เพราะมีบ้านแล้วเดี๋ยวโจรจะมาปล้นบ้าน"



ปัญหาโจรปล้นบ้านคงไม่ได้อยู่ที่คนมีบ้านแต่อยู่ที่โจร-ไม่ใช่หรือ?

และการแก้ปัญหาโจรปล้นบ้านก็ต้องไปแก้ที่การใช้กฎหมายรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินไม่ใช่เผาบ้านทิ้งหรือไปนอนข้างถนนแทนการสร้างบ้าน


ขอฝากไว้แต่เพียงเท่านี้


.............

(ที่มา:มติชนสุดสัปดาห์ประจำวันที่ 17- 23 มกราคม 2557)

Thank you very BIG..! ครับคุณ คำพกา..ว่างๆเขียนมาบ่อยๆเน้อ...สลิ่ม หรือแมงแซ่บไม่ชอบ แต่นกเค้าแมวสีคราม ชอบ..!

55555++หัวใจ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่