ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าใครได้ติดตามการเดินเชื้อเชิญชาวกรุงเทพฯ ของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เพื่อขอความร่วมมือในการปิดเมืองกรุงเทพฯ (Shutdown Bangkok) จะพบปรากฏการณ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่มีใครคาดฝัน หรือเคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้มาก่อนเลย นั่นคือ "สุเทพ ฟีเวอร์" หรือการที่คนทุกเพศทุกวัยพากันนิยมชมชอบในตัวคุณสุเทพ อย่างคลั่งไคล้
โดยเฉพาะปฏิกิริยาของคนวัยหนุ่มสาว (คำว่าฟีเวอร์ fever ภาษาอังกฤษแปลว่าเป็นไข้ หรือตัวร้อนเป็นไข้) ปรากฎการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นความสนใจทางการเมืองของคนหนุ่มสาว การที่คนเหล่านั้นให้ความสนใจในตัวคุณสุเทพ ในระดับคลั่งไคล้
ผมคิดว่าคนเหล่านั้นไม่ได้หลงไหลคุณสุเทพ ในความหล่อ หรือความเด็ดเดี่ยวในการเป็นผู้นำของเขา หากแต่หลงใหลคุณสุเทพ จากการแภิปราย หรือ (ด่ารัฐบาลและพรรคพวกรัฐบาล) ได้ใจมากกว่า ความจริงคนเหล่านั้น เมื่อก่อนอาจจะถูกเรียกว่า 'ไทยเฉย' หรือพวกสายลมแสงแดดมาก่อน แต่คุณสุเทพได้ใช้วาทะปลุกคนเหล่านั้นขึ้นมา จนเกิดกระแสตอบรับและเห็นอันตรายจากการเมืองในอดีตได้ชัดขึ้น
ผมจึงตั้งทฤษฎีว่า ปรากฏการณ์มวลมหาประชาชนที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต (อาจกล่าวว่าในรอบร้อยปีก็ได้) เหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองของเรา ก็ต้องนับเป็นครั้งแรก)
ผมอธิบายปรากฎการณ์ว่าเป็นปรากฎการณ์จุดระเบิดขึ้นจากปฏิกิริยากดทับจนเกิด การเพิ่มอุณหภูมิถึงจุดระเบิด แล้วเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ ของพลังงานปรมาณูตามมาเป็นระยะๆ ดังนั้น จึงปรากฎว่าการนัดรวมพลแต่ละครั้ง จึงมีแต่มวลมหาประชาชนมากกว่าเดิมทุกครั้ง แทนที่จะเกิดการฝ่อลง ดังที่ฝ่ายรัฐบาลเคยประมาทไว้
การเปิดปฏิกิริยาลูกโซ่ดังกล่าว เป็นการเพิ่มพูนความเข้าใจและความสนใจในทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ที่เป็นธรรมาธิปไตยอย่างแท้จริง มิใช่ประชาธิปไตยแบบเผด็จการรัฐสภาที่ผ่านมา คำว่า เผด็จการรัฐสภา ผมเคยได้ยินการกล่าวอ้างมาทุกยุคทุกสมัย เพราะเราให้อำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารมาจากแหล่งเดียวกันมาตลอด เราไม่เคยแยกอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติออกจากกันอย่างเด็ดขาด
เมื่อเกิดเผด็จการรัฐสภาเบ็ดเสร็จมากขึ้น คอร์รัปชั่นหรือฉ้อราษฏ์บังหลวงก็เฟื่องฟู เมื่อคนระอามากขึ้นเราก็เรียกให้ทหารออกมาปฏิวัติ รัฐประหารเสียทีหนึ่ง แล้วเราก็ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ฉีกรัฐธรรมนูญเดิมทิ้งไป เป็นสูตรสำเร็จแบบนี้หลายคราว แล้ววงจรอุบาทว์ก็กลับมาเป็นระยะๆ ตอนนี้คนก็เริ่มพูดถึงรัฐประหารอีก ผมยังเชื่อว่าทหารควรได้รับบทเรียนมาพอแล้ว คงไม่คิดรัฐประหารแน่ เพราะถ้าทหารทำรัฐประหาร ประเทศก้จะเข้าสู่วงจรอุบาทว์ไม่มีสิ้นสุด ผมจึงของร้องให้ผู้นำกองทัพทั้งหลาย กรุณาอย่านำประเทศชาติเข้าสู่วงจรอุบาทว์อีกเลย ท่านน่าจะคิดหาทางให้ประเทศชาติได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูกต้องและชอบธรรมได้เสียทีหนึ่ง
ผมไม่คิดว่าคุณสุเทพ จะเป็นฝักฝ่ายใด แต่คุณสุเทพเป็นเพียงผู้แสดงออกที่ประชาชนพอใจ และสะใจมากกว่า
ปรากฏการณ์ "สุเทพ ฟีเวอร์"
โดยเฉพาะปฏิกิริยาของคนวัยหนุ่มสาว (คำว่าฟีเวอร์ fever ภาษาอังกฤษแปลว่าเป็นไข้ หรือตัวร้อนเป็นไข้) ปรากฎการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นความสนใจทางการเมืองของคนหนุ่มสาว การที่คนเหล่านั้นให้ความสนใจในตัวคุณสุเทพ ในระดับคลั่งไคล้
ผมคิดว่าคนเหล่านั้นไม่ได้หลงไหลคุณสุเทพ ในความหล่อ หรือความเด็ดเดี่ยวในการเป็นผู้นำของเขา หากแต่หลงใหลคุณสุเทพ จากการแภิปราย หรือ (ด่ารัฐบาลและพรรคพวกรัฐบาล) ได้ใจมากกว่า ความจริงคนเหล่านั้น เมื่อก่อนอาจจะถูกเรียกว่า 'ไทยเฉย' หรือพวกสายลมแสงแดดมาก่อน แต่คุณสุเทพได้ใช้วาทะปลุกคนเหล่านั้นขึ้นมา จนเกิดกระแสตอบรับและเห็นอันตรายจากการเมืองในอดีตได้ชัดขึ้น
ผมจึงตั้งทฤษฎีว่า ปรากฏการณ์มวลมหาประชาชนที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต (อาจกล่าวว่าในรอบร้อยปีก็ได้) เหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองของเรา ก็ต้องนับเป็นครั้งแรก)
ผมอธิบายปรากฎการณ์ว่าเป็นปรากฎการณ์จุดระเบิดขึ้นจากปฏิกิริยากดทับจนเกิด การเพิ่มอุณหภูมิถึงจุดระเบิด แล้วเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ ของพลังงานปรมาณูตามมาเป็นระยะๆ ดังนั้น จึงปรากฎว่าการนัดรวมพลแต่ละครั้ง จึงมีแต่มวลมหาประชาชนมากกว่าเดิมทุกครั้ง แทนที่จะเกิดการฝ่อลง ดังที่ฝ่ายรัฐบาลเคยประมาทไว้
การเปิดปฏิกิริยาลูกโซ่ดังกล่าว เป็นการเพิ่มพูนความเข้าใจและความสนใจในทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ที่เป็นธรรมาธิปไตยอย่างแท้จริง มิใช่ประชาธิปไตยแบบเผด็จการรัฐสภาที่ผ่านมา คำว่า เผด็จการรัฐสภา ผมเคยได้ยินการกล่าวอ้างมาทุกยุคทุกสมัย เพราะเราให้อำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารมาจากแหล่งเดียวกันมาตลอด เราไม่เคยแยกอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติออกจากกันอย่างเด็ดขาด
เมื่อเกิดเผด็จการรัฐสภาเบ็ดเสร็จมากขึ้น คอร์รัปชั่นหรือฉ้อราษฏ์บังหลวงก็เฟื่องฟู เมื่อคนระอามากขึ้นเราก็เรียกให้ทหารออกมาปฏิวัติ รัฐประหารเสียทีหนึ่ง แล้วเราก็ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ฉีกรัฐธรรมนูญเดิมทิ้งไป เป็นสูตรสำเร็จแบบนี้หลายคราว แล้ววงจรอุบาทว์ก็กลับมาเป็นระยะๆ ตอนนี้คนก็เริ่มพูดถึงรัฐประหารอีก ผมยังเชื่อว่าทหารควรได้รับบทเรียนมาพอแล้ว คงไม่คิดรัฐประหารแน่ เพราะถ้าทหารทำรัฐประหาร ประเทศก้จะเข้าสู่วงจรอุบาทว์ไม่มีสิ้นสุด ผมจึงของร้องให้ผู้นำกองทัพทั้งหลาย กรุณาอย่านำประเทศชาติเข้าสู่วงจรอุบาทว์อีกเลย ท่านน่าจะคิดหาทางให้ประเทศชาติได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูกต้องและชอบธรรมได้เสียทีหนึ่ง
ผมไม่คิดว่าคุณสุเทพ จะเป็นฝักฝ่ายใด แต่คุณสุเทพเป็นเพียงผู้แสดงออกที่ประชาชนพอใจ และสะใจมากกว่า