ในระยะหลังๆนี้มีกระทู้ที่เกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ระหว่างชาวยิว, คริสเตียน และ มุสลิม หลายกระทู้ แต่ละกระทู้มุสลิมก็พยายามตอบอย่างดีที่สุด โดยอ้างอิงอัลกุรอาน หลายบัญญัติ มาแสดง และคำอธิบายทางวีดิโอ ของผู้รู้ที่บรรยาย ในเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างชาวยิว และมุสลิม ซึ่งผู้รู้ก็อ้างบรรยาย อธิบาย ความเป็นจริงจากอัลกุรอาน ที่ไม่มีการสอนให้เกลียด ชาวยิว และ คริสเตียน
แสดงให้เห็นว่า อัลกุรอานและอิสลาม เคลียร์ จากเรื่องการมีทัศนะคติในทางลบ ต่อชาวยิวและชาวคริสเตียน, คือ อัลกุรอานและอิสลามไม่ได้สอนให้มุสลิมเกลียดชาวยิวและชาวคริสเตียน
มันเป็นความจริงที่อัลกุรอาน และ ศาสนาอิสลามไม่ได้สอนให้มุสลิมเกลียดยิวหรือคริสเตียน ตามที่กล่าวมาแล้ว และตามผมอธิบายไว้ใน กระทู้ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ อย่างละเอียด
http://ppantip.com/topic/31516680
ถ้าในอัลกุรอานและอิสลามไม่มีการสอนให้เกลียดชาวยิวแล้ว,ความเกลียดชังชาวยิวในสังคมมุสลิมส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นมาจากไหน,มาจากการสอนของผู้ใด? และการประณามมุสลิมที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกันกับมุสลิมส่วนใหญ่ อย่างหยาบคายว่า “
ไอ้ลูกยิว” นั้นเกี่ยวกับชาวยิวอย่างไร?
คำประณามว่า “
ไอ้ลูกยิว” ที่มุสลิมถือว่า เป็นคำด่าที่หยาบคายมาก, ดังนั้น การด่ามุสลิมด้วยกันเช่นนี้ ถือว่าเป็นการตัดขาดมุสลิมออกจากสังคมมุสลิม, และเป็นศัตรูกับอิสลาม ไปเลย
อะไรทำให้ผู้ด่าและมุสลิมส่วนมากเข้าใจว่าคำด่านั้น,เป็นสิ่งที่เลวที่สุดถ้าผู้ใดถูกมุสลิมด้วยกันด่าเปรียบเทียบกับ “ยิว” เช่นนั้น,
ดังนั้น การกระทำเช่นนี้ จึงแสดงว่า ในสังคมมุสลิมจะต้องมีการสอนให้เห็นว่า ชาวยิวนี้เป็นชนชาติที่ชั่วช้ามากในสายตาของมุสลิมโดยรวม
ความจริงแล้วการสอนมุสลิมให้มุสลิมเกลียด ชาวยิวนั้น มีสอนอยู่ในสังคมมุสลิมจริง แต่ไม่ใช่หลักการสอนของศาสนาอิสลาม, คำสอนดังกล่าว มาจาก ซอเฮี๊ยะฮาดีษ ซึ่งมุสลิมส่วนใหญ่ใช้ควบคู่ไปกับ อัลกุรอาน และถือว่าเป็นเสมือน คัมภีร์เล่มที่สอง คำว่า ซอเฮี๊ยะฮาดีษ หมายถึงเรื่องบอกเล่าที่อ้างว่าเป็นการปฏิบัติและการสอนของท่านศาสดามูฮัมมัดอย่างแท้จริง ถ้าผู้ใดไม่เชื่อ “ซอเฮี๊ยะฮาดีษ” แล้วถือว่าไม่เชื่อฟัง ท่านศาสดามูฮัมมัดโดยตรง และถือว่าเป็น กาเฟร หรือ ไม่ใช่มุสลิม
ในสังคม มุสลิม มี ซอเฮี๊ยะฮาดีษ ที่สอนให้มุสลิมเกลียดยิวหรือมีทัศนคติในทางลบ นั้นมีอยู่หลายบท แต่ขอยกตัวอย่างให้เห็นเพียงบทเดียว, เป็นบทที่เป็นที่นิยมในวงการผู้รู้ใช้ในการ สอนเยาวชนมุสลิมให้เกลียด ยิว ทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผยในสังคมมุสลิมทั่วโลก
เป็นฮาดีษที่สังคมมุสลิมไม่ควรเก็บไว้เป็นส่วนที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม,เป็นฮาดีษที่ไม่อยู่ใน ขอบเขตของอัลกุรอานและหลักการของศาสนาอิสลามแม้แต่น้อย ซึ่งในส่วนตัวผมไม่เชื่อว่า ท่านศาสนทูต มูฮัมมัด สอนเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะท่านรอซูลมูฮัมมัดเป็น ศาสนทูตแห่งความสันติภาพและ ความยุติธรรม เพื่อมวลมนุษยชาติ.
ซอเฮี๊ยะ มุสลิม หมายเลข 41:6985 ซอเฮี๊ยะ บุคอรี 4:56:791
มีรายงานว่า, ท่านรอซูลมูฮัมมัดกล่าวว่า;
“วันสิ้นโลกจะไม่มาถึง จนกว่ามุสลิมจะต่อสู้กับยิว,และมุสลิมจะฆ่าบรรดายิว จนกระทั่งบรรดายิวหลบซ่อนหลังโขดหิน หรือต้นไม้, และโขดหินหรือต้นไม้เหล่านั้น จะกล่าวว่า (บอกให้มุสลิมทราบ) ว่า; “โอ!มุสลิม หรือ โอ! อัลดุลลอฮ์ (ทาสของอัลลอฮ์)”, มียิวซ่อนอยู่หลังฉัน; จงมาและฆ่าเขา; แต่ มีต้นไม้ เพียงต้นเดียวชื่อว่า “กอร์คัด” ไม่ยอมบอก เพราะว่ามันเป็นต้นไม้ของพวกยิว”
ในสมัยของท่านรอซูลมูฮัมมัดนั้น มีบรรดาชาวยิวที่อาศัยอยู่ในแหลมอราเบียนเป็นจำนวนมาก,โดยเฉพาะในกรุงมะดินะ, ท่านรอซูลมีเพื่อนชาวยิวเป็นจำนวนมาก, ท่านรอซูลมีภรรยาเป็นชาวยิวชือซะฟิยะ,ซึ่งภายหลังเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม
ในสมัยนั้นท่านรอซูลได้แสดงความยอมรับและให้ความนับถือยกย่อง ต่อศาสนาจูดายและศาสนาคริสต์รวมทั้งชาวยิว และชาวคริสเตียนอย่างเห็นได้ชัดเจน, แต่ในสมัยท่านรอซูลนั้นมีชาวยิวและชาวคริสเตียนบางกลุ่มที่สมคบกับศัตรูของท่านรอซูลมูฮัมมัด ในการวางแผนลอบสังหารท่าน, ซึ่งท่านรอซูลได้ปราบปรามอย่างราบคาบ
ด้วยเหตุผลนี้ กลุ่มมุสลิม “นักต่อสู้” ซุนนีย์มุสลิมปาเลสไตน์ ฮามาซ “حماس” จึงนำฮาดีษบทนี้ และเหตุการณ์ในอดีตที่ ชาวยิวบางกลุ่มร่วมกับศัตรูของท่านรอซูลในการวางแผนสังหารท่านรอซูล, มาใช้ในการระดมเสี้ยมสอนยุยงมุสลิม ทั้วโลกให้เกลียดชาวยิวซึ่งเป็นศัตรูของเขาในปัจจุบัน กับทั้งซุนนีย์มุสลิมในที่ต่างๆ ก็ให้การสนับสนุนร่วมมือ “กลุ่มฮามาส”, ในการต่อสู้เรื่อง ดินแดนปาเลสไตน์กับชาวยิวอิสราเอล
การใช้ฮาดีษบทนี้ และ บทที่มีข้อความเช่นเดียวกันนี้ สอนเยาวชนมุสลิมนั้น มีมานานก่อนโลกมุสลิมในปัจจุบันแล้ว นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่ มุสลิมเกลียดชาวยิว
จากกระทู้ต่างๆและการอธิบายของ ของท่านผู้รู้ จะไม่กล่าวถึงหรือ อ้างถึง ฮาดีษในทำนองนี้เลย จะกล่าวถึงแต่ความเป็นจริงจากอัลกุรอานเท่านั้น
มีมุสลิม บางสังคมไม่ห่างจากบ้านเรานัก อ้างว่า จากเรื่องบอกเล่า หรือ ฮาดีษบทนี้ จึงทำให้ชาวยิวนิยมปลูกต้น “กอร์คัด” กันมาก, ทั้งนี้เนื่องจาก ยิวเตรียมตัวไว้ป้องกันมุสลิม, แต่ชาวยิวอ้างว่า ต้นไม่ที่ชื่อ “กอร์คัด” นี้ ไม่มีบอกเล่าในประวัติศาสตร์ของชาวยิวเลย, และเป็นเรื่องที่ตลกมากที่เชื่อว่า ชาวยิวเชื่อ คำพยากรณ์ ของฮาดีษบทนี้
Gharqad Tree หรือ Boxthorn Tree ไม่เคยมีปลูกในอิสราเอล ชาวยิว อ้างว่า ในฮาดีษของมุสลิม ที่กล่าวถึงต้น “กอร์คัด” นี้คงเอามาจาก ต้นไม่ชนิดหนึ่งซึ่งมีหนามที่กล่าวถึงใน วรรณคดีของยิว, กษัตริย์ยิวโซโลมอน, ลูกชายของกษัตริย์ยิวเดวิด ซึ่งเขียนหนังสือสุภาษิต ในเรื่อง, “กับดัก และต้นไม้ที่มีหนาม”, ในทัศนของชาวยิวต้นไม่ที่ชื่อ “กอร์คัด” ซึ่งเป็นภาษาอรับนั้น, เป็นต้นไม้ในจินตนาการของมุสลิมในสมัยนั้นล หรืออาจจะเปรียบเทียบ กับ African boxthorn (Lycium ferocissimum) ซึ่งเป็นพุ่มไม้ที่มีหนามชนิดหนึ่ง
ดังนั้นฮาดีษที่เกี่ยวกับการสร้างความเกลียดชังในทำนองนี้จึงไม่สมควรที่มุสลิมจะรวมเข้าไว้ในหลักการของศาสนาอิสลาม นอกจากจะทำให้ เกิดความแตกแยกและความเข้าใจผิดต่อหลักการของอิสลามแล้ว ยังเป็นการเพาะนิสัยให้เยาวชนมุสลิม ให้มีใจลำเอียงและขาดความยุติธรรม عصبية “อะซะบียะฮ์”
ศาสนาอิสลาม ไม่ยอมรับ عصبية “อะซะบียะฮ์” ในรูปแบบใดๆทั้งสิ้น, ทั้งนี้เนื่องจากว่า การถือพรรคถือพวกและเข้าข้างพรรคพวกเดียวกันในการกระทำความผิดความชั่วช้า เป็นสิ่งที่ อยุติธรรม ต่อแบบฉบับของสังคมมนุษย์, ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วบุคคลดังกล่าวได้ ทำให้เกิดการกดขี่,การคดโกงและการล่วงล้ำ ขึ้นในโลกมนุษย์.
การสอนให้มุสลิมเกลียด "ชาวยิว" โดยทั่วๆไปนั้นมีอยู่จริงในสังคมมุสลิม...แต่ไม่ใช่หลักการของอิสลาม และ อัลกุรอาน
แสดงให้เห็นว่า อัลกุรอานและอิสลาม เคลียร์ จากเรื่องการมีทัศนะคติในทางลบ ต่อชาวยิวและชาวคริสเตียน, คือ อัลกุรอานและอิสลามไม่ได้สอนให้มุสลิมเกลียดชาวยิวและชาวคริสเตียน
มันเป็นความจริงที่อัลกุรอาน และ ศาสนาอิสลามไม่ได้สอนให้มุสลิมเกลียดยิวหรือคริสเตียน ตามที่กล่าวมาแล้ว และตามผมอธิบายไว้ใน กระทู้ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ อย่างละเอียด
http://ppantip.com/topic/31516680
ถ้าในอัลกุรอานและอิสลามไม่มีการสอนให้เกลียดชาวยิวแล้ว,ความเกลียดชังชาวยิวในสังคมมุสลิมส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นมาจากไหน,มาจากการสอนของผู้ใด? และการประณามมุสลิมที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกันกับมุสลิมส่วนใหญ่ อย่างหยาบคายว่า “ไอ้ลูกยิว” นั้นเกี่ยวกับชาวยิวอย่างไร?
คำประณามว่า “ไอ้ลูกยิว” ที่มุสลิมถือว่า เป็นคำด่าที่หยาบคายมาก, ดังนั้น การด่ามุสลิมด้วยกันเช่นนี้ ถือว่าเป็นการตัดขาดมุสลิมออกจากสังคมมุสลิม, และเป็นศัตรูกับอิสลาม ไปเลย
อะไรทำให้ผู้ด่าและมุสลิมส่วนมากเข้าใจว่าคำด่านั้น,เป็นสิ่งที่เลวที่สุดถ้าผู้ใดถูกมุสลิมด้วยกันด่าเปรียบเทียบกับ “ยิว” เช่นนั้น, ดังนั้น การกระทำเช่นนี้ จึงแสดงว่า ในสังคมมุสลิมจะต้องมีการสอนให้เห็นว่า ชาวยิวนี้เป็นชนชาติที่ชั่วช้ามากในสายตาของมุสลิมโดยรวม
ความจริงแล้วการสอนมุสลิมให้มุสลิมเกลียด ชาวยิวนั้น มีสอนอยู่ในสังคมมุสลิมจริง แต่ไม่ใช่หลักการสอนของศาสนาอิสลาม, คำสอนดังกล่าว มาจาก ซอเฮี๊ยะฮาดีษ ซึ่งมุสลิมส่วนใหญ่ใช้ควบคู่ไปกับ อัลกุรอาน และถือว่าเป็นเสมือน คัมภีร์เล่มที่สอง คำว่า ซอเฮี๊ยะฮาดีษ หมายถึงเรื่องบอกเล่าที่อ้างว่าเป็นการปฏิบัติและการสอนของท่านศาสดามูฮัมมัดอย่างแท้จริง ถ้าผู้ใดไม่เชื่อ “ซอเฮี๊ยะฮาดีษ” แล้วถือว่าไม่เชื่อฟัง ท่านศาสดามูฮัมมัดโดยตรง และถือว่าเป็น กาเฟร หรือ ไม่ใช่มุสลิม
ในสังคม มุสลิม มี ซอเฮี๊ยะฮาดีษ ที่สอนให้มุสลิมเกลียดยิวหรือมีทัศนคติในทางลบ นั้นมีอยู่หลายบท แต่ขอยกตัวอย่างให้เห็นเพียงบทเดียว, เป็นบทที่เป็นที่นิยมในวงการผู้รู้ใช้ในการ สอนเยาวชนมุสลิมให้เกลียด ยิว ทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผยในสังคมมุสลิมทั่วโลก
เป็นฮาดีษที่สังคมมุสลิมไม่ควรเก็บไว้เป็นส่วนที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม,เป็นฮาดีษที่ไม่อยู่ใน ขอบเขตของอัลกุรอานและหลักการของศาสนาอิสลามแม้แต่น้อย ซึ่งในส่วนตัวผมไม่เชื่อว่า ท่านศาสนทูต มูฮัมมัด สอนเช่นนั้น ทั้งนี้เพราะท่านรอซูลมูฮัมมัดเป็น ศาสนทูตแห่งความสันติภาพและ ความยุติธรรม เพื่อมวลมนุษยชาติ.
ซอเฮี๊ยะ มุสลิม หมายเลข 41:6985 ซอเฮี๊ยะ บุคอรี 4:56:791
มีรายงานว่า, ท่านรอซูลมูฮัมมัดกล่าวว่า;
“วันสิ้นโลกจะไม่มาถึง จนกว่ามุสลิมจะต่อสู้กับยิว,และมุสลิมจะฆ่าบรรดายิว จนกระทั่งบรรดายิวหลบซ่อนหลังโขดหิน หรือต้นไม้, และโขดหินหรือต้นไม้เหล่านั้น จะกล่าวว่า (บอกให้มุสลิมทราบ) ว่า; “โอ!มุสลิม หรือ โอ! อัลดุลลอฮ์ (ทาสของอัลลอฮ์)”, มียิวซ่อนอยู่หลังฉัน; จงมาและฆ่าเขา; แต่ มีต้นไม้ เพียงต้นเดียวชื่อว่า “กอร์คัด” ไม่ยอมบอก เพราะว่ามันเป็นต้นไม้ของพวกยิว”
ในสมัยของท่านรอซูลมูฮัมมัดนั้น มีบรรดาชาวยิวที่อาศัยอยู่ในแหลมอราเบียนเป็นจำนวนมาก,โดยเฉพาะในกรุงมะดินะ, ท่านรอซูลมีเพื่อนชาวยิวเป็นจำนวนมาก, ท่านรอซูลมีภรรยาเป็นชาวยิวชือซะฟิยะ,ซึ่งภายหลังเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม
ในสมัยนั้นท่านรอซูลได้แสดงความยอมรับและให้ความนับถือยกย่อง ต่อศาสนาจูดายและศาสนาคริสต์รวมทั้งชาวยิว และชาวคริสเตียนอย่างเห็นได้ชัดเจน, แต่ในสมัยท่านรอซูลนั้นมีชาวยิวและชาวคริสเตียนบางกลุ่มที่สมคบกับศัตรูของท่านรอซูลมูฮัมมัด ในการวางแผนลอบสังหารท่าน, ซึ่งท่านรอซูลได้ปราบปรามอย่างราบคาบ
ด้วยเหตุผลนี้ กลุ่มมุสลิม “นักต่อสู้” ซุนนีย์มุสลิมปาเลสไตน์ ฮามาซ “حماس” จึงนำฮาดีษบทนี้ และเหตุการณ์ในอดีตที่ ชาวยิวบางกลุ่มร่วมกับศัตรูของท่านรอซูลในการวางแผนสังหารท่านรอซูล, มาใช้ในการระดมเสี้ยมสอนยุยงมุสลิม ทั้วโลกให้เกลียดชาวยิวซึ่งเป็นศัตรูของเขาในปัจจุบัน กับทั้งซุนนีย์มุสลิมในที่ต่างๆ ก็ให้การสนับสนุนร่วมมือ “กลุ่มฮามาส”, ในการต่อสู้เรื่อง ดินแดนปาเลสไตน์กับชาวยิวอิสราเอล
การใช้ฮาดีษบทนี้ และ บทที่มีข้อความเช่นเดียวกันนี้ สอนเยาวชนมุสลิมนั้น มีมานานก่อนโลกมุสลิมในปัจจุบันแล้ว นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่ มุสลิมเกลียดชาวยิว
จากกระทู้ต่างๆและการอธิบายของ ของท่านผู้รู้ จะไม่กล่าวถึงหรือ อ้างถึง ฮาดีษในทำนองนี้เลย จะกล่าวถึงแต่ความเป็นจริงจากอัลกุรอานเท่านั้น
มีมุสลิม บางสังคมไม่ห่างจากบ้านเรานัก อ้างว่า จากเรื่องบอกเล่า หรือ ฮาดีษบทนี้ จึงทำให้ชาวยิวนิยมปลูกต้น “กอร์คัด” กันมาก, ทั้งนี้เนื่องจาก ยิวเตรียมตัวไว้ป้องกันมุสลิม, แต่ชาวยิวอ้างว่า ต้นไม่ที่ชื่อ “กอร์คัด” นี้ ไม่มีบอกเล่าในประวัติศาสตร์ของชาวยิวเลย, และเป็นเรื่องที่ตลกมากที่เชื่อว่า ชาวยิวเชื่อ คำพยากรณ์ ของฮาดีษบทนี้
Gharqad Tree หรือ Boxthorn Tree ไม่เคยมีปลูกในอิสราเอล ชาวยิว อ้างว่า ในฮาดีษของมุสลิม ที่กล่าวถึงต้น “กอร์คัด” นี้คงเอามาจาก ต้นไม่ชนิดหนึ่งซึ่งมีหนามที่กล่าวถึงใน วรรณคดีของยิว, กษัตริย์ยิวโซโลมอน, ลูกชายของกษัตริย์ยิวเดวิด ซึ่งเขียนหนังสือสุภาษิต ในเรื่อง, “กับดัก และต้นไม้ที่มีหนาม”, ในทัศนของชาวยิวต้นไม่ที่ชื่อ “กอร์คัด” ซึ่งเป็นภาษาอรับนั้น, เป็นต้นไม้ในจินตนาการของมุสลิมในสมัยนั้นล หรืออาจจะเปรียบเทียบ กับ African boxthorn (Lycium ferocissimum) ซึ่งเป็นพุ่มไม้ที่มีหนามชนิดหนึ่ง
ดังนั้นฮาดีษที่เกี่ยวกับการสร้างความเกลียดชังในทำนองนี้จึงไม่สมควรที่มุสลิมจะรวมเข้าไว้ในหลักการของศาสนาอิสลาม นอกจากจะทำให้ เกิดความแตกแยกและความเข้าใจผิดต่อหลักการของอิสลามแล้ว ยังเป็นการเพาะนิสัยให้เยาวชนมุสลิม ให้มีใจลำเอียงและขาดความยุติธรรม عصبية “อะซะบียะฮ์”
ศาสนาอิสลาม ไม่ยอมรับ عصبية “อะซะบียะฮ์” ในรูปแบบใดๆทั้งสิ้น, ทั้งนี้เนื่องจากว่า การถือพรรคถือพวกและเข้าข้างพรรคพวกเดียวกันในการกระทำความผิดความชั่วช้า เป็นสิ่งที่ อยุติธรรม ต่อแบบฉบับของสังคมมนุษย์, ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วบุคคลดังกล่าวได้ ทำให้เกิดการกดขี่,การคดโกงและการล่วงล้ำ ขึ้นในโลกมนุษย์.