ทวิตเตอร์ธรรมของ'หลวงพี่เฮมิน'
พระผู้ถูกยกให้เป็น...พี่เลี้ยงทางจิตวิญญาณและเพื่อนของวัยรุ่น
โดย...ไตรเทพ ไกรงู หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
"ความจริงแล้วอาตมาเริ่มเล่นทวิตเตอร์เพราะคิดถึงภาษาแม่ คือภาษาเกาหลี หลังจากใช้แต่ภาษาอังกฤษเพราะอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา บางครั้งเวลาอยู่ในห้องวิจัยอันแสนว่างเปล่าหลังจบการบรรยาย อาตมาก็คิดถึงภาษาของประเทศแม่ขึ้นมา คล้ายกับเป็นโรคคิดถึงบ้าน เวลารู้สึกอย่างนั้น อาตมาจะบันทึกความคิดต่างๆ ที่นึกขึ้นมาได้ในชีวิตประจำวันลงทวิตเตอร์ และบ่อยครั้งเช่นกันที่อาตมารู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลมจากการได้สื่อสารกับคนที่พูดภาษาแม่ด้วย"
"อาตมาจึงเริ่มบอกแก่พวกเขาผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก หรือบล็อก โดยยึดวิถีของศาสนาพุทธเป็นหลัก อาตมาบอกพวกเขาว่า ลองหยุดกันสักพักเถิด บอกว่า ลองหยุดคร่ำครวญถึงอดีต และหยุดจินตนาการถึงอนาคตที่เป็นทุกข์ สงบจิตสงบใจแล้วอยู่กับปัจจุบัน"
นี่คือจุดเริ่มต้นและเหตุผลการเล่นทวิตเตอร์ของ "พระเฮมิน" ( Haemin Sunim) ภิกษุชาวเกาหลีใต้ และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น "พี่เลี้ยงทางจิตวิญญาณและเพื่อนของวัยรุ่น"
หลวงพี่เฮมินบอกว่า หลังจากได้รู้ว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำของตัวเองกลายเป็นคำปลอบประโลมและสร้างความกล้าหาญให้ใครหลายๆ คน อาตมาจึงตัดสินใจเขียนข้อความที่อบอุ่น สดใส และช่วยให้จิตใจของทุกคนสงบลง ด้วยอยากให้ผู้ที่อ่านข้อความเหล่านั้นตระหนักรู้ถึงความสำคัญของตัวเอง รักตัวเอง และอยากให้กลายเป็นพลังเล็กๆ ที่ช่วยให้ผู้อ่านกล้าเข้าไปโอบกอดผู้อื่นได้
ระหว่างที่ได้พูดคุยกับผู้คนจำนวนมากและพบปะกับคนดีๆ อาตมาได้รู้ว่าคนหนุ่มสาวกำลังเหน็ดเหนื่อยอยู่ในสังคมที่แบ่งขั้ว ด้วยปัญหาค่าเล่าเรียน ปัญหาการว่างงาน ความไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน เช่น การจ้างงานชั่วคราว ได้รู้ว่าแม้จะมีสัมพันธภาพกับคนจำนวนมาก แต่คนเราก็ยังโดดเดี่ยวและเจ็บปวดกันอยู่ ดังที่สะท้อนออกมาในรูปแบบของอัตราการฆ่าตัวตายและอัตราการหย่าร้างที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังได้รู้ว่าความรู้สึกที่คิดว่าตัวเราด้อยกว่าคนอื่นเสมอ แม้แต่ในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจนัก ทำให้คนเรามีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกเหมือนตัวเองขาดอะไรบางอย่าง ได้รู้ว่าผู้คนส่วนใหญ่กังวลและประหม่าอยู่เสมอ และได้รู้ว่าคนจำนวนมากเหล่านั้นเจ็บปวดอยู่
"แม้อาตมาจะยังเรียนรู้มาได้ไม่มาก และอาจจะยังไม่เข้าใจความเป็นพระอย่างถ่องแท้ แต่อาตมาอยากบอกคนเหล่านั้นให้ได้ อาตมาจึงเริ่มบอกแก่พวกเขาผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก หรือบล็อก โดยยึดวิถีของศาสนาพุทธเป็นหลัก อาตมาบอกพวกเขาว่า ลองหยุดกันสักพักเถิด บอกว่า ลองหยุดคร่ำครวญถึงอดีต และหยุดจินตนาการถึงอนาคตที่เป็นทุกข์ สงบจิตสงบใจแล้วอยู่กับปัจจุบัน บอกว่า การเดินทางด้วยความรีบเร่งอยู่เสมออาจทำให้พลาดสิ่งที่สำคัญจริงๆ ได้ บอกว่า ถ้าหยุดให้จิตใจอยู่กับปัจจุบันสักพัก ตัวตนทั้งภายนอกและภายในของคุณจะเผยออกมา พวกเรามานิ่งมองตัวตนของเราอยู่เงียบๆ ไปด้วยกันเถิด" หลวงพี่เฮมินกล่าว พร้อมกับบอกด้วยว่า
อยากหลายๆ คน ไม่สิ แม้จะมีคนฟังแค่คนเดียว อาตมาก็ยังอยากบอกว่า ปัญญาแห่งชีวิตนั้น เราไม่ต้องต่อสู้มากมายเพื่อให้ได้มา แต่มันคือความจริงง่ายๆ ที่จะเปิดเผยออกมาเองเมื่อคุณหยุดนิ่งและผ่อนคลาย เมื่อปัญญาแห่งชีวิตเกิดขึ้นแล้ว คุณจะมองตัวตนและสถานการณ์ในตอนนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณรู้ได้เลยว่า คุณจะต้องเดินไปทางไหนและอย่างไร แล้วในตอนนั้นคุณจะรู้สึกสบายใจขึ้นด้วย
"อาตมาอยากจะบอกอะไรหลายๆ อย่าง อาตมาขออุทิศหนังสือเล่มนี้ให้ครูทั้งหลายเหล่านี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นตัวช่วยตัวน้อยๆ สำหรับคนที่เหนื่อยกับการใช้ชีวิตราวกับวิ่งไล่จับ สำหรับคนที่ตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะใช้ชีวิตให้เครียดน้อยลง แต่กลับไม่ได้ดั่งใจ สำหรับคนที่ไม่พอใจในตัวเองแล้วเจ็บปวดกับการเกลียดใครสักคนหนึ่ง และสำหรับคนที่มองหาชีวิตที่เต็มไปด้วยความรักอันแท้จริง" หลวงพี่เฮมินกกล่าวทิ้งท้าย
"หยุดก็จะเห็น" หนังสือธรรมะขายดีที่สุดในเกาหลี
ทุกครั้งที่รู้สึกว่าโลกที่ล้อมรอบตัวเราอยู่นั้นช่างวุ่นวายเสียจริง จงหยุดแล้วถามตัวเองว่า "ตอนนี้จิตใจของเราหรือโลกกำลังวุ่นวายกันแน่"
เราทำให้ทุกคนบนโลกชอบเราไม่ได้หรอก ไม่ว่าใครจะเกลียดเราหรือไม่ อย่างไรก็ปล่อยเขาไป พูดกันจริงๆ แล้ว ความเกลียดเป็นปัญหาของคนคนนั้น ไม่ใช่ปัญหาของเรา
ทางลัดแห่งความสุข ข้อที่หนึ่ง หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น ข้อที่สอง อย่าหาความสุขจากข้างนอก ให้หาในใจของเราเอง ข้อที่สาม จงหาความงดงามของโลกในตอนนี้ แล้วรู้สึกถึงความงดงามนั้นด้วย
ถ้าสะสมความเจ็บปวด ความเกลียดชัง ความผิดหวัง และความโศกเศร้าไว้ในใจ ก็เหมือนสะสมสารพิษไว้ในร่างกาย ความขมขื่นนั้นจะกลายเป็นยาพิษที่ทำให้ร่างกายป่วย เราต้องทำลายพิษนั้นด้วยการออกกำลังกาย ปรึกษาหารือ สวดมนต์ภาวนา และการสำนึกผิด แล้วขจัดมันให้หมดสิ้นด้วยการหมั่นพินิจพิจารณา
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของข้อคิดคติธรรมสั้นๆ จากหนังสือ "หยุดก็จะเห็น" โดย "พระเฮมิน" ขายดีที่สุดในเกาหลีมากกว่า ๒ ล้านเล่ม ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมมาจากข้อความของ "พระเฮมิน" ที่ทวิตลงในทวิตเตอร์ส่วนตัวของท่านขณะใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ ทั้งเรื่อง "ความรัก ความสัมพันธ์ การเรียน การทำงาน การวางแผนอนาคต การใช้ชีวิตที่ไม่ยุ่งยาก และการปฏิบัติธรรม" ช่วยปลอบประโลมและให้กำลังใจ ให้คำแนะนำและให้ข้อคิดเกี่ยวกับชีวิต กระตุกให้ทุกคนได้หยุดเพื่อเห็นความจริงรายรอบตัว โดยใช้วิธีคิดของพุทธศาสนาเป็นหลักนำทาง นำเสนอในรูปแบบที่ตรงประเด็น เข้าใจง่าย นำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงตนเองเพื่อความสุขและความสำเร็จในชีวิต ทั้งนี้ สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ ได้นำมาแปลเป็นภาษาไทย
พุทธศาสนาในเกาหลี "เหนือ-ใต้"
"มหาวิทยาลัยทงกุก" เป็นมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของเกาหลีใต้ ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๙ ปัจจุบันมีนักศึกษาชายทั้งหมด ๖,๐๐๐ คน มีภิกษุ สามเณรศึกษาอยู่ด้วยประมาณ ๖๐ รูป ใน พ.ศ.๒๕๐๗ คณะสงฆ์เกาหลีใต้ตั้งโครงการแปลและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับเกาหลีขึ้น เรียกว่า "ศูนย์แปลพระไตรปิฎกเกาหลี" ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยทงกุก
ในปัจจุบันคณะสงฆ์ในประเทศเกาหลีใต้ ถือเป็นคณะสงฆ์ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดปรับตัวให้ทันกับเหตุการณ์ต่างๆ อยู่เสมอเพื่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนานั่นเอง กิจการที่พระสงฆ์เกาหลีใต้สนใจและทำกันอย่างเข้มแข็งจริงจังที่สุดคือ การศึกษา ซึ่งเรื่องนี้เป็นการสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในด้านการศึกษานอกจากจะมีโรงเรียนพระปริยัติธรรมสำหรับสอนพระภิกษุ ภิกษุณี สามเณร และสามเณรี (สตรีที่จะบวชเป็นภิกษุณี) แล้ว คณะสงฆ์เกาหลีใต้ยังมีสถานศึกษาฝ่ายสามัญระดับต่างๆ ที่เปิดรับนักเรียนชายหญิงโดยทั่วไปด้วย ซึ่งสถาบันเหล่านี้มีคฤหัสถ์ (บุคคลทั่วไป) เป็นผู้บริหาร แต่อยู่ในความควบคุมดูแลของคณะกรรมาธิการฝ่ายการศึกษาของคณะสงฆ์ สถานศึกษาเหล่านี้แยกประเภทได้ดังนี้ มหาวิทยาลัยและวิทยาลัย ๓ แห่ง โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ๑๑ แห่ง โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ๑๖ แห่ง โรงเรียนประถมศึกษา ๓ แห่ง และโรงเรียนอนุบาล ๗ แห่ง
พระพุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่ประเทศเกาหลีเมื่อ พ.ศ.๙๑๕ โดยสมณทูตซุนเตา เดินทางจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอาณาจักรโคกูรยอ คือ ประเทศเกาหลีในปัจจุบัน และถือว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ส่งเสริมและให้การศึกษาแก่ประชาชน และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชน พร้อมทั้งสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในชาติ พระพุทธศาสนาจึงมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดมา
ส่วนพุทธศาสนาในประเทศเกาหลีเหนือนั้นไม่สามารถที่จะรู้สถานการณ์ได้ เพราะประเทศเกาหลีเหนือปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งไม่สนับสนุนพระพุทธศาสนา ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงเจริญรุ่งเรืองในประเทศเกาหลีใต้มากกว่า แต่ปัจจุบันเริ่มมีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาบ้างแล้ว
วัด Woljong ในเกาหลีเหนือ
ภาพจาก www.flickr.com
ทวิตเตอร์ธรรมของ'หลวงพี่เฮมิน'
พระผู้ถูกยกให้เป็น...พี่เลี้ยงทางจิตวิญญาณและเพื่อนของวัยรุ่น
โดย...ไตรเทพ ไกรงู หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
"ความจริงแล้วอาตมาเริ่มเล่นทวิตเตอร์เพราะคิดถึงภาษาแม่ คือภาษาเกาหลี หลังจากใช้แต่ภาษาอังกฤษเพราะอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา บางครั้งเวลาอยู่ในห้องวิจัยอันแสนว่างเปล่าหลังจบการบรรยาย อาตมาก็คิดถึงภาษาของประเทศแม่ขึ้นมา คล้ายกับเป็นโรคคิดถึงบ้าน เวลารู้สึกอย่างนั้น อาตมาจะบันทึกความคิดต่างๆ ที่นึกขึ้นมาได้ในชีวิตประจำวันลงทวิตเตอร์ และบ่อยครั้งเช่นกันที่อาตมารู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลมจากการได้สื่อสารกับคนที่พูดภาษาแม่ด้วย"
"อาตมาจึงเริ่มบอกแก่พวกเขาผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก หรือบล็อก โดยยึดวิถีของศาสนาพุทธเป็นหลัก อาตมาบอกพวกเขาว่า ลองหยุดกันสักพักเถิด บอกว่า ลองหยุดคร่ำครวญถึงอดีต และหยุดจินตนาการถึงอนาคตที่เป็นทุกข์ สงบจิตสงบใจแล้วอยู่กับปัจจุบัน"
นี่คือจุดเริ่มต้นและเหตุผลการเล่นทวิตเตอร์ของ "พระเฮมิน" ( Haemin Sunim) ภิกษุชาวเกาหลีใต้ และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น "พี่เลี้ยงทางจิตวิญญาณและเพื่อนของวัยรุ่น"
หลวงพี่เฮมินบอกว่า หลังจากได้รู้ว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำของตัวเองกลายเป็นคำปลอบประโลมและสร้างความกล้าหาญให้ใครหลายๆ คน อาตมาจึงตัดสินใจเขียนข้อความที่อบอุ่น สดใส และช่วยให้จิตใจของทุกคนสงบลง ด้วยอยากให้ผู้ที่อ่านข้อความเหล่านั้นตระหนักรู้ถึงความสำคัญของตัวเอง รักตัวเอง และอยากให้กลายเป็นพลังเล็กๆ ที่ช่วยให้ผู้อ่านกล้าเข้าไปโอบกอดผู้อื่นได้
ระหว่างที่ได้พูดคุยกับผู้คนจำนวนมากและพบปะกับคนดีๆ อาตมาได้รู้ว่าคนหนุ่มสาวกำลังเหน็ดเหนื่อยอยู่ในสังคมที่แบ่งขั้ว ด้วยปัญหาค่าเล่าเรียน ปัญหาการว่างงาน ความไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน เช่น การจ้างงานชั่วคราว ได้รู้ว่าแม้จะมีสัมพันธภาพกับคนจำนวนมาก แต่คนเราก็ยังโดดเดี่ยวและเจ็บปวดกันอยู่ ดังที่สะท้อนออกมาในรูปแบบของอัตราการฆ่าตัวตายและอัตราการหย่าร้างที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังได้รู้ว่าความรู้สึกที่คิดว่าตัวเราด้อยกว่าคนอื่นเสมอ แม้แต่ในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจนัก ทำให้คนเรามีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกเหมือนตัวเองขาดอะไรบางอย่าง ได้รู้ว่าผู้คนส่วนใหญ่กังวลและประหม่าอยู่เสมอ และได้รู้ว่าคนจำนวนมากเหล่านั้นเจ็บปวดอยู่
"แม้อาตมาจะยังเรียนรู้มาได้ไม่มาก และอาจจะยังไม่เข้าใจความเป็นพระอย่างถ่องแท้ แต่อาตมาอยากบอกคนเหล่านั้นให้ได้ อาตมาจึงเริ่มบอกแก่พวกเขาผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก หรือบล็อก โดยยึดวิถีของศาสนาพุทธเป็นหลัก อาตมาบอกพวกเขาว่า ลองหยุดกันสักพักเถิด บอกว่า ลองหยุดคร่ำครวญถึงอดีต และหยุดจินตนาการถึงอนาคตที่เป็นทุกข์ สงบจิตสงบใจแล้วอยู่กับปัจจุบัน บอกว่า การเดินทางด้วยความรีบเร่งอยู่เสมออาจทำให้พลาดสิ่งที่สำคัญจริงๆ ได้ บอกว่า ถ้าหยุดให้จิตใจอยู่กับปัจจุบันสักพัก ตัวตนทั้งภายนอกและภายในของคุณจะเผยออกมา พวกเรามานิ่งมองตัวตนของเราอยู่เงียบๆ ไปด้วยกันเถิด" หลวงพี่เฮมินกล่าว พร้อมกับบอกด้วยว่า
อยากหลายๆ คน ไม่สิ แม้จะมีคนฟังแค่คนเดียว อาตมาก็ยังอยากบอกว่า ปัญญาแห่งชีวิตนั้น เราไม่ต้องต่อสู้มากมายเพื่อให้ได้มา แต่มันคือความจริงง่ายๆ ที่จะเปิดเผยออกมาเองเมื่อคุณหยุดนิ่งและผ่อนคลาย เมื่อปัญญาแห่งชีวิตเกิดขึ้นแล้ว คุณจะมองตัวตนและสถานการณ์ในตอนนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณรู้ได้เลยว่า คุณจะต้องเดินไปทางไหนและอย่างไร แล้วในตอนนั้นคุณจะรู้สึกสบายใจขึ้นด้วย
"อาตมาอยากจะบอกอะไรหลายๆ อย่าง อาตมาขออุทิศหนังสือเล่มนี้ให้ครูทั้งหลายเหล่านี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นตัวช่วยตัวน้อยๆ สำหรับคนที่เหนื่อยกับการใช้ชีวิตราวกับวิ่งไล่จับ สำหรับคนที่ตั้งความหวังเอาไว้ว่าจะใช้ชีวิตให้เครียดน้อยลง แต่กลับไม่ได้ดั่งใจ สำหรับคนที่ไม่พอใจในตัวเองแล้วเจ็บปวดกับการเกลียดใครสักคนหนึ่ง และสำหรับคนที่มองหาชีวิตที่เต็มไปด้วยความรักอันแท้จริง" หลวงพี่เฮมินกกล่าวทิ้งท้าย
"หยุดก็จะเห็น" หนังสือธรรมะขายดีที่สุดในเกาหลี
ทุกครั้งที่รู้สึกว่าโลกที่ล้อมรอบตัวเราอยู่นั้นช่างวุ่นวายเสียจริง จงหยุดแล้วถามตัวเองว่า "ตอนนี้จิตใจของเราหรือโลกกำลังวุ่นวายกันแน่"
เราทำให้ทุกคนบนโลกชอบเราไม่ได้หรอก ไม่ว่าใครจะเกลียดเราหรือไม่ อย่างไรก็ปล่อยเขาไป พูดกันจริงๆ แล้ว ความเกลียดเป็นปัญหาของคนคนนั้น ไม่ใช่ปัญหาของเรา
ทางลัดแห่งความสุข ข้อที่หนึ่ง หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น ข้อที่สอง อย่าหาความสุขจากข้างนอก ให้หาในใจของเราเอง ข้อที่สาม จงหาความงดงามของโลกในตอนนี้ แล้วรู้สึกถึงความงดงามนั้นด้วย
ถ้าสะสมความเจ็บปวด ความเกลียดชัง ความผิดหวัง และความโศกเศร้าไว้ในใจ ก็เหมือนสะสมสารพิษไว้ในร่างกาย ความขมขื่นนั้นจะกลายเป็นยาพิษที่ทำให้ร่างกายป่วย เราต้องทำลายพิษนั้นด้วยการออกกำลังกาย ปรึกษาหารือ สวดมนต์ภาวนา และการสำนึกผิด แล้วขจัดมันให้หมดสิ้นด้วยการหมั่นพินิจพิจารณา
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของข้อคิดคติธรรมสั้นๆ จากหนังสือ "หยุดก็จะเห็น" โดย "พระเฮมิน" ขายดีที่สุดในเกาหลีมากกว่า ๒ ล้านเล่ม ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมมาจากข้อความของ "พระเฮมิน" ที่ทวิตลงในทวิตเตอร์ส่วนตัวของท่านขณะใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ ทั้งเรื่อง "ความรัก ความสัมพันธ์ การเรียน การทำงาน การวางแผนอนาคต การใช้ชีวิตที่ไม่ยุ่งยาก และการปฏิบัติธรรม" ช่วยปลอบประโลมและให้กำลังใจ ให้คำแนะนำและให้ข้อคิดเกี่ยวกับชีวิต กระตุกให้ทุกคนได้หยุดเพื่อเห็นความจริงรายรอบตัว โดยใช้วิธีคิดของพุทธศาสนาเป็นหลักนำทาง นำเสนอในรูปแบบที่ตรงประเด็น เข้าใจง่าย นำไปสู่การพัฒนาปรับปรุงตนเองเพื่อความสุขและความสำเร็จในชีวิต ทั้งนี้ สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ ได้นำมาแปลเป็นภาษาไทย
พุทธศาสนาในเกาหลี "เหนือ-ใต้"
"มหาวิทยาลัยทงกุก" เป็นมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของเกาหลีใต้ ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๙ ปัจจุบันมีนักศึกษาชายทั้งหมด ๖,๐๐๐ คน มีภิกษุ สามเณรศึกษาอยู่ด้วยประมาณ ๖๐ รูป ใน พ.ศ.๒๕๐๗ คณะสงฆ์เกาหลีใต้ตั้งโครงการแปลและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับเกาหลีขึ้น เรียกว่า "ศูนย์แปลพระไตรปิฎกเกาหลี" ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยทงกุก
ในปัจจุบันคณะสงฆ์ในประเทศเกาหลีใต้ ถือเป็นคณะสงฆ์ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดปรับตัวให้ทันกับเหตุการณ์ต่างๆ อยู่เสมอเพื่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนานั่นเอง กิจการที่พระสงฆ์เกาหลีใต้สนใจและทำกันอย่างเข้มแข็งจริงจังที่สุดคือ การศึกษา ซึ่งเรื่องนี้เป็นการสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในด้านการศึกษานอกจากจะมีโรงเรียนพระปริยัติธรรมสำหรับสอนพระภิกษุ ภิกษุณี สามเณร และสามเณรี (สตรีที่จะบวชเป็นภิกษุณี) แล้ว คณะสงฆ์เกาหลีใต้ยังมีสถานศึกษาฝ่ายสามัญระดับต่างๆ ที่เปิดรับนักเรียนชายหญิงโดยทั่วไปด้วย ซึ่งสถาบันเหล่านี้มีคฤหัสถ์ (บุคคลทั่วไป) เป็นผู้บริหาร แต่อยู่ในความควบคุมดูแลของคณะกรรมาธิการฝ่ายการศึกษาของคณะสงฆ์ สถานศึกษาเหล่านี้แยกประเภทได้ดังนี้ มหาวิทยาลัยและวิทยาลัย ๓ แห่ง โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ๑๑ แห่ง โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ๑๖ แห่ง โรงเรียนประถมศึกษา ๓ แห่ง และโรงเรียนอนุบาล ๗ แห่ง
พระพุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่ประเทศเกาหลีเมื่อ พ.ศ.๙๑๕ โดยสมณทูตซุนเตา เดินทางจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอาณาจักรโคกูรยอ คือ ประเทศเกาหลีในปัจจุบัน และถือว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ส่งเสริมและให้การศึกษาแก่ประชาชน และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชน พร้อมทั้งสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในชาติ พระพุทธศาสนาจึงมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดมา
ส่วนพุทธศาสนาในประเทศเกาหลีเหนือนั้นไม่สามารถที่จะรู้สถานการณ์ได้ เพราะประเทศเกาหลีเหนือปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งไม่สนับสนุนพระพุทธศาสนา ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงเจริญรุ่งเรืองในประเทศเกาหลีใต้มากกว่า แต่ปัจจุบันเริ่มมีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาบ้างแล้ว
วัด Woljong ในเกาหลีเหนือ
ภาพจาก www.flickr.com