ซัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ ได้ให้ความหมายของคำว่า บิดอะห์ว่า:
“บิดอะห์” คือ สิ่งที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน, ซุนนะห์, และ มติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ อากีดะห์ หรือใน เรื่องของอิบาดะห์ เช่น คำกล่าวของ” พวกคอวาริจ ,รอฟิเฎาะห์, กอดารียะห์ , และญะห์มียะห์ หรือพวกที่ทำอิบาดะห์ ด้วย การ เต้นรำและร้องเพลงในมัสยิด
http://www.cicot.or.th/2011/main/content.php?category=24&id=1613
ตามความเข้าใจของผม เข้าใจว่า ถ้า ซุนนะห์, และ มติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ ใดๆ ที่ขัดกับอัลกุรอานแล้ว ถือว่าเป็น “บิดอะห์” หรือการต่อเติม ศาสนา, และสิ่งใดที่ขัด กับ ซุนนะห์, และ มิติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ์ ก็ถือว่าเป็น การต่อเติมศาสนาเช่นกัน, เนื่อง จาก ซุนนะห์, และ มติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ์ จะขัดกับอัลกุรอาน ที่เป็นบัญญัติของอัลลออ์ตะอาลาไม่ได้
……..
ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้วการแบ่งนิกาย หรือการแตกแยกออกของพี่น้องมุสลิมเป็นข้อห้าม ในศาสนาอิสลาม ไม่มีผู้ใดที่สามารถที่จะ “ตัดขาด หรือ ขับไล่มุสลิมออกจากศาสนาอิสลามได้” ทั้งนี้เพราะว่า มุสลิม ได้กล่าวคำปฏิญาณ ครั้งหนึ่งในชีวิตของเขาว่า
“ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมูฮัมมัด (ซ.ล.) เป็นศาสนฑูตของพระองค์”
อัลกุรอานบัญญัติไว้ว่า….
{3:103} และพวกเธอจงยึดสายเชือกของอัลลอฮฺโดยพร้อมเพรียงกันทั้งหมด และจงอย่าแตกแยกกัน และจงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเธอ เพราะพวกเธอเคยเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงประสานระหว่างดวงใจของพวกเธอ แล้วพวกเธอก็กลายเป็นภราดรกันด้วยความโปรดปรานของพระองค์ และพวกเธอเคยอยู่บนปากหลุมแห่งเพลิงนรก แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเธอให้พ้นจากมัน เช่นนั้น อัลลอฮฺจะทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์แก่พวกเธอ เพื่อพวกเธอจะได้รับทางนำ
มุสลิมในบางนิกาย ทั้งผู้รู้และผู้เรียน พยายามที่จะบอกว่า หลังจากที่ท่านศาสดามูฮัมมัดตายไปแล้วศาสนาอิสลามไม่มีการแบ่งนิกาย ซึ่งไม่ยอมรับความเป็นจริงในสังคมปัจจุบัน และปฏิเสธ การคาดกาลล่วงหน้า ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดที่ กล้่าวไว้ใน ฮาดีษ ฮาดีษ ซอเฮี๊ยะ มุสลิม หมายเลช ที่ 976 จากการฟัตวา หรือ การอธิบายความหมาย ต่อไปนี้…
จากการฟัตวา (การลงความเห็นและอธิบายความหมาย) ของ อิสลามิยะฮ์ หมวด 1 หน้า 16
จากฮาดีษ ซอเฮี๊ยะ มุสลิม หมายเลช ที่ 976 ซึ่ง เป็นเรื่องบอกเล่า ที่เชื่อว่า แท้จริงที่สุด ที่ท่านศาสนทูตมู ฮัมมัด กล่าวว่า
“ชุมชนของพวกฉัน จะแบ่งออก เป็น 73 นิกาย, นิกายทั้งหมด จะอยู่ในไฟนรก, ยกเว้นแต่เพียงหนึ่ง(นิกายเดียว)”
คำถามอยู่ที่ว่า “ยกเว้นแต่เพียง นิกายเดียว” นั้นคือ มุสลิม พวกใด? และ อีก 72 นิกายที่กล่าวถึงนั้น จะอยู่ในไฟนรก, เช่นเดียวกับผู้ที่บูชาเจว็ด, ตลอดไปหรือ? และคำว่า “อุมมะฮ์” ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดนั้น หมาย ถึงมุสลิมที่ปฏิบัติตาม ท่าน รอซูล หรือรวม ถึง บรรดาผู้ที่ไม่ ปฏิบัติตาม ท่านศาสนทูต มูฮัมมัดด้วย, หรือหมายถึง แต่เฉพาะ ผู้ที่ปฏิบัติตามท่าน ศาสนทูต เท่านั้น?
ความเห็นแรก:
ความหมายของคำว่า “อุมมะห์” ในฮาดีษบทนี้ คือ ชุมชนที่ตอบรับท่านศาสนทูตมูฮัมมัดต่อ การเชิญชวนเข้ารับอิสลามของท่าน หรือที่เรียกว่า “อุมมะตุล-อิจาบะห์”, ซึ่งจะแตกออกเป็น 73 นิกาย, จำนวน 72 จาก 73 นิกายนี้ คือบรรดาผู้ที่ เบี่ยงเบน, หรือผู้ที่ปฏิบัติการต่อเติมศาสนา ที่ภาษาอรับเรียกว่า “บิดอะห์” แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ละทิ้งศาสนาอิสลาม. บุคคลในนิกายเหล่านั้น จะถูกพระเจ้าลงโทษในวันตัดสิน, ตามความหนักเบา, ความมากน้อย ในการกระทำออกนอกหลักการของอิสลาม, เว้นแต่ผู้ที่ได้รับอภัยโทษและได้รับการยกโทษจากพระเจ้า, ซึ่งพวกเขาก็จะมีที่พำนัก ในสวรรค์ เช่นกัน
นิกายเดียวที่จะปลอดภัยคือ “อะลุสซุนนะฮฺ วัลญามาอะฮฺ” ผู้ที่ที่ยึดมั่นในซุนนะฮฺหรือการปฏิบัติของของท่านศาสดามูฮัมมัด และยึดมั่นอยู่กับสิ่ง ซึ่งท่านศาสนทูตมูฮัมมัดและ สหายของท่านยึดมั่นอยู่ นั้นก็คือ สัจจธรรมจากอัลกุรอาน, นี่คือกลุ่มชนที่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดกล่าวถึงว่าดังนี้:
“กลุ่มของผู้ที่ปฏิบัติตามฉัน (“อุมมะฮ์”ของฉัน) จะยังคงยึดมั่น ต่อความจริง(สัจจธรรม), ชัยขนะ, และปลอดภัยจาก ผู้ที่ต่อ ต้าน และไม่สนับสนุน(สัจจธรรม) ตราบจนวันตาย หรือ วันสิ้นโลก” (จาก ฮาดีษ ซอเฮี๊ยะ บุคอรี หมายเลข 71 และ 3641 และซอเฮี๊ยะ มุสลิม หมายเลข 1920)
ส่วนพวกที่ต่อเติมศาสนา หรือ ทำ “บิดอะห์” นั้นขับไล่ให้ ออก ไปจาก อิสลาม”, เขาเหล่านั้น อยู่ในกลุ่มของพวกที่ ได้รับการเชิญชวนเรียกร้อง ให้ เข้ารับอิสลาม จากท่าน รอซูลที่เรียกว่า “อุมมะตุด ดาวะห์”, ไม่ใช่ กลุ่ม “อุมมะตุล-อิจาบะห์”, เขาเหล่านั้น จะตกอยู่ ในไฟนรก ชั่วกัปชั่วกัลป์
ความเห็นที่สอง
ในอีกความเห็นหนึ่งอธิบายว่า “อุมมะห์” ในฮาดีษบทนี้ หมายถึง “อุมมะตุด-ดาวะห์” ซึ่งมีความหมายโดยรวมถึงผู้ที่ได้รับคำเชิญ จากท่านรอซูล เพื่อเข้ารับอิสลามถึงรวมทั้งผู้ที่ตอบรับคำเชิญและผู้ที่ปฏิเสธคำเชิญ
ขณะเดียวกัน ข้อความในฮาดีษที่ว่า “นิกายที่ปลอดภัย” คือ พวกที่เรียกว่า “อุมมะตุล-อิจาบะห์”, ซึ่งความหมายนี้ ใช้โดยเฉพาะกับบรรดา ผู้ที่เชื่อฟังท่านศาสนทูตมูฮัมมัดอย่างจริงใจ,และตายในสภาวะแห่งความศรัทธาต่อคำสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดอย่างแท้จริง, มุสลิมในนิกายนี้ จะปลอดภัยจากไฟนรก, ไม่ว่าจะ ด้วยการที่ถูกลงโทษมาก่อน หรือ ผู้ที่ไม่ได้รับการลงโทษเลย, และที่พำนักของเขาขั้นสุดท้ายก็คือ สวรรค์
ส่วน จำนวน 72 นิกายในความคิดหลังนี้ทั้งหมด, (ซึ่งไม่รวม “นิกายที่ปลอดภัย”) เป็นบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟังท่านศาสนทูตมูฮัมมัด จะอยู่ในไฟนรก ไปชั่วกัลป์
……………………
จากการอธิบายข้างบนนี้ จะเห็นได้ว่า ในปัจจุบัน ศาสนาอิสลามมีการแบ่งนิกาย ซึ่งเป็นความจริง และแต่ละนิกายมีการปฏิบัติที่มีการต่อเติมศาสนา มากบ้างน้อยบ้าง แตกต่างกันออกไป มีการประกอบและปฏิบัติศาสนกิจที่แตกต่างกันออกไป แต่หลักศรัทธา พื้นฐาน ที่สำคัญเหมือนกัน
จาดคำจำกัดความของ ซัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ ที่ว่า..
“บิดอะห์” คือ สิ่งที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน, ซุนนะห์, และ มติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ อากีดะห์ หรือใน เรื่องของอิบาดะห์ เช่น คำกล่าวของ” พวกคอวาริจ ,รอฟิเฎาะห์, กอดารียะห์ , และญะห์มียะห์ หรือพวกที่ทำอิบาดะห์ ด้วย การ เต้นรำและร้องเพลงในมัสยิด
ตามความเข้าใจของผม เข้าใจว่า ถ้า ซุนนะห์, และ มติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ ใดๆ ที่ขัดกับอัลกุรอานแล้ว ถือว่าเป็น “บิดอะห์” หรือการต่อเติม ศาสนา, และสิ่งใดที่ขัด กับ ซุนนะห์, และ มิติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ์ ก็ถือว่าเป็น การต่อเติมศาสนาเช่นกัน, เนื่อง จาก ซุนนะห์, และ มติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ์ จะขัดกับอัลกุรอาน ที่เป็นบัญญัติของอัลลออ์ตะอาลาไม่ได้
นั้นก็คือ การจะตัดสินเชื่อในเรื่องใดที่เกี่ยวกับหลักการของ ศาสนาอิสลาม จะต้องใช้ อัลกุรอานเป็นบรรทัดฐาน ไม่ว่าจะเป็น การจดบันทึก ซุนนะห์, และ มติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ อากีดะห์ หรือใน เรื่องของอิบาดะห์ เรื่องเหล่านั้น จะต้องไม่ขัดกับ บทบัญญัติในอัลกุรอาน หรือ อยู่นอกขอบเขตของ อัลกุรอาน
การปฏิบัติต่อไปนี้เป็นการ ต่อเติมศาสนาอิสลาม ซึ่งมาจา “ฮาดีษ” ทุกๆระดับ
1.การ STONING เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เลย เนื่องจาก ไม่มีในอัลกุรอาน มุสลิมนำ หลักการจาก คัมภีร์ของชาวยิวมาปฏิบัติ แทนอัลกุรอาน ในอัลกุรอาน ไม่มีการลงโทษเช่นนี้ และถ้านำมาปฏิบัติ รวมอยู่ในการต่อเติมศาสนา
2. ตัดคลิตอริส สตรี ได้ มาจาก ฮาดีษ ที่อ่อนมาก แต่ถูกนำมาสอนให้มุสลิมที่ขาดความรู้ปฏิบัติ (โปรดตามลิ้งค์)
http://sheikyermami.com/2007/05/31/female-genital-mutilation-is-part-of-the-sunna-of-the-prophet/
ในปัจจุบันยังมีการปฏิบัติตามฮาดีษที่เชื่อถือไม่ได้และขาดหลัฐานมารองรับ เช่นในประเทศ อียิปต์ และประเทศมุสลิมในภาคตะวันออกกลาง, และแอฟริกา รวมทั้ง ประเทศอินโดนิเซีย
นักวิชาการ จาก มหาวิทยาลัย Al-Azhar อียิปต์ "อ้างว่าการตัดอวัยวะเพศหญิงเป็นการแทนเข็มขัดป้องกันความบริสุทธิ์ของสตรี ในสมัย โบราณ"
And “Al-Azhar Cleric Farahat Sa’id Al-Munji Justifies Female Circumcision: It Replaces the Chastity Belts of Ancient Times”:
Following are excerpts from an interview with Al-Azhar Cleric Farahat Said Al-Munji, which aired on Al-Mihwar TV on May 10, 2007:
3. Honor Killing
"Both aforementioned Sunni and Shiite texts support the practice of honour killing in Islam", contrary to Hashmi’s claim, and serve as authentic and authoritative sources of Islamic law to this day.
http://www.canadafreepress.com/index.php/article/43207
จากหลักการสอนของนักวิชาการ มุสลิม ทั้ง ซุนนีย์และ ชีอะต์ สอดแทรก ต่อเติม Honor Killing เข้าไปในศาสนาอิสลาม
1.The first text is “Umdat al-Saliq” or “Reliance of the Traveller”, a manual of Islamic law certified in 1991 as a reliable guide to Sunni Islam by Cairo’s renowned al-Azhar University, the most prestigious and authoritative institute of Sunni Islamic jurisprudence in the world.
2.Another text that supports the immunity for parents who kill their children was written by the Grand Ayatollah Ruhollah Khomeini (1902-1989), an authority of Shiite Islam who led the Iranian Islamic revolution in 1979.
เรื่องนี้เป็นการเน้นให้เห็นว่า ความชั่วร้าย ความป่าเถื่อน เป็นการกระทำของ มุสลิมที่เข้าใจหลักการศาสนาที่สอนกันมาผิด และไม่ยอมรับความจริง
ในปัจจุบันนี้ ทั่วทั้งโลกมุสลิมตระหนักอยู่ว่า ในศาสนาอิสลาม มีการแบ่งออกเป็นนิกายต่างๆ ตาม ที่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด "คาดหมายไว้" ถ้า มุสลิม ไม่เชื่อท่านรอซูลแล้วจะเชื่อ มุสลิมท่านใด? ในเมื่อ มีหลักฐานทาง ฮาดีษ และการ ฟัตวา ยืนยัน อย่างชัดเจนเช่นนี้
“ประชาชาติของพวกฉัน จะแบ่งออก เป็น 73 นิกาย"
“บิดอะห์” คือ สิ่งที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน, ซุนนะห์, และ มติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ อากีดะห์ หรือใน เรื่องของอิบาดะห์ เช่น คำกล่าวของ” พวกคอวาริจ ,รอฟิเฎาะห์, กอดารียะห์ , และญะห์มียะห์ หรือพวกที่ทำอิบาดะห์ ด้วย การ เต้นรำและร้องเพลงในมัสยิด
http://www.cicot.or.th/2011/main/content.php?category=24&id=1613
ตามความเข้าใจของผม เข้าใจว่า ถ้า ซุนนะห์, และ มติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ ใดๆ ที่ขัดกับอัลกุรอานแล้ว ถือว่าเป็น “บิดอะห์” หรือการต่อเติม ศาสนา, และสิ่งใดที่ขัด กับ ซุนนะห์, และ มิติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ์ ก็ถือว่าเป็น การต่อเติมศาสนาเช่นกัน, เนื่อง จาก ซุนนะห์, และ มติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ์ จะขัดกับอัลกุรอาน ที่เป็นบัญญัติของอัลลออ์ตะอาลาไม่ได้
……..
ตามหลักการของศาสนาอิสลามแล้วการแบ่งนิกาย หรือการแตกแยกออกของพี่น้องมุสลิมเป็นข้อห้าม ในศาสนาอิสลาม ไม่มีผู้ใดที่สามารถที่จะ “ตัดขาด หรือ ขับไล่มุสลิมออกจากศาสนาอิสลามได้” ทั้งนี้เพราะว่า มุสลิม ได้กล่าวคำปฏิญาณ ครั้งหนึ่งในชีวิตของเขาว่า
“ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมูฮัมมัด (ซ.ล.) เป็นศาสนฑูตของพระองค์”
อัลกุรอานบัญญัติไว้ว่า….
{3:103} และพวกเธอจงยึดสายเชือกของอัลลอฮฺโดยพร้อมเพรียงกันทั้งหมด และจงอย่าแตกแยกกัน และจงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเธอ เพราะพวกเธอเคยเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงประสานระหว่างดวงใจของพวกเธอ แล้วพวกเธอก็กลายเป็นภราดรกันด้วยความโปรดปรานของพระองค์ และพวกเธอเคยอยู่บนปากหลุมแห่งเพลิงนรก แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเธอให้พ้นจากมัน เช่นนั้น อัลลอฮฺจะทรงแจกแจงบรรดาโองการของพระองค์แก่พวกเธอ เพื่อพวกเธอจะได้รับทางนำ
มุสลิมในบางนิกาย ทั้งผู้รู้และผู้เรียน พยายามที่จะบอกว่า หลังจากที่ท่านศาสดามูฮัมมัดตายไปแล้วศาสนาอิสลามไม่มีการแบ่งนิกาย ซึ่งไม่ยอมรับความเป็นจริงในสังคมปัจจุบัน และปฏิเสธ การคาดกาลล่วงหน้า ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดที่ กล้่าวไว้ใน ฮาดีษ ฮาดีษ ซอเฮี๊ยะ มุสลิม หมายเลช ที่ 976 จากการฟัตวา หรือ การอธิบายความหมาย ต่อไปนี้…
จากการฟัตวา (การลงความเห็นและอธิบายความหมาย) ของ อิสลามิยะฮ์ หมวด 1 หน้า 16
จากฮาดีษ ซอเฮี๊ยะ มุสลิม หมายเลช ที่ 976 ซึ่ง เป็นเรื่องบอกเล่า ที่เชื่อว่า แท้จริงที่สุด ที่ท่านศาสนทูตมู ฮัมมัด กล่าวว่า
“ชุมชนของพวกฉัน จะแบ่งออก เป็น 73 นิกาย, นิกายทั้งหมด จะอยู่ในไฟนรก, ยกเว้นแต่เพียงหนึ่ง(นิกายเดียว)”
คำถามอยู่ที่ว่า “ยกเว้นแต่เพียง นิกายเดียว” นั้นคือ มุสลิม พวกใด? และ อีก 72 นิกายที่กล่าวถึงนั้น จะอยู่ในไฟนรก, เช่นเดียวกับผู้ที่บูชาเจว็ด, ตลอดไปหรือ? และคำว่า “อุมมะฮ์” ของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดนั้น หมาย ถึงมุสลิมที่ปฏิบัติตาม ท่าน รอซูล หรือรวม ถึง บรรดาผู้ที่ไม่ ปฏิบัติตาม ท่านศาสนทูต มูฮัมมัดด้วย, หรือหมายถึง แต่เฉพาะ ผู้ที่ปฏิบัติตามท่าน ศาสนทูต เท่านั้น?
ความเห็นแรก:
ความหมายของคำว่า “อุมมะห์” ในฮาดีษบทนี้ คือ ชุมชนที่ตอบรับท่านศาสนทูตมูฮัมมัดต่อ การเชิญชวนเข้ารับอิสลามของท่าน หรือที่เรียกว่า “อุมมะตุล-อิจาบะห์”, ซึ่งจะแตกออกเป็น 73 นิกาย, จำนวน 72 จาก 73 นิกายนี้ คือบรรดาผู้ที่ เบี่ยงเบน, หรือผู้ที่ปฏิบัติการต่อเติมศาสนา ที่ภาษาอรับเรียกว่า “บิดอะห์” แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ละทิ้งศาสนาอิสลาม. บุคคลในนิกายเหล่านั้น จะถูกพระเจ้าลงโทษในวันตัดสิน, ตามความหนักเบา, ความมากน้อย ในการกระทำออกนอกหลักการของอิสลาม, เว้นแต่ผู้ที่ได้รับอภัยโทษและได้รับการยกโทษจากพระเจ้า, ซึ่งพวกเขาก็จะมีที่พำนัก ในสวรรค์ เช่นกัน
นิกายเดียวที่จะปลอดภัยคือ “อะลุสซุนนะฮฺ วัลญามาอะฮฺ” ผู้ที่ที่ยึดมั่นในซุนนะฮฺหรือการปฏิบัติของของท่านศาสดามูฮัมมัด และยึดมั่นอยู่กับสิ่ง ซึ่งท่านศาสนทูตมูฮัมมัดและ สหายของท่านยึดมั่นอยู่ นั้นก็คือ สัจจธรรมจากอัลกุรอาน, นี่คือกลุ่มชนที่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัดกล่าวถึงว่าดังนี้:
“กลุ่มของผู้ที่ปฏิบัติตามฉัน (“อุมมะฮ์”ของฉัน) จะยังคงยึดมั่น ต่อความจริง(สัจจธรรม), ชัยขนะ, และปลอดภัยจาก ผู้ที่ต่อ ต้าน และไม่สนับสนุน(สัจจธรรม) ตราบจนวันตาย หรือ วันสิ้นโลก” (จาก ฮาดีษ ซอเฮี๊ยะ บุคอรี หมายเลข 71 และ 3641 และซอเฮี๊ยะ มุสลิม หมายเลข 1920)
ส่วนพวกที่ต่อเติมศาสนา หรือ ทำ “บิดอะห์” นั้นขับไล่ให้ ออก ไปจาก อิสลาม”, เขาเหล่านั้น อยู่ในกลุ่มของพวกที่ ได้รับการเชิญชวนเรียกร้อง ให้ เข้ารับอิสลาม จากท่าน รอซูลที่เรียกว่า “อุมมะตุด ดาวะห์”, ไม่ใช่ กลุ่ม “อุมมะตุล-อิจาบะห์”, เขาเหล่านั้น จะตกอยู่ ในไฟนรก ชั่วกัปชั่วกัลป์
ความเห็นที่สอง
ในอีกความเห็นหนึ่งอธิบายว่า “อุมมะห์” ในฮาดีษบทนี้ หมายถึง “อุมมะตุด-ดาวะห์” ซึ่งมีความหมายโดยรวมถึงผู้ที่ได้รับคำเชิญ จากท่านรอซูล เพื่อเข้ารับอิสลามถึงรวมทั้งผู้ที่ตอบรับคำเชิญและผู้ที่ปฏิเสธคำเชิญ
ขณะเดียวกัน ข้อความในฮาดีษที่ว่า “นิกายที่ปลอดภัย” คือ พวกที่เรียกว่า “อุมมะตุล-อิจาบะห์”, ซึ่งความหมายนี้ ใช้โดยเฉพาะกับบรรดา ผู้ที่เชื่อฟังท่านศาสนทูตมูฮัมมัดอย่างจริงใจ,และตายในสภาวะแห่งความศรัทธาต่อคำสอนของท่านศาสนทูตมูฮัมมัดอย่างแท้จริง, มุสลิมในนิกายนี้ จะปลอดภัยจากไฟนรก, ไม่ว่าจะ ด้วยการที่ถูกลงโทษมาก่อน หรือ ผู้ที่ไม่ได้รับการลงโทษเลย, และที่พำนักของเขาขั้นสุดท้ายก็คือ สวรรค์
ส่วน จำนวน 72 นิกายในความคิดหลังนี้ทั้งหมด, (ซึ่งไม่รวม “นิกายที่ปลอดภัย”) เป็นบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟังท่านศาสนทูตมูฮัมมัด จะอยู่ในไฟนรก ไปชั่วกัลป์
……………………
จากการอธิบายข้างบนนี้ จะเห็นได้ว่า ในปัจจุบัน ศาสนาอิสลามมีการแบ่งนิกาย ซึ่งเป็นความจริง และแต่ละนิกายมีการปฏิบัติที่มีการต่อเติมศาสนา มากบ้างน้อยบ้าง แตกต่างกันออกไป มีการประกอบและปฏิบัติศาสนกิจที่แตกต่างกันออกไป แต่หลักศรัทธา พื้นฐาน ที่สำคัญเหมือนกัน
จาดคำจำกัดความของ ซัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ ที่ว่า..
“บิดอะห์” คือ สิ่งที่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน, ซุนนะห์, และ มติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ อากีดะห์ หรือใน เรื่องของอิบาดะห์ เช่น คำกล่าวของ” พวกคอวาริจ ,รอฟิเฎาะห์, กอดารียะห์ , และญะห์มียะห์ หรือพวกที่ทำอิบาดะห์ ด้วย การ เต้นรำและร้องเพลงในมัสยิด
ตามความเข้าใจของผม เข้าใจว่า ถ้า ซุนนะห์, และ มติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ ใดๆ ที่ขัดกับอัลกุรอานแล้ว ถือว่าเป็น “บิดอะห์” หรือการต่อเติม ศาสนา, และสิ่งใดที่ขัด กับ ซุนนะห์, และ มิติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ์ ก็ถือว่าเป็น การต่อเติมศาสนาเช่นกัน, เนื่อง จาก ซุนนะห์, และ มติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ์ จะขัดกับอัลกุรอาน ที่เป็นบัญญัติของอัลลออ์ตะอาลาไม่ได้
นั้นก็คือ การจะตัดสินเชื่อในเรื่องใดที่เกี่ยวกับหลักการของ ศาสนาอิสลาม จะต้องใช้ อัลกุรอานเป็นบรรทัดฐาน ไม่ว่าจะเป็น การจดบันทึก ซุนนะห์, และ มติเอกฉันท์ ของอัสสลัฟฟุสศอลิหฺ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ อากีดะห์ หรือใน เรื่องของอิบาดะห์ เรื่องเหล่านั้น จะต้องไม่ขัดกับ บทบัญญัติในอัลกุรอาน หรือ อยู่นอกขอบเขตของ อัลกุรอาน
การปฏิบัติต่อไปนี้เป็นการ ต่อเติมศาสนาอิสลาม ซึ่งมาจา “ฮาดีษ” ทุกๆระดับ
1.การ STONING เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เลย เนื่องจาก ไม่มีในอัลกุรอาน มุสลิมนำ หลักการจาก คัมภีร์ของชาวยิวมาปฏิบัติ แทนอัลกุรอาน ในอัลกุรอาน ไม่มีการลงโทษเช่นนี้ และถ้านำมาปฏิบัติ รวมอยู่ในการต่อเติมศาสนา
2. ตัดคลิตอริส สตรี ได้ มาจาก ฮาดีษ ที่อ่อนมาก แต่ถูกนำมาสอนให้มุสลิมที่ขาดความรู้ปฏิบัติ (โปรดตามลิ้งค์)
http://sheikyermami.com/2007/05/31/female-genital-mutilation-is-part-of-the-sunna-of-the-prophet/
ในปัจจุบันยังมีการปฏิบัติตามฮาดีษที่เชื่อถือไม่ได้และขาดหลัฐานมารองรับ เช่นในประเทศ อียิปต์ และประเทศมุสลิมในภาคตะวันออกกลาง, และแอฟริกา รวมทั้ง ประเทศอินโดนิเซีย
นักวิชาการ จาก มหาวิทยาลัย Al-Azhar อียิปต์ "อ้างว่าการตัดอวัยวะเพศหญิงเป็นการแทนเข็มขัดป้องกันความบริสุทธิ์ของสตรี ในสมัย โบราณ"
And “Al-Azhar Cleric Farahat Sa’id Al-Munji Justifies Female Circumcision: It Replaces the Chastity Belts of Ancient Times”:
Following are excerpts from an interview with Al-Azhar Cleric Farahat Said Al-Munji, which aired on Al-Mihwar TV on May 10, 2007:
3. Honor Killing
"Both aforementioned Sunni and Shiite texts support the practice of honour killing in Islam", contrary to Hashmi’s claim, and serve as authentic and authoritative sources of Islamic law to this day.
http://www.canadafreepress.com/index.php/article/43207
จากหลักการสอนของนักวิชาการ มุสลิม ทั้ง ซุนนีย์และ ชีอะต์ สอดแทรก ต่อเติม Honor Killing เข้าไปในศาสนาอิสลาม
1.The first text is “Umdat al-Saliq” or “Reliance of the Traveller”, a manual of Islamic law certified in 1991 as a reliable guide to Sunni Islam by Cairo’s renowned al-Azhar University, the most prestigious and authoritative institute of Sunni Islamic jurisprudence in the world.
2.Another text that supports the immunity for parents who kill their children was written by the Grand Ayatollah Ruhollah Khomeini (1902-1989), an authority of Shiite Islam who led the Iranian Islamic revolution in 1979.
เรื่องนี้เป็นการเน้นให้เห็นว่า ความชั่วร้าย ความป่าเถื่อน เป็นการกระทำของ มุสลิมที่เข้าใจหลักการศาสนาที่สอนกันมาผิด และไม่ยอมรับความจริง
ในปัจจุบันนี้ ทั่วทั้งโลกมุสลิมตระหนักอยู่ว่า ในศาสนาอิสลาม มีการแบ่งออกเป็นนิกายต่างๆ ตาม ที่ท่านศาสนทูตมูฮัมมัด "คาดหมายไว้" ถ้า มุสลิม ไม่เชื่อท่านรอซูลแล้วจะเชื่อ มุสลิมท่านใด? ในเมื่อ มีหลักฐานทาง ฮาดีษ และการ ฟัตวา ยืนยัน อย่างชัดเจนเช่นนี้