มือใหม่ขอฝากเนื้อฝากตัวไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของชาวพันทิบด้วยค่ะ เรื่องนี้เป็นนิยายเืรื่องที่สองที่แต่งแต่เป็นเรื่องแรกที่ลงพันทิบ แนะนำติชมได้ตามสบายเลยค่ะ
บทที่ 1
เสียงท้องฟ้าคำรามรุนแรงดังจะประกาศให้มนุษย์ผู้ลุ่มหลงในความเก่งกาจของตนเองได้รับรู้ว่าไม่มีสัตว์โลกชนิดไหนจะยิ่งใหญ่ไปกว่าธรรมชาติผู้ให้กำเนิดแรกเริ่มชีวิตเหล่านั้นมา แสงขาววาบปรากฏเส้นแนวระแหงบนท้องฟ้าเพียงแวบเดียวก็อันตรธานไปในเมฆครึม ทิ้งไว้เพียงความหวาดหวั่นในใจเด็กหญิง
ฝนเกรี้ยวกราดพัดโหมไร้แววปราณีแม้กับร่างเล็กบางของเด็กน้อยผู้ไม่เดียงสา เด็กหญิงห่อตัวกระชับวงแขนขับไร้ความเหน็บหนาวที่ปกคลุมร่างกายหากแต่มันไม่สามรถปลดเปลื้องความหนาวเหน็บที่เกาะกุมหัวใจดวงน้อยให้หลุดออกไปได้
“หยุดนะยัยพิมพ์ แกจะไปไหน กลับมานี่ ฉันบอกให้แกกลับมาหาฉัน”
เสียงตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวเบื้องหลังทำให้เด็กหญิงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ไม่สักนิดแม้จะหันหลังไปมองบุคคลต้นเสียง
“ยัยพิมพ์ฉันบอกให้แกกลับมา ได้ยินมั้ย นี่แกกล้าดื้อกับฉันได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
ประโยคต่อมาทำให้เด็กหญิงก้าวเท้าวิ่งแทนการเดินเร็วๆ ร่างเล็กเปียกโชกน้ำฝนไม่ต่างจากร่างใหญ่ที่วิ่งตามมา
เท้าเล็กย่ำไปบนแอ่งน้ำเฉอะแฉะ ไม่พรั่นพรึงต่อความโหดร้ายของพายุฝนสักนิด หากเสียงความเกรี้ยวโกรธของคนที่วิ่งตามมาต่างหากที่ทำให้เด็กหญิงหวาดกลัว เด็กน้อยกลัวเสียงนั้นกลัวจนบางครั้งนึกชิงชังไปถึงร่างใหญ่ต้นเสียง ชิงชังในความผูกพันที่เขาหยิบยื่นให้ ชิงชังในโชคชะตาของเธอและหล่อน คนร่างใหญ่ออกวิ่งตามมาติดๆ
เด็กน้อยเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นข้อเท้าเล็กยังเปราะบางมากนัก เด็กหญิงสะดุดล้มลงทว่าไม่มีเสียงร้องให้โอดครวญอย่างเด็กเล็กทั่วไป เด็กหญิงดื้อรั้นและทิฐิพอที่จะลุกขึ้นวิ่งต่อ แต่ไม่เร็วไปกว่าร่างใหญ่ที่มาถึงตัวเธอพอดี หญิงสาววัยสามสิบต้นๆกระชากร่างเด็กหญิงอย่างไม่ปราณีปราศรัยมือเรียวใหญ่ฟาดสะเปะสะปะไปตามตัวเด็กน้อย หนักและแรงพอที่จะทำให้ร่างเล็กนั้นดิ้นเร้าๆได้ หากแต่เรียวปากบางเล็กนั้นยังไม่เล็ดลอดคำขออุทธรณ์ มีเพียงเสียงจากคนร่างใหญ่เท่านั้นที่แผดร้องอย่างบ้าครั่ง
“แกกล้าอวดดีกับฉันขนาดนี้เชียวเหรอ ทำไมแกถึงได้ดื้อรั้นเกินตัวขนาดนี้ อายุแค่ 7 ขวบแก่แดดริจะหนีเที่ยว”
“หนูไม่ได้จะหนีเที่ยว หนูจะไปหาพ่อ” เสียงเล็กใสตามวัยผ้าขาวแต่แฝงไว้ด้วยความแข็งกร้าว
“นี่แกกล้าเถียงฉันเหรอ แกนี่มันเหมือนพ่อแกไม่มีผิดอวดดี”
หญิงสาวหายใจกระหืดกระหอบมือข้างหนึ่งจับต้นแขนเด็กหญิงมั่น มืออีกข้างหยุดทุบตีไปนานแล้ว
“อ๋อ...คงสอนกันมาสิท่า ชอบมากสินะไอ้นิสัยชั่วๆอย่างพ่อแกนะ”
เด็กหญิงตะหวัดสายตาจ้องมองใบหน้าของผู้ให้กำเนิดแน่นิ่ง นัยน์ตาดำคมขุ่นข้นแข็งกร้าว เด็กหญิงพ่นคำพูดเสียงดังช้าชัดและแม่นมั่น
“หนูเกลียดแม่ แม่ได้ยินมั้ยหนูเกลียดแม่” เสียงนั้นดังพร้อมๆกับเสียงฟ้าร้อง รุนแรงเดือดดาลไม่แพ้กัน
ฟ้าคำรามดังสะนั่นหญิงสาวสะดุ้งตื่น อากาศค่อนข้างเย็นสบายแต่หญิงสาวกลับเหงื่อแตกท่วมตัว ภาพฝันชัดเจนดั่งเช่นเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน
ฟ้าแลบปลาบแปลบให้นึกหวาดหวั่น หญิงสาวลุกขึ้นดึงผ้าม่านสีเหลืองนวลมาบรรจบกันปิดกั้นสายตาจากแสงสายฟ้าภายนอก รู้สึกคอแห้งผาดจึงเดินออกจากห้องนอนลงบันไดไป ไม่แปลกใจสักนิดเมื่อเห็นสตรีวัยกลางคนยังนั่งดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพังในเวลาค่อนดึกอย่างนี้ หญิงสาวเดินผ่านร่างนั้นไปแสร้งเป็นไม่เห็นหรืออีกนัยหนึ่งเธอไม่อยากเห็น
“ยังไม่นอนอีกเหรอยัยพิมพ์”
เสียงพูดอ๋อแอ๋อย่างคนไร้สติ พิมพ์จันทร์เปิดตู้เย็นหยิบน้ำขึ้นมาเปิดดื่มอย่างไม่ยี่ระต่อคำถามนั้น
“ตกใจเสียงฟ้าร้องเหรอไง”
“เปล่าค่ะ แม่ล่ะคะ ทำไมยังไม่นอน”
หญิงสาวตอบเสียงราบเรียบ แม่มักจะกลายเป็นอีกคนเสมอเมื่อสติถูกลดทอนด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แม่จะพูดกับเธอด้วยความเป็นห่วงเป็นใยไม่เจือความประชดประชันหรือขุดเอาโคตรเหง้าบรรพบุรุษของพ่อมาด่าทอให้ฟังอย่างตอนที่สติยังครบดีอยู่
“นอนไม่หลับ พ่อแกยังไม่โทรกลับมาเลย ไหนบอกว่าคืนนี้จะโทรมา นี่ก็ค่อนคืนเข้าไปแล้ว”
กับพ่อก็เช่นกันดูเหมือนว่าพ่อจะมีความหมายกับแม่ขึ้นมาบ้างเมื่อแม่เมาแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนในเวลาปรกติพ่อกับแม่เหมือนอยู่กันคนละโลก พิมพ์จันทร์รู้...ตัวเธอเท่านั้นที่เป็นเส้นใยบางๆผูกมัดเกี่ยวคล้องคนทั้งสองไว้ด้วยกัน และเธออีกเช่นกันที่ทำให้พ่ออดทนกับทุกอย่างมาได้ หากแต่กับแม่เธอคิดไม่เคยออกเลยว่าแม่อดทนอยู่เพื่ออะไร
“ไม่ต้องรอหรอกค่ะ แม่ไปนอนเถอะ”
“อือ ฉันก็ว่างั้นแหละ แกก็อย่าลืมห่มผ้าล่ะอากาศชื้นๆจะไม่สบายเอา”
พิมพ์จันทร์เดินขึ้นบันไดไปนานแล้วแต่ยังทันได้ยินประโยคสุดท้ายไล้หลังมาเบาๆ
ความห่วงใยของแม่เธอจะมีโอกาสรับรู้มันตอนที่แม่เมาเท่านั้น มันหาแทบไม่ได้ในเวลาที่แม่ครองสติครบถ้วน หญิงสาวยังเกิดคำถามในใจอยู่เสมอว่าแม่เป็นห่วงเธอจริงๆหรือเป็นเพราะฤทธิ์เหล้ากันแน่ มีเพียงพ่อเท่านั้นที่เป็นห่วงและดูแลเอาใจใส่เธออย่างสม่ำเสมอ แม้กับแม่พ่อก็ทำหน้าที่ของสามีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ถึงกระนั้นพ่อก็ยังแย่ที่สุดในสายตาแม่ ทุกอย่างที่รวมกันเป็นพ่อเป็นเธอไม่เคยมีสิ่งไหนดีเลยสำหรับแม่ บางครั้งพิมพ์จันทร์ก็นึกสงสัยพ่อกับแม่มีเธอขึ้นมาได้ยังไง
ในเมื่อเขาทั้งสองไม่ได้รักกัน แม้เด็กสาวจะรับรู้ว่าพ่อรักแม่อยู่ไม่น้อย แต่ความเกลียดชังที่แม่มีให้พ่อก็ไม่น่าจะทำให้เธอกำเนิดขึ้นมาได้ ก็ในเมื่อคนสองคนจะตกลงอยู่ด้วยกันมันจะต้องมีใจให้กันทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ แล้วถ้าแม่เกลียดพ่อขนาดนั้นอะไรล่ะที่ทำให้พ่อยังรักแม่อยู่ได้ มันเป็นแง่มุมมืดๆของความรักที่เธอยังไม่เข้าใจ และมันก็เป็นเงาเทามัวของชีวิตเธอที่ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้สักที
พิมพ์จันทร์กลับเข้าห้องนอนอีกครั้ง ฟ้าแลบแปลบขึ้นที่ปลายฟ้าก่อนเสียงฟ้าร้องจะดังขึ้น สาวน้อยหมดอารมณ์ที่จะนอนต่อ เธอเดินตรงไปยังโต๊ะอ่านหนังสือแทนที่จะเป็นเตียงนอนนุ่มๆ เปิดลิ้นชักหยิบภาพถ่ายใบหนึ่งออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยมอีกที ภาพที่มีทั้งพ่อ แม่และเธอถ่ายพร้อมหน้ากันทั้งสามคน
สาวน้อยในชุดนักเรียนใบหน้าคมเข้มผมยาวดำขลับผิวเนียนขาวราวหยวกปลอกเป็นสิ่งเดียวที่ได้รับจากแม่ไม่มีสิ่งไหนละหม้ายพ่อสักนิด เธอเหมือนแม่ชีวิตถึงได้อาภัพอย่างนี้ ในภาพสาวน้อยกำลังโอบกอดบุคคลข้างกายทั้งสองหน้ายิ้มระรื่นเช่นเดียวกับผู้เป็นบิดาแต่สตรีเบื้องซ้ายกลับวางสีหน้านิ่งเฉย
พิมพ์จันทร์จำได้แม่นยำภาพนี้ถ่ายที่โรงเรียนก่อนที่เธอจะจบชั้น ม. ต้น พิมพ์จันทร์ขึ้นรับรางวัลนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่นพ่อและแม่ก็ได้รับเชิญในงานนี้ด้วยทั้งสามจึงมีโอกาสได้ถ่ายรูปพร้อมหน้ากัน ภาพนี้เป็นเพียงภาพเดียวที่พ่อและแม่ได้ร่วมถ่ายภาพด้วยกันเพราะตั้งแต่จำความได้พิมพ์จันทร์ยังไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ถ่ายภาพคู่กัน แม้แต่ภาพถ่ายวันแต่งงานของคนทั้งคู่พิมพ์จันทร์ก็ยังไม่เคยเห็น ภาพถ่ายในบ้านถ้ามีเธอถ่ายคู่แม่ก็ต้องไม่มีพ่อ ถ้าเธอถ่ายคู่พ่อก็ไม่มีแม่
ภาพนี้จึงทำให้พิมพ์จันทร์รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่หยิบออกมาดู ไม่ใช่เพราะได้ถ่ายภาพพร้อมหน้ากัน แต่เป็นเพราะรอยยิ้มของพ่อที่กว้างขว้างสดใสกว่าทุกๆครั้ง รอยยิ้มแห่งความภูมิใจในตัวบุตรสาวคนเดียว รอยยิ้มที่พิมพ์จันทร์ไม่มีโอกาสได้พบเห็นบ่อยๆตั้งแต่เล็กจนโตมาถึงวันนี้ พิมพ์จันทร์เก็บภาพถ่ายใบเล็กลงกล่องสี่เหลี่ยมตามเดิม หัวใจที่กำลังแห้งแล้งเต็มทีกลับรู้สึกสิ้นหวังหดหู่มากยิ่งขึ้น เมื่อหวนนึกว่าพรุ่งนี้แล้ววันที่ความเป็นครอบครัวจะสิ้นสภาพลง เมื่อพ่อกับแม่ตกลงยุติบทบาทสามีภรรยาของกันและกันไว้เพียงเท่านี้ พิมพ์จันทร์ไม่เข้าใจว่าอะไรที่มันทำให้จิตใจแห้งผาดได้ถึงขนาดนี้
แม้จะรับรู้ว่าการหย่าเป็นหนทางเดียวที่จะยุติความขัดแย้งทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างพ่อกับแม่ได้ แต่เด็กสาวก็พอใจในความเป็นครอบครัวที่มีครบทั้ง พ่อ แม่ และลูกมากกว่า เพราะพิมพ์จันทร์คิดมาตลอดว่าความรักความผูกพันในครอบครัวอาจจะทำให้บ้านอบอุ่นขึ้นมาได้ในสักวัน
เพลิงแสงจันทร์ บทที่ 1
บทที่ 1
เสียงท้องฟ้าคำรามรุนแรงดังจะประกาศให้มนุษย์ผู้ลุ่มหลงในความเก่งกาจของตนเองได้รับรู้ว่าไม่มีสัตว์โลกชนิดไหนจะยิ่งใหญ่ไปกว่าธรรมชาติผู้ให้กำเนิดแรกเริ่มชีวิตเหล่านั้นมา แสงขาววาบปรากฏเส้นแนวระแหงบนท้องฟ้าเพียงแวบเดียวก็อันตรธานไปในเมฆครึม ทิ้งไว้เพียงความหวาดหวั่นในใจเด็กหญิง
ฝนเกรี้ยวกราดพัดโหมไร้แววปราณีแม้กับร่างเล็กบางของเด็กน้อยผู้ไม่เดียงสา เด็กหญิงห่อตัวกระชับวงแขนขับไร้ความเหน็บหนาวที่ปกคลุมร่างกายหากแต่มันไม่สามรถปลดเปลื้องความหนาวเหน็บที่เกาะกุมหัวใจดวงน้อยให้หลุดออกไปได้
“หยุดนะยัยพิมพ์ แกจะไปไหน กลับมานี่ ฉันบอกให้แกกลับมาหาฉัน”
เสียงตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวเบื้องหลังทำให้เด็กหญิงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ไม่สักนิดแม้จะหันหลังไปมองบุคคลต้นเสียง
“ยัยพิมพ์ฉันบอกให้แกกลับมา ได้ยินมั้ย นี่แกกล้าดื้อกับฉันได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
ประโยคต่อมาทำให้เด็กหญิงก้าวเท้าวิ่งแทนการเดินเร็วๆ ร่างเล็กเปียกโชกน้ำฝนไม่ต่างจากร่างใหญ่ที่วิ่งตามมา
เท้าเล็กย่ำไปบนแอ่งน้ำเฉอะแฉะ ไม่พรั่นพรึงต่อความโหดร้ายของพายุฝนสักนิด หากเสียงความเกรี้ยวโกรธของคนที่วิ่งตามมาต่างหากที่ทำให้เด็กหญิงหวาดกลัว เด็กน้อยกลัวเสียงนั้นกลัวจนบางครั้งนึกชิงชังไปถึงร่างใหญ่ต้นเสียง ชิงชังในความผูกพันที่เขาหยิบยื่นให้ ชิงชังในโชคชะตาของเธอและหล่อน คนร่างใหญ่ออกวิ่งตามมาติดๆ
เด็กน้อยเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นข้อเท้าเล็กยังเปราะบางมากนัก เด็กหญิงสะดุดล้มลงทว่าไม่มีเสียงร้องให้โอดครวญอย่างเด็กเล็กทั่วไป เด็กหญิงดื้อรั้นและทิฐิพอที่จะลุกขึ้นวิ่งต่อ แต่ไม่เร็วไปกว่าร่างใหญ่ที่มาถึงตัวเธอพอดี หญิงสาววัยสามสิบต้นๆกระชากร่างเด็กหญิงอย่างไม่ปราณีปราศรัยมือเรียวใหญ่ฟาดสะเปะสะปะไปตามตัวเด็กน้อย หนักและแรงพอที่จะทำให้ร่างเล็กนั้นดิ้นเร้าๆได้ หากแต่เรียวปากบางเล็กนั้นยังไม่เล็ดลอดคำขออุทธรณ์ มีเพียงเสียงจากคนร่างใหญ่เท่านั้นที่แผดร้องอย่างบ้าครั่ง
“แกกล้าอวดดีกับฉันขนาดนี้เชียวเหรอ ทำไมแกถึงได้ดื้อรั้นเกินตัวขนาดนี้ อายุแค่ 7 ขวบแก่แดดริจะหนีเที่ยว”
“หนูไม่ได้จะหนีเที่ยว หนูจะไปหาพ่อ” เสียงเล็กใสตามวัยผ้าขาวแต่แฝงไว้ด้วยความแข็งกร้าว
“นี่แกกล้าเถียงฉันเหรอ แกนี่มันเหมือนพ่อแกไม่มีผิดอวดดี”
หญิงสาวหายใจกระหืดกระหอบมือข้างหนึ่งจับต้นแขนเด็กหญิงมั่น มืออีกข้างหยุดทุบตีไปนานแล้ว
“อ๋อ...คงสอนกันมาสิท่า ชอบมากสินะไอ้นิสัยชั่วๆอย่างพ่อแกนะ”
เด็กหญิงตะหวัดสายตาจ้องมองใบหน้าของผู้ให้กำเนิดแน่นิ่ง นัยน์ตาดำคมขุ่นข้นแข็งกร้าว เด็กหญิงพ่นคำพูดเสียงดังช้าชัดและแม่นมั่น
“หนูเกลียดแม่ แม่ได้ยินมั้ยหนูเกลียดแม่” เสียงนั้นดังพร้อมๆกับเสียงฟ้าร้อง รุนแรงเดือดดาลไม่แพ้กัน
ฟ้าคำรามดังสะนั่นหญิงสาวสะดุ้งตื่น อากาศค่อนข้างเย็นสบายแต่หญิงสาวกลับเหงื่อแตกท่วมตัว ภาพฝันชัดเจนดั่งเช่นเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน
ฟ้าแลบปลาบแปลบให้นึกหวาดหวั่น หญิงสาวลุกขึ้นดึงผ้าม่านสีเหลืองนวลมาบรรจบกันปิดกั้นสายตาจากแสงสายฟ้าภายนอก รู้สึกคอแห้งผาดจึงเดินออกจากห้องนอนลงบันไดไป ไม่แปลกใจสักนิดเมื่อเห็นสตรีวัยกลางคนยังนั่งดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพังในเวลาค่อนดึกอย่างนี้ หญิงสาวเดินผ่านร่างนั้นไปแสร้งเป็นไม่เห็นหรืออีกนัยหนึ่งเธอไม่อยากเห็น
“ยังไม่นอนอีกเหรอยัยพิมพ์”
เสียงพูดอ๋อแอ๋อย่างคนไร้สติ พิมพ์จันทร์เปิดตู้เย็นหยิบน้ำขึ้นมาเปิดดื่มอย่างไม่ยี่ระต่อคำถามนั้น
“ตกใจเสียงฟ้าร้องเหรอไง”
“เปล่าค่ะ แม่ล่ะคะ ทำไมยังไม่นอน”
หญิงสาวตอบเสียงราบเรียบ แม่มักจะกลายเป็นอีกคนเสมอเมื่อสติถูกลดทอนด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แม่จะพูดกับเธอด้วยความเป็นห่วงเป็นใยไม่เจือความประชดประชันหรือขุดเอาโคตรเหง้าบรรพบุรุษของพ่อมาด่าทอให้ฟังอย่างตอนที่สติยังครบดีอยู่
“นอนไม่หลับ พ่อแกยังไม่โทรกลับมาเลย ไหนบอกว่าคืนนี้จะโทรมา นี่ก็ค่อนคืนเข้าไปแล้ว”
กับพ่อก็เช่นกันดูเหมือนว่าพ่อจะมีความหมายกับแม่ขึ้นมาบ้างเมื่อแม่เมาแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนในเวลาปรกติพ่อกับแม่เหมือนอยู่กันคนละโลก พิมพ์จันทร์รู้...ตัวเธอเท่านั้นที่เป็นเส้นใยบางๆผูกมัดเกี่ยวคล้องคนทั้งสองไว้ด้วยกัน และเธออีกเช่นกันที่ทำให้พ่ออดทนกับทุกอย่างมาได้ หากแต่กับแม่เธอคิดไม่เคยออกเลยว่าแม่อดทนอยู่เพื่ออะไร
“ไม่ต้องรอหรอกค่ะ แม่ไปนอนเถอะ”
“อือ ฉันก็ว่างั้นแหละ แกก็อย่าลืมห่มผ้าล่ะอากาศชื้นๆจะไม่สบายเอา”
พิมพ์จันทร์เดินขึ้นบันไดไปนานแล้วแต่ยังทันได้ยินประโยคสุดท้ายไล้หลังมาเบาๆ
ความห่วงใยของแม่เธอจะมีโอกาสรับรู้มันตอนที่แม่เมาเท่านั้น มันหาแทบไม่ได้ในเวลาที่แม่ครองสติครบถ้วน หญิงสาวยังเกิดคำถามในใจอยู่เสมอว่าแม่เป็นห่วงเธอจริงๆหรือเป็นเพราะฤทธิ์เหล้ากันแน่ มีเพียงพ่อเท่านั้นที่เป็นห่วงและดูแลเอาใจใส่เธออย่างสม่ำเสมอ แม้กับแม่พ่อก็ทำหน้าที่ของสามีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ถึงกระนั้นพ่อก็ยังแย่ที่สุดในสายตาแม่ ทุกอย่างที่รวมกันเป็นพ่อเป็นเธอไม่เคยมีสิ่งไหนดีเลยสำหรับแม่ บางครั้งพิมพ์จันทร์ก็นึกสงสัยพ่อกับแม่มีเธอขึ้นมาได้ยังไง
ในเมื่อเขาทั้งสองไม่ได้รักกัน แม้เด็กสาวจะรับรู้ว่าพ่อรักแม่อยู่ไม่น้อย แต่ความเกลียดชังที่แม่มีให้พ่อก็ไม่น่าจะทำให้เธอกำเนิดขึ้นมาได้ ก็ในเมื่อคนสองคนจะตกลงอยู่ด้วยกันมันจะต้องมีใจให้กันทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ แล้วถ้าแม่เกลียดพ่อขนาดนั้นอะไรล่ะที่ทำให้พ่อยังรักแม่อยู่ได้ มันเป็นแง่มุมมืดๆของความรักที่เธอยังไม่เข้าใจ และมันก็เป็นเงาเทามัวของชีวิตเธอที่ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้สักที
พิมพ์จันทร์กลับเข้าห้องนอนอีกครั้ง ฟ้าแลบแปลบขึ้นที่ปลายฟ้าก่อนเสียงฟ้าร้องจะดังขึ้น สาวน้อยหมดอารมณ์ที่จะนอนต่อ เธอเดินตรงไปยังโต๊ะอ่านหนังสือแทนที่จะเป็นเตียงนอนนุ่มๆ เปิดลิ้นชักหยิบภาพถ่ายใบหนึ่งออกมาจากกล่องสี่เหลี่ยมอีกที ภาพที่มีทั้งพ่อ แม่และเธอถ่ายพร้อมหน้ากันทั้งสามคน
สาวน้อยในชุดนักเรียนใบหน้าคมเข้มผมยาวดำขลับผิวเนียนขาวราวหยวกปลอกเป็นสิ่งเดียวที่ได้รับจากแม่ไม่มีสิ่งไหนละหม้ายพ่อสักนิด เธอเหมือนแม่ชีวิตถึงได้อาภัพอย่างนี้ ในภาพสาวน้อยกำลังโอบกอดบุคคลข้างกายทั้งสองหน้ายิ้มระรื่นเช่นเดียวกับผู้เป็นบิดาแต่สตรีเบื้องซ้ายกลับวางสีหน้านิ่งเฉย
พิมพ์จันทร์จำได้แม่นยำภาพนี้ถ่ายที่โรงเรียนก่อนที่เธอจะจบชั้น ม. ต้น พิมพ์จันทร์ขึ้นรับรางวัลนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่นพ่อและแม่ก็ได้รับเชิญในงานนี้ด้วยทั้งสามจึงมีโอกาสได้ถ่ายรูปพร้อมหน้ากัน ภาพนี้เป็นเพียงภาพเดียวที่พ่อและแม่ได้ร่วมถ่ายภาพด้วยกันเพราะตั้งแต่จำความได้พิมพ์จันทร์ยังไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ถ่ายภาพคู่กัน แม้แต่ภาพถ่ายวันแต่งงานของคนทั้งคู่พิมพ์จันทร์ก็ยังไม่เคยเห็น ภาพถ่ายในบ้านถ้ามีเธอถ่ายคู่แม่ก็ต้องไม่มีพ่อ ถ้าเธอถ่ายคู่พ่อก็ไม่มีแม่
ภาพนี้จึงทำให้พิมพ์จันทร์รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่หยิบออกมาดู ไม่ใช่เพราะได้ถ่ายภาพพร้อมหน้ากัน แต่เป็นเพราะรอยยิ้มของพ่อที่กว้างขว้างสดใสกว่าทุกๆครั้ง รอยยิ้มแห่งความภูมิใจในตัวบุตรสาวคนเดียว รอยยิ้มที่พิมพ์จันทร์ไม่มีโอกาสได้พบเห็นบ่อยๆตั้งแต่เล็กจนโตมาถึงวันนี้ พิมพ์จันทร์เก็บภาพถ่ายใบเล็กลงกล่องสี่เหลี่ยมตามเดิม หัวใจที่กำลังแห้งแล้งเต็มทีกลับรู้สึกสิ้นหวังหดหู่มากยิ่งขึ้น เมื่อหวนนึกว่าพรุ่งนี้แล้ววันที่ความเป็นครอบครัวจะสิ้นสภาพลง เมื่อพ่อกับแม่ตกลงยุติบทบาทสามีภรรยาของกันและกันไว้เพียงเท่านี้ พิมพ์จันทร์ไม่เข้าใจว่าอะไรที่มันทำให้จิตใจแห้งผาดได้ถึงขนาดนี้
แม้จะรับรู้ว่าการหย่าเป็นหนทางเดียวที่จะยุติความขัดแย้งทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างพ่อกับแม่ได้ แต่เด็กสาวก็พอใจในความเป็นครอบครัวที่มีครบทั้ง พ่อ แม่ และลูกมากกว่า เพราะพิมพ์จันทร์คิดมาตลอดว่าความรักความผูกพันในครอบครัวอาจจะทำให้บ้านอบอุ่นขึ้นมาได้ในสักวัน