4 พลังการเมืองกับหุ้นไทย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

กระทู้สนทนา
โลกในมุมมองของ Value Investor     19 ม.ค. 57
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
4 พลังการเมืองกับหุ้นไทย


   เคยสงสัยไหมว่าทำไมการเมืองไทยจึง  “วุ่นไม่รู้จบ”  และการเมืองมีผลกระทบกับหุ้นมากน้อยแค่ไหน?  วันนี้ผมจะพยายามอธิบายความเข้าใจของผมที่เคยผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงของประเทศไทยมานับไม่ถ้วนตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และได้พยายามศึกษาบทความข้อเขียนของนักประวัติศาสตร์  รัฐศาสตร์ และผู้รู้อื่น ๆ  โดยเฉพาะในช่วงหลังที่ผมกลายเป็นนักลงทุนแบบ VI ที่จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการเมืองซึ่งมีผลกระทบกับผลตอบแทนการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว   ในระยะสั้นนั้น  แน่นอน  ทำให้หุ้นผันผวนรุนแรงตามสภาพการณ์ของการเมือง  และในระยะยาวนั้น  การเมืองเป็นตัวกำหนดเสถียรภาพทางสังคมและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่จะเอื้อหรือทำลายธุรกิจเอกชนและตลาดเสรีซึ่งเป็นเสาหลักของระบบทุนนิยมเสรี  ทั้งสองประการนั้นเป็น  “น้ำที่หล่อเลี้ยง”  ให้หุ้นแต่ละตัวอยู่ได้ดีหรือเหี่ยวเฉา

โชคร้ายของประเทศไทยก็คือ  เรามีเหตุการณ์ทางการเมืองที่เลวร้ายบ่อยเหลือเกินซึ่งทำให้หุ้นมีความผันผวนเป็นระยะ ๆ  ตลอดมา  แต่โชคดีที่ว่า  หลังเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองที่ผ่านมาทุกครั้ง  การเมืองไทยก็กลับมาสู่ระบบที่มีเสถียรภาพทางสังคมและระบบเศรษฐกิจค่อนข้างจะเอื้ออำนวยกับธุรกิจเอกชนและตลาดเสรีและดังนั้น  หุ้นไทยหรือดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ปรับตัวไปตามพื้นฐานของหุ้นตามปกติ   ผลก็คือ  ความผันผวนในระยะสั้นที่เกิดจากความรุนแรงทางการเมืองที่ผ่านมาก็มักจะกลายเป็นโอกาสของคนที่กล้าและเข้าใจเรื่องของการเมืองในประเทศไทยและเป็นนักลงทุนระยะยาว

การที่ประเทศไทยมี “วิกฤติทางการเมือง” บ่อยครั้งนั้น  ผมคิดว่ามาจากการที่เรามีระบบหรือแนวคิดทางการเมืองรวมถึงผู้เล่นหรือผู้ที่มีบทบาททางการเมืองใหญ่ ๆ อยู่อย่างน้อย 4 กลุ่ม ที่ต่างก็มีบทบาทหรืออำนาจใกล้เคียงกัน  อำนาจทั้ง 4 นี้ไม่ได้ต่างคนต่างอยู่แต่มีปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลา  บางช่วงบางเวลาอำนาจที่ 1 ก็จับมือกับอำนาจที่ 3 เพื่อต่อสู้กับอำนาจที่ 2 โดยมีอำนาจหรือพลังที่ 4 ที่อยู่เฉย  บางช่วงบางตอนอำนาจหรือพลังที่ 3 ก็อาจจะโดดเด่นเหนือกว่าอำนาจอื่นและปกครองประเทศอย่างราบรื่นจนเกิดวิกฤติการเมืองและมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอำนาจของกลุ่มใหม่    ในบางช่วงบางเวลาพลังหนึ่งอาจจะโดดเด่นเติบโตในขณะที่อำนาจบางอย่างก็ถดถอยลง  ทั้งหมดนี้ทำให้การเมืองไทยมีพลวัตในการเปลี่ยนแปลงหรือวิกฤติสูงกว่าหลาย ๆ ประเทศโดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วที่พลังหรืออำนาจทางการเมืองนั้นตกอยู่กับพลังบางอย่างเพียงพลังเดียวที่เป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่มายาวนาน

พลังอำนาจทางการเมืองของไทยกลุ่มแรกก็คือ  พลังของขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีที่มีมานาน  นี่คือสิ่งที่มีมานานตั้งแต่โบราณกาลแต่ก็ยังมีบทบาทสูงมาก  ตัวอย่างขนบธรรมเนียมที่คนไทยยึดถือซึ่งค่อนข้างมากกว่าหลายประเทศในโลกก็เช่น  เรานับถือความอาวุโสมากกว่าสังคมอื่น  เรายึดถือความเป็น “จ้าวคนนายคน”  ว่าเป็นเรื่องมีเกียรติมีศักดิ์ศรีมากกว่าความมีชื่อเสียงอย่างอื่น  เรานับถือเรื่องของ  “ชาติตระกูล” สูง  เรามีการแบ่งแยกระหว่าง “ชนชั้น”  อยู่  “ในใจ”  แต่ก็ยอมรับให้มีการ “เลื่อนชั้น”  ได้ในระดับหนึ่ง  เป็นต้น  ขนบธรรมเนียมเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการกำหนดความเป็นไปทางการเมืองมาตลอด  ว่าที่จริง  ในช่วงที่ผมเป็นเด็กวัยรุ่นนั้น  คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีต่างก็มักจะต้องมาจากคนที่มีเกียรติประวัติหรือฐานะทางตระกูลที่สูงโดยเฉพาะที่เป็นข้าราชการระดับสูงและมีผลงานที่ “ดีเด่น”   แม้ว่าในระยะหลัง ๆ  คนรุ่นใหม่อาจจะยึดถือขนบธรรมเนียมเก่า ๆ  เหล่านี้น้อยลงแต่คนรุ่นเก่าส่วนมากก็ยังยึดมั่นกับอุดมการณ์และความเชื่อนี้   พลังของขนบธรรมเนียมประเพณีนี้ก่อนปี 2475 ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองถือว่าเป็นพลังที่สูงที่สุดแทบจะพลังเดียว  อย่างไรก็ตาม  หลังจากนั้น  พลังนี้ก็ถดถอยและมีการขึ้นลงเป็นระยะจนถึงปัจจุบัน

พลังที่สองก็คือ  พลังของสามัญชนหรือประชาชนธรรมดา  หรือถ้าจะพูดก็คือ  พลัง “ประชาธิปไตย”  นี่คือพลังการเมืองที่เกิดขึ้นภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศในปี 2475  ซึ่งในช่วงเกิดขึ้นใหม่ ๆ  นั้นมีพลังสูง  อย่างไรก็ตาม  ด้วยระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศที่ยังต่ำอยู่ซึ่งทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีการศึกษาไม่พอ  ยังไม่เข้าใจถึงสิทธิของตนเองและไม่มีทรัพยากรในการสื่อสารที่จะทำให้เกิดพลังทางการเมือง  ดังนั้น  พลังของประชาชนจึงถดถอยลงต่อเนื่องยาวนาน  และแม้ว่าจะมีระบบการเลือกตั้งที่เป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจทางการเมืองของตนซึ่งเป็นอานิสงค์จากอำนาจอื่นที่จะกล่าวถึงต่อไป    แต่พลังนี้ก็มักจะไม่สามารถที่จะเป็นแกนนำในการกำหนดความเป็นไปของประเทศมากนักจนกระทั่งในช่วงหลัง ๆ  สิบกว่าปีมานี้ที่พลังนี้มีการเติบโตขึ้นค่อนข้างมาก  เหตุผลส่วนสำคัญก็คือ  การพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศที่ก้าวหน้ามากขึ้นมากประกอบกับการพัฒนาขึ้นของระบบการสื่อสารที่ทำให้พลังนี้เติบโตขึ้นมาก

พลังที่สามก็คือ  พลังของคนที่ถืออาวุธ  ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือทหาร  นี่คือพลังทางการเมืองที่เกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่นานนักและกลายเป็นพลังที่เหนือกว่าและครอบงำการเมืองไทยมายาวนานจนถึงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งทำให้บทบาทของทหารลดลง  และแม้ว่าพลังอำนาจของทหารจะกลับขึ้นมาเป็นระยะเช่นหลังช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 หรือเหตุการณ์ปี 2534  แต่อำนาจทางการเมืองของทหารก็ดูเหมือนว่าจะค่อย ๆ ลดลงแบบต่อเนื่องยาวนานและอาจจะกลายเป็นพลังอำนาจที่สนับสนุนอำนาจอื่นมากกว่าที่จะเป็นตัวหลักเห็นได้จากการที่ทหารไม่สามารถเข้าบริหารประเทศได้แม้ว่าจะสามารถทำรัฐประหารได้สำเร็จในระยะหลัง    เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าพลังอำนาจอื่นเติบโตขึ้น  “ระเบียบโลก”  เปลี่ยนไป  โดยเฉพาะการจบลงของ “สงครามเย็น”  ระหว่างโลกเสรีและสังคมนิยมที่ทำให้ระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นกระแสหลักของการปกครองในประเทศต่าง ๆ  ทั่วโลก

พลังที่ 4 ที่เป็นพลังสุดท้ายนั้นถือว่าเป็น  “Soft Power”  หรือพลังที่อ่อนไม่รุนแรง   ดูเหมือนไม่มีตัวตน  แต่เป็นพลังที่มีอำนาจไม่น้อยไปกว่าพลังอื่น  นี่คือความเป็น  Globalization หรือการที่โลกนั้นจะกลายเป็นหนึ่งเดียว  ประเทศแต่ละประเทศที่มีความเจริญถึงจุดหนึ่งจะไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ต้องพึ่งพิงประเทศอื่น  โดยเฉพาะประเทศไทยนั้น  เรามีการค้าขายกับต่างประเทศสูงมาก  เราซื้อและขายกับต่างประเทศมากกว่าสินค้าที่เราบริโภคเองเสียอีก  และโลกก็ได้กำหนด  “ระเบียบโลก”  ซึ่งเราไม่สามารถฝ่าฝืนได้ถ้าเรายังต้องการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับประเทศอื่น  ใน “ระเบียบโลก” ซึ่งหลาย ๆ  เรื่องก็ไม่ได้มีการเขียนไว้ชัดเจนแต่เป็นที่รู้กันว่าไม่เป็นที่ยอมรับนั้นรวมไปถึงเรื่องของการเมืองและอำนาจทางการเมืองที่ขัดแย้งกับความเชื่อสากลเช่นเรื่องของสิทธิมนุษยชนเป็นต้น   พลังของสังคมโลกนี้เป็นพลังที่อ่อนเนื่องจากมันไม่สามารถมายึดกุมอำนาจของประเทศไทยได้  แต่พลังอื่น ๆ  ทั้งหลายต้องฟังต้องพิจารณาเวลาตนเองจะทำอะไร  ประเด็นสำคัญก็คือ  มันต้องไม่ฝืน “กระแสโลก” มากนัก    ดังนั้น  พลังนี้จึงเป็นได้เพียงพลังที่สนับสนุนหรือต่อต้านคัดค้านพลังอื่น   มองในแง่นี้  พลังที่ได้ประโยชน์จากพลังของสังคมโลกก็คือ  พลังประชาธิปไตย  เนื่องกระแสโลกก็คือ  กระแสของประชาธิปไตย

พลังทั้ง 4 ที่กล่าวมานั้น  ในประเทศไทยผมคิดว่ายังคงจะต่อสู้กันไปและไม่สามารถจบลงโดยที่เหลือพลังเพียง 1 หรือ 2 พลังได้ในระยะเวลาอันสั้น  ในฐานะของนักลงทุน  ผมเพียงแต่หวังว่าการต่อสู้นั้นจะไม่รุนแรงจนเกินไป  และที่หวังต่อไปก็คือ  เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลงในรอบนี้  ระบอบ  ปรัชญา  และแนวความคิดความเชื่อในการปกครองของไทยก็ยังเป็นเหมือนเดิมนั่นก็คือ  ประเทศก็ยังมีความสงบทางด้านของสังคม  และระบบเศรษฐกิจก็ยังเป็นเสรี  เป็นทุนนิยม  ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นของการลงทุนในตลาดหุ้น  และนั่นก็คือสิ่งที่ประเทศไทยต้องการสำหรับคนทุกคน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่