บรรยากาศการทำงานหมอ ทำไมหมอบางทีถึงอารมณ์เสีย?

จากการที่ทำงานเป็นหมอมา (ยังเป็น intern นะครับ) เคยอยู่ทั้ง รพ.รัฐขนาดใหญ่, รพ.ชุมชน และ รพ.เอกชน
เลยมาบอกเล่าประสบการณ์จากการทำงานครับ เผื่อจะได้เข้าใจและพยายามหลีกเลี่ยงบ้างครับ เวลาไปตรวจ

ออกตัวก่อน ไม่ได้บอกว่าอารมณ์เสียไม่ผิด ที่ ideal ดีที่สุดจริงๆ ควรต้องไม่มีเลย แต่ด้วยความเป็นคนก็คงต้องมีบ้างครับ



## ทำไมหมออารมณ์เสีย ??

ปัจจัยจากตัวหมอเอง เช่น
บางคนอารมณ์ร้ายอยู่แล้ว
บางคนไม่มีอะไร แต่ปากร้าย
บางทีปกติเป็นคนอารมณ์ดี แต่มีสิ่งกระตุ้น ทะเลาะกับแฟน มีเรื่องกับที่บ้าน คนไข้เยอะ ไม่ได้กินข้าว เหนื่อย เพลีย ง่วง 9ฯ9

ปัจจัยจากตัวหมอเอง คนเป็นคนไข้คงแก้อะไรไม่ได้ครับ ปล่อยช่างมันละกัน เน้นปัจจัยจากตัวคนไข้ดีกว่า



ปัจจัยจากตัวคนไข้ เล่าจากประสบการณ์ที่เคยเจอละกันนะครับ
- ซักประวัติไม่รู้เรื่อง ปกติการซักประวัติ ตามที่เรียนมาจากโรงเรียนแพทย์ จะพยายามถามเป็นคำถามปลายเปิดเพื่อให้คนไข้เล่าอาการออกมาเอง  โดยหมอขัดจังหวะให้น้อยเท่าที่จำเป็นและถามคำถามปลายปิดเพื่อเน้นเป็นจุดๆ เพราะจะทำให้ได้ข้อมูลครบถ้วนกว่า แต่ในความเป็นจริง การถามคำถามปลายเปิด ใช้เวลานานมากและได้ข้อมูลที่เป็นน้ำเสียมาก บางทีเล่ามาวกวน เช่น
     หมอ: อาการเป็นมานานเท่าไหร่
     คนไข้: นานแล้วหมอ
     หมอ: (นานมากนี่มันนานเท่าไหร่วะ) เอ้อ นานแล้วนี่มันนานเท่าไหร่นะ
     คนไข้: นานมากแล้วหมอ...
     หมอ: (เริ่มขึ้นละ) เอ้อ กี่วัน กี่เดือน กี่ปี นานของพ่อเนี่ย
     คนไข้: หลายเดือนแล้ว.....
     หมอ: (ขึ้นไปอีก) หลายเดือนของพ่อเนี่ย กี่เดือนแล้ว (เสียงดังหน่อย)
     คนไข้: (ไม่ตอบ ทำท่าคิด)
     หมอ: ( = =a ) ถึงครึ่งปีไหม สองเดือน สี่เดือน หกเดือน ?????
     คนไข้: สักครึ่งปีนะหมอ
    
     กว่าจะได้คำตอบ หมดไป 5 คำถาม (ประสบการณ์จริงผมเอง)

     เวลาเล่าอาการให้หมอฟัง ควรเล่าเป็น timeline เพราะจะทำให้เรียงลำดับเหตุการณ์ได้ง่ายกว่า โรคบางโรคเช่น ไข้+ท้องเสีย ถ้าท้องเสียก่อนไข้ หรือไข้ก่อนท้องเสีย ก็วินิจฉัยโรคแตกต่างกัน คนไข้บางคนเล่าประวัติไม่ตรงกับเวลา ก็จะทำให้หมอ งง ที่เคยเจอก็เช่น บอกว่าไข้ ปวดหัว ปวดท้อง ท้องเสีย มา 5 วัน แต่พอซักไล่ไปจริงๆ แล้วถึงจะรู้ว่าอาการอะไรเกิดวันไหน ซึ่งต้องซักนานมาก เพราะบางทีถามตอบไม่รู้เรื่อง วนไปวนมา บางทีคนไข้ก็นับวันผิดเอง บอก เป็นมา 5 วัน เรานับย้อนไปเป็นวันอาทิตย์ แต่คนไข้บอกเป็นแต่วันศุกร์ สรุป คนไข้นับผิด = =a
     ถ้าจะให้ดี เริ่มเล่าแต่วันแรกเลยครับ วันแรกมีอาการอะไร ไม่มีอาการอะไร อาการไหนเริ่มวันไหน

     คนไข้หรือญาติบางคนถามไป ตอบได้หมด แต่ความจริงไม่รู้สักอย่าง เช่น คนไข้ไม่รู้สึกตัว ต้องสักประวัติญาติ ถามญาติไป ตอบได้ทุกอย่าง ถ่ายสีอะไร ฉี่สีอะไร เป็นไข้ไหม เสมหะสีอะไร ถามไปถามมา อยู่คนละบ้านกัน...... หมอต้องการความจริงเป็นข้อมูล ไม่ได้ทำข้อสอบ อะไรไม่รู้ก็ตอบว่าไม่รู้ ดีกว่าได้ข้อมูลเท็จไปรักษาคนไข้ ล่าสุดอาทิตย์ที่แล้ว เจอคนไข้ชักหมดสติมา คนไข้บอกว่าหมดสติไม่รู้สึกตัวเลย มารู้สึกตัวตอนอยู่โรงพยาบาล แต่เล่าได้หมด บอกเพื่อนอุ้ม เอาน้ำมาให้กิน อุ้มขึ้นรถ บลาๆ ก็บันทึกไปว่าประวัติเชื่อถือไม่ได้

     วันนี้ตอบอย่างนึง พรุ่งนี้ตอบอีกอย่างหนึ่ง (บางทีห่างกันแค่ไม่กี่นาที) เจอบ่อยมาก ส่วนใหญ่นักเรียนแพทย์จะรู้ดี สักประวัติเองได้อย่าง อาจารย์มา คนไข้ตอบอีกอย่าง โดนอาจารย์ด่าประจำ ล่าสุดถามคนไข้ว่ากินเหล้าไหม บอกเลิกมา 9 เดือน ถามว่ากินล่าสุดเมื่อไหร่ บอก 3 วัน = =a อีกคนก็บอกไข้มา 14 วัน อาการเหมือนไข้เลือดออกมากแต่ติดตรงที่ 14 วันมันนานเกินไป หาสาเหตุกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็มากลับคำว่าไข้มา 3 วัน = =a


- เบ่ง อย่าคิดว่าเบ่งแล้วจะได้รับการรักษาที่ดีนะครับ เคยเจอแต่เบ่งแล้วได้รับการรักษาที่แย่ลง เดินเข้ามาเป็นอะไรยังไม่ได้คุยกันเลย บอกก่อนเลยว่าเป็นนักข่าว (แล้วไงนะ?) คือมันทำให้ bad impression แต่แรก แค่ได้ยินเขาพูดแค่นี้ก็เกลียดคนไข้คนนี้ไปแล้วครับ ไม่อยากไปยุ่งด้วย
- เวลาควรมาตรวจไม่มา ควรรักษาแล้วไม่รักษา
     เจอวันนี้เลย โรคความดันสูง ไม่กินยา จนเส้นเลือดสมองแตกเมื่อปี 53 ก็ยังไม่เข็ด ไม่มาตรวจอีกเลยหลังจากเส้นเลือดแตก ซื้อยาร้านขายยากินเอง วันนี้ปวดหัวจนจะตาย ความดัน 190/110 ถึงมาโรงพยาบาล
     วัณโรค ต้องกินยาต่อเนื่องหกเดือน  กินยาไปได้ 3 เดือนแล้วก็เลิกไม่มาตรวจซ้ำ กลับมาเป็นใหม่ มาตรวจเพราะเหนื่อยมากขึ้น เดือดร้อนกันหมดทั้งหมอ ทั้งคนใกล้ตัว คนบ้านใกล้ เพราะถ้าเชื้อดื้อยามากๆ จะไม่มียารักษา
     โรคไตวาย ต้องฟอกไต คุยเรื่องการฟอกไตทางหน้าท้อง ไม่ทำ กลัวเจ็บ ไม่มีคนทำให้ พอของเสียคั่งเหนื่อยใกล้ตายแล้วญาติถึงจะมาร้องไห้อ้อนวอนจะฟอกไต ถ้าทำแต่แรกฟอกหน้าท้องจะไม่เสียเงิน แต่ถ้าทำตอนแย่ต้องไปฟอกเลือด จ่ายเงินเองเป็นหมื่นๆ ไม่มีเงินก็ตาย เจอบ่อยมาก ตายเดือนละหลายคน
     เอดส์ ไม่ยอมกินยารักษา ติดเชื้อจนจะตายถึงมาโรงพยาบาล ก็เจอเรื่อยๆ
- เวลาไม่ควรมา ก็มา เจอมากโดยเฉพาะกับห้องฉุกเฉินครับ ตามชื่อครับ ห้องฉุกเฉินที่ดีควรตรวจแต่คนไข้ที่ฉุกเฉินจริงๆ ครับ ปกติก็อรุ่มอร่วยตรวจให้หมดทุกคน แต่ต้องทำใจว่ารอนานนะครับ โรงพยาบาลที่ผมทำอยู่ จะแจกบัตรแต่แรกเลยว่าคนไข้ด่วนแค่ไหน สีอะไร รับประกันว่าได้ตรวจภายในกี่ชั่วโมง
        สีแดง resuscitation ตรวจทันที
        สีส้ม emergency ตรวจภายใน 10 นาที
        สีเหลือง urgency ตรวจภายใน 30 นาที
        สีน้ำตาล semi-urgency ตรวจภายใน 60 นาที
        สีเขียว non-urgency ตรวจภายใน 120 นาที
ดังนั้นถ้าไม่ฉุกเฉิน พวกเป็นหวัดเป็นไข้ทั่วไป มาทำแผล มาฉีดยาตามนัด ปวดขา ปวดเอว ก็รอไปนะครับ สีเขียวแน่นอน รอไป 2 ชั่วโมง บางคนรอไปได้ชั่วโมงนึงก็เดินมาด่า บอกเป็นหวัดน้ำมูกเยอะหายใจไม่ออกจะตายแล้ว (แล้วพูดมีเสียงได้ไงวะ ไหนบอกว่าหายใจไม่ออก?) ก็บอกไปครับ หมอไม่ได้ตรวจตามคิว หมอตรวจตามความรุนแรงของโรค ยิ้มมีคนไข้จะตายอยู่สองสามคน หายใจไม่ออกเพราะน้ำมูกก็หายใจทางปากไปก่อนแล้วกัน (ที่ยกตัวอย่างมาเหตุการณ์จริงหมด)

เวรห้องฉุกเฉินตอนดึกหลังเที่ยงคืนก็ตัวดีครับ อย่าคิดว่าหมออยู่เวร เป็นอะไรมาก็ต้องตรวจหมด ก็ต้องตรวจหมดและครับ แต่เห็นใจหมอบ้าง สมมุติทำงานวันปกติ 8-16น นอนพักตอนเย็น มาอยู่เวรดึก เที่ยงคืนถึง 8 โมงเช้า เสร็จแล้วไงครับ ไม่ได้กลับไปนอนนะครับ ต้องทำงานต่อเลย 8-16น ดังนั้นถ้านอนได้พวกผมก็อยากนอนพักครับ เจอปลุกมาตรวจคนไข้ตอนตี 3 เพราะกินหมูจุ่มแล้วชาปาก หมอพูดไม่ออก รักษาไม่ถูกเลย (ตอนเรียน อยู่ห้องฉุกเฉิน รพ.จุฬา ตอน curfew ตอนประท้วงเผาเมือง เจอคนไข้น้ำมูกไหล ฝ่า curfew มาตรวจตอนตี 3 แม่เจ้า)

อีกอย่างที่ทำให้คนไข้ชอบมานอกเวลากัน เพราะรอคิวไม่นาน แต่บอกให้รู้ไว้ครับ ปกติหมอที่อยู่เวรนอกเวลาคือใคร หมอใหม่ทั้งนั้นครับ ดังนั้นอย่าคาดหวังว่าจะได้ตรวจกับหมอเฉพาะทางนะครับ

- โรคทำตัวเอง เจอเยอะมาก กินเหล้า เมาเละ รถชน หัวแตก ตีกัน ตับแข็งจนจะตายก็ยังกินเหล้า เลือดออกจากหลอดอาหารปีนึง 10 รอบ ก็ยังกินเหล้า ก็ทำเท่าที่ทำได้ครับ แต่ถ้าต้องเลือก เช่น คนนึงรักษาตัวดี เป็นโรคหนัก กับอีกคนกินเหล้ามาตลอดจนจะตายจากกินเหล้า จะให้ผมเลือกรักษาใคร? ICU เตียงจำกัด ส่วนใหญ่ถ้าไม่ดูแลตัวเอง โรคทำตัวเอง ไม่ย้ายเข้า ICU นะครับ (คงนโยบายแล้วแต่ รพ.)

- ญาติคนไข้คุยไม่รู้เรื่อง คนไข้อาการหนัก หรือต้องทำหัตการณ์รุนแรง เรียกมาคุยๆๆๆๆ คุยเสร็จ หันมาถามคำถามเดิม จะหายไหม (อ่าว แล้วที่คุยมะกี้ป้าไม่ได้ฟังหรือยังไง) ไม่เป็นไร คุยใหม่ คุยๆๆๆๆๆๆ คุยเสร็จ อักไม่กี่นาที ถามคำถามเดิม จะหายไหม ..... (เจอบ่อยมาก)
โรคบางอย่าง รักษาเป็น step เช่นเหนื่อยเยอะใส่ท่อช่วยหายใจ ถ้าไม่ไหว หัวใจหยุดเต้นต้องปั้มหัวใจ คุยแนะนำญาติ ญาติไม่เอา step 1 แต่เอา step 2 ไม่ใส่ท่อช่วยหายใจ แต่ปั้มหัวใจ จะทำไปทำไม = =a
คนไข้เป็นโรคระยะสุดท้าย แนะนำอาการกับคนใกล้ตัวคนไข้ คนที่คอยดูแลทุกวันเข้าใจดี อยากให้ดูแลระยะสุดท้าย ให้คนไข้ไปสบายๆ พอจะถึงเวลาจริง ญาติอีกคน มาจากไหนไม่รู้ คงรู้สึกผิดทีไม่ได้ดูแล จะให้ยื้อไว้ที่สุด ใส่ท่อช่วยหายใจ ปั้มหัวมจ ผ่าตัด อะไรเอาหมด
****** ประเด็นนี้เข้าใจว่ามันมีที่มาที่ไป ทั้งความรู้เรื่องตัวโรค เรื่องการดูแลระยะสุดท้าย เรื่องจิดวีทยา แต่เจอบางทีก็แองเซงๆ ครับ *********

- คนไข้ประเภทมานอน รพ. นึกว่ามานอน โรงแรม จะเอาความสะดวกสบายเหมือนนอนโรงแรม เจอถึงขนาดว่า คนไข้อายุแค่ 20 ปี เดินได้ช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่าง อึใส่กระโถนเพราะต้องเก็บอุจจาระตรวจ อึเสร็จไปเรียกพยาบาลให้มาเก็บอุจจาระ (ปกติมีขวดพร้อมไม้ตักให้เก็บเองเรียบร้อย) พยาบาลรับทราบแต่เนื่องจากงานยุ่งก็ไปทำอย่างอื่นต่อ อีก 10 นาที เดินมาด่าพยาบาลเพราะพยาบาลไม่เอาอึไปเทให้ = =a


ง่วงแล้วครับ ใครมีอะไรเสริมก็เขียนๆ มาได้ครับ
ที่เขียนมาคือเป็นแนวทางให้คนไข้ที่จะไปตรวจกับหมอ พยายามหลีกเลี่ยงนะครับ ถ้าคิดว่าทำดีแล้วหมอยังหงุดหงิด ก็ช่างหมอมันไปเถอะครับ = =a
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่