ตามรักคืนเรือน ตอนที่ 14

กระทู้สนทนา
....สมองตัน
    วาณีเคาะปากกา เป็นจังหวะกับโต๊ะทำงาน ขณะที่งานคิดค่าใช้จ่ายยังไปไม่ถึงไหน เพราะสมองหล่อนมีแต่เรื่องอื่นเข้าไปแทนที่งานที่กองอยู่ตรงหน้า นักสืบสมัครเล่นทั้งคู่ตกลงกันว่าจะเริ่มต้นจากกลับไปสืบเรื่องของญาติผู้ใหญ่ฝ่ายตนก่อนค่อยมาสรุปว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่คุณละเอียดตาย ฝ่ายชายหนุ่มออกอาการน้อยใจนิดๆที่คุณทวดไม่ยอมปรากฏร่างให้เห็น อย่างน้อยคุณทวดก็ยังให้เขาได้ยินเสียง ยังคุยกับเขา นี่อาจจะเป็นการไว้เชิงของญาติผู้ใหญ่ก็ได้ ก็ท่าทางของชายหนุ่มนั้นชัดแจ้งเหลือเกินว่าคิดยังไงกับหล่อนอยู่ เรื่องการจัดสวนทั้งหมดนี่อาจจะเป็นแผนการของเขาถ้าไม่นับเรื่องวิญญาณคุณทวดที่ศาลา ถ้าเป็นแบบนั้นก็นับว่าเขาทุ่มทุนน่าดูสำหรับการพยายามจีบหล่อน

     วาณีวางแผนสำหรับการสืบข้อมูลเรื่องคุณทวดจากคนเก่าในบ้าน ถ้านับไปแล้วตอนนี้เหลือตาสนคนเดียวที่เป็นคนรุ่นเดียวกับคุณตากิจจา การกลับไปบ้านค้างที่บ้านสวนบ้างคงช่วยให้หล่อนได้ข้อมูลมากขึ้น ขณะที่ฝั่งของชายหนุ่มเอง เขารับปากว่าจะไปสืบให้จากญาติๆผู้ใหญ่ที่ยังเหลืออยู่ คุณทวดสินนั้นมีอายุยืนยาวกว่ามาจนถึงรุ่นหลาน น่าจะมีข้อมูลมากกว่าทางหล่อน
  
      “แม่หวาน จ๋า หยุดเคาะซะที ได้ไหมจ๊ะ พี่จะหลับตามจังหวะเคาะของแกแล้ว” หฤทัย บ่นมาจากโต๊ะทำงานที่อยู่ห่างกันไม่ไกลนัก

      “ขอโทษค่ะ พี่อ้อย หวานคิดอะไรเพลินๆ อยู่ ไม่ค่อยมีสมาธิเลย”

      “แล้วงาน หวาน เสร็จทันตามกำหนดไหม เรื่องค่าใช้จ่ายของบริษัทไว้ทำรวดเดียวตอนปิดงานเลยก็ได้  อย่าให้เข้าเนื้อแล้วกันพี่เชื่อใจ”

       “ทันอยู่ค่ะ แต่หวานอยกสรุปให้พี่อ้อยดู ก่อนค่ะ แต่.....คงจะส่งเลทหน่อย” คนพูดยิ้มแหยๆ

        “มีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า”

        “ ก็เรื่องในครอบครัวค่ะ แต่มันค่อนข้างซับซ้อน”

         “หาเวลาพักบ้างนะ หวาน บอกแล้วงานแก พี่ไม่ได้เร่ง”

         “ ก็ว่าวันเสาร์อาทิตย์นี้ จะไปพักที่บ้านสวน ค่ะ ถ้ามีผลไม้อะไรเก็บได้ หวานจะเอามาฝากพี่อ้อยด้วย” ถึงตอบไปอย่างนั้น แต่หล่อนตั้งใจไปสืบเรื่องคุณทวดมากกว่าไปพักผ่อน อย่างปากว่า
          
      ---------------------------------


    ถ้าจะสืบเรื่องของคุณทวดสิน คนที่รู้เรื่องดีที่สุดก็น่าจะเป็นหลานคนโปรดของท่าน คือคุณพ่อของเขาเอง พ่อนั้นที่เลือกมาเรียนสภาปัตย์ เพราะได้รับอิทธิพลจากคุณทวด นั่นทำให้คุณทวดรักพ่อเขามาก จนวาระสุดท้ายของท่านนั้นระบุยกมรดกเกือบทั้งหมดซึ่งมีอยู่ไม่มากนักให้กับหลานเพียงคนเดียว

    หลังอาหารมื้อเย็นเขาเป็นฝ่ายเริ่มถามก่อนที่ พ่อจะลุกออกจากโต๊ะอาหาร

    “คุณพ่อว่างไหมครับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วย”

     “เรื่องงาน หรือเปล่า ?”

     “บิสเนสแมน ตัวจริงเลย คุณพ่อเนี่ยถามก่อนเลยแบบนี้ คุณแม่มิเซ็งแย่เหรอ”

      “แม่แก ก็เลขาพ่อนะ” คำตอบแบบนี้เท่ากับยันกลับมาว่า แม่เขาก็บ้างานเหมือนกัน “ก็แกเริ่มถามเหมือนกับจะขอเข้าพบท่านรองกรรมการบริษัทนี่หว่า มีอะไรก็ว่ามา”

      เขาเริ่มเล่าจากเรื่องที่วาณีกับเขาได้คุยกับคุณทวดละเอียด ซึ่งวิทยาออกจะประหลาดใจไม่น้อยที่คนกลัวผีจนเคยสลบมาแล้วอย่าง วาณี จะกล้าพูดคุยกับวิญญาณ แม้นั่นจะเป็นคุณทวดของเธอเองก็ตาม

     “เล็กเลยอยากรู้เรื่องของคุณทวดเล็ก เหรอ?”

     “ครับ ถ้าจะมีใครที่จะรู้เรื่องคุณทวดดีที่สุดก็น่าจะเป็นคุณพ่อ”

     “ถ้าฟังจากที่เล็กเล่ามา คุณละเอียดก็น่าจะเป็นสาเหตุที่คุณทวดท่านครองตัวเป็นโสดจนถึงวันที่ท่านเสียนะ”

     “ท่านไม่เคยเล่าเรื่องของคนรักบ้างเลยเหรอครับ”
  
     “พ่อก็เคยสงสัยเรื่องนี้ แต่ท่านไม่เคยเอ่ยชื่อ ท่านแค่เล่าว่าท่านโดนกีดกันจากญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง จนฝ่ายหญิงป่วยตายไปก่อน แม้แต่งานศพท่านก็ไม่มีโอกาสได้ไป”

     “ถ้าอย่างนั้นคุณทวด เองก็เข้าใจว่าคุณละเอียดป่วย แล้วไปเสียที่กรุงเทพ”

     “ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น..เล็กลองไปค้นในห้องสมุดดูสิ กล่องใส่ของของคุณปู่เล็ก พ่อยังเก็บไว้หมด เพราะตั้งแต่เก็บของมาจากบ้านท่านแล้ว พ่อยังไม่ค่อยมีเวลาเปิดดูเลย อาจจะมีบันทึกเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่เรื่องหนีตามกันนี่พ่อไม่เคยเห็นท่านเอ่ยถึง”

     “ครับ เคยรับปากหวานเขาว่าจะหารูปอื่นๆของคุณทวดท่านไว้ด้วย จะได้รื้อดูทีเดียวเลย”

     “ดูแกกระตือรือร้น เรื่องนี้มากเป็นพิเศษนะ” สายตาจับผิด มาพร้อมกับคำพูดลอยๆที่เหมือนไม่ต้องการคำตอบ

     “อยากรู้อะไร คุณพ่อถามคุณแม่เอาแล้วกันครับ” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วรีบหลบออกไปก่อนที่จะโดนซักฟอกจากบิดา


         ---------------------------------



      หลังเลิกงาน ธาริณี เช็คข้อความในโทรศัพท์ ไม่มีข้อความจากท่านอิทธิ..  จริงๆท่านบอกหล่อนไว้แล้วว่าจะออกไปตรวจงานที่ต่างจังหวัดตลอดทั้งสัปดาห์ แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ท่านอิทธิจะเปลี่ยนกำหนดการกระทันหัน ซึ่งท่านจะส่งข้อความมาบอกนัดหมายว่าท่านจะรอที่ห้อง หรือนัดหมายหล่อนให้ไปพบที่ไหน

      เท่ากับว่าวันนี้เป็น วันว่าง

     การเป็นภรรยาลับของท่านอิทธิทำให้หล่อนไม่สามารถออกไปสังคมกับเพื่อนๆได้เหมือนสาวออฟฟิสทั่วไป หล่อนทิ้งศักดิ์ศรีไปตั้งแต่การยอมเป็นภรรยาลับ หล่อนเลือกที่จะเหลือความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ แม้จะเป็นหน้าที่ภรรยาลับก็ตาม

     ไปเดินซุปเปอร์มารเก็ต หาซื้อของสดทำกับข้าว แล้วนอนดูหนัง ดีกว่า

        -------------------

     เนื้อปลาแซลมอน ลายสวยชิ้นสุดท้าย วางบนจาน หล่อนชอบมาซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตนี้เพราะมีบริการหั่นป็นซาซิมิให้ด้วย ขณะกำลังจะเรียกพนักงานเพื่อขอให้แล่ปลาให้ด้วยนั้น เจ้าปลาชิ้นสวยก็โดนยกหายไปทั้งจานจากคนที่เข้ามายืนข้างๆ

     “หั่นซาซิมิให้ด้วยครับ” คนข้างหล่อนสั่งกับพนักงานที่ยื่นมือมารับจานไป

       ขอดูหน้า มารผจญสำหรับมื้อค่ำของหล่อนหน่อยเถอะ

       หน้าตาบ้านๆผิวเข้ม แต่ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่นั้นทำให้เขาดูดีขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ได้ช่วยให้ความจริงที่ว่านายคนนี้แย่งปลาชิ้นสุดท้ายตัดหน้าหล่อนไป ตอนนี้หล่อนจำได้แล้วว่านายคนนี้ เป็นพี่ชายของวาณี ลูกสาวของท่านอิทธิ หน้าตากวนประสาทที่เหมือนจะบอกว่า คุณช้าเองนะนั้น เหมือนจะรู้ว่าหล่อนก็หมายตาปลาชิ้นนั้นเหมือนกัน

      ช่างเถอะ ธาริณีไม่อยากอารมณ์เสีย มากกว่านี้ หล่อนหันหลังให้เขาไม่อยากเห็นหน้ากวนๆนั้นอีก

     “ผมเสียสละให้ก็ได้นะ คุณผู้หญิง”

     “ขอบคุณคะ แต่ไม่ดีกว่า ฉันไม่อยากแย่งของใคร” หล่อนหันไปตอบก่อนจะ เดินต่อไป

     “หยิ่งซะด้วย... แน่ใจเหรอว่าไม่อยากแย่งของใคร” คำพูดลอยๆไล่หลังมานั้น แสดงว่าเขาเองก็จำหล่อนได้เช่นกัน โดยเอาการย้อนเอาคำพูดนั้นมาสวนแทงหล่อนกลับ

      ก้าวต่อไป อย่าหันหลังกลับไปดู ก็แค่ผู้ชายปากเสีย หล่อนบอกตัวเองไว้

      หล่อนหันไปเลือกผักผลไม้อย่างอื่น เพราะโซนเนื้อสัตว์ยังมีหมอนั้นยืนเกะกะน่ารำคาญอยู่ อย่างน้อยก็ยังมีเนื้อหมูเหลืออยู่ในตู้เย็นที่ห้อง เลือกได้ผลไม้สด 2-3 อย่างกับเสียเวลาหาเครื่องกระป๋องอีกนิดหน่อยจนได้ของครบ ธาริณีถึงได้หิ้วตะกร้าใส่ของไปไปรอเข้าคิวที่ช่องจ่ายเงิน แต่เหมือนจะมีคนหย่อนอะไรบางอย่างลงในตะกร้าที่หล่อนถืออยู่

      “คุณ !”  หล่อนพูดได้แค่นั้น หลังจากหันไปดูด้านหลัง ก็พบใบหน้าที่ไม่อยากจะพบ ก่อนจะก้มไปดูว่าเขาใส่อะไรลงไปในตะกร้าของหล่อน

      “พ่อครัวเขาแล่ปลาตัวใหม่ เสร็จพอดี ผมเลยสั่งให้เขาหั่นซาซิมิ ให้คุณด้วย” คำอธิบาย ถึงถาดใส่ปลาดิบที่เพิ่มเข้ามาในตะกร้าหล่อน

      “ขอบคุณ ค่ะ” หล่อนตอบไปได้แค่นั้น

      “ไม่เป็นไร ครับ”

       หลังจากจ่ายชำระเงินเสร็จ หล่อนหันไปดูชายหนุ่มที่กำลังจ่ายเงินต่อจากหล่อน ในมือเขามีแค่ถาดปลาดิบเพียงถาดเดียวเท่านั้น หมายความว่าตลอดเวลาที่หล่อนเลือกซื้อของอย่างอื่น เขารอพ่อครัวแล่ปลาชิ้นใหม่ให้กับหล่อน  

        หล่อนรีบเดินออกจากซุปเปอร์มาเก็ต เพราะกลัวว่าจะโดนจับได้ว่ามองเขาอยู่

         คนปากเสีย แต่มีน้ำใจ หล่อนเพิ่มนิยามให้กับผู้ชายคนนั้น

       --------------------------



    “โอ้ย ป้าอุ่นจ๋า ทำไมถนน ปากซอยมันเป็นหลุม เป็นบ่อขนาดนี้ละจ๊ะ”  หล่อนบ่นใส่ป้าอุ่นทันทีที่เห็นหน้า คนงานเก่าแก่ ที่ออกมาช่วยหล่อนหิ้วกระเป๋าลงจากรถ

     “ก็เขามาถมที่ ที่แปลงข้างๆ นี่ค่ะ เขาเอารถหกล้อวิ่งเข้าวิ่งออกวันละหลายสิบเที่ยว ถนนมันพังอย่างที่เห็นแหละค่ะ”

     "อ้าวแล้วถนนหลวงเจ๊งอย่างนี้ใครรับผิดชอบล่ะ”  

     “ป้าไปโวยกับคนรับเหมาแล้วค่ะ เห็นพวกนั้นว่าถมเสร็จแล้วเขาจะมาซ่อมชั่วคราวให้ก่อนค่ะ โครงการเสร็จ จะเทคอนกรีตเข้ามาให้จากถนนใหญ่เลย”

      “งั้นความเจริญก็เข้ามาแล้วสิ แล้วเขาจะสร้างอะไรรู้ไหมคะป้า”

      “ป้าก็ไม่รู้ค่ะ แต่เดี๋ยวก็คงขึ้นป้ายแหละค่ะ แถวถนนใหญ่หมู่บ้านก็ขึ้นกับพรึบพรับ หมดแล้ว อาจจะเป็นหมู่บ้านก็ได้”

       บทสนทนามาจบเอาตรงหน้าประตูห้องนอนพอดี วาณีรับกระเป๋าคืนจากป้าอุ่น

       “ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวหวานจัดของแล้วจะลงไปช่วยป้าทำกับข้าวนะ”

      “ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูหวานรอทานอย่างเดียวก็พอ นี่ก็ทำเสร็จเกือบหมดแล้ว” ป้าอุ่นรีบปฏิเสธทันที

      “ก็แค่หยิบๆจับๆแหละค่ะ หวานทำเป็นซะที่ไหน กะจะมาครูพักลักจำจากป้าอุ่นนี่แหละ พี่ปุ่นยิ่งชอบบ่นอยู่เรื่อยว่าหวานขาดเสน่ห์ปลายจวัก”

      “ของแบบนี้มาครูพักลักจำไม่ได้แล้วล่ะค่ะคุณหวาน เดี๋ยวป้าสอนให้หมดเลยดีกว่า เวลาออกเรือนไปจะได้ไม่อายใคร”

      “โอ้ยป้า หวานคงไม่ได้ออกเรือนแล้วถ้าอย่างนั้น ทอดไข่ยังไหม้เลย” หล่อนพยายามกลั้นหัวเราะ แต่ใบหน้าหนึ่งกลับลอยขึ้นมาในความคิด ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะสืบเรื่องคุณทวดได้แค่ไหนแล้วนะ

      “ถ้าอย่างนั้นเสน่ห์คุณหวาน อาจจะไม่ได้อยู่ที่ปลายจวักก็ได้ค่ะ” ป้าอุ่นพูดทิ้งท้ายไว้อย่างนั้นก็จะปล่อยให้หล่อน รื้อกระเป๋าจัดข้าวของส่วนตัวในห้อง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่