แม่นุ่น ตอนที่ 27 “ไม่เหลือทางสู้แต่จะขอสู้ให้สุดใจ” + ตอนที่ 28 "หรือมันถึงเวลาต้องยอมรับ...ความพ่ายแพ้?"

ตอนที่ 27 “ไม่เหลือทางสู้แต่จะขอสู้ให้สุดใจ”



ผมปล่อยให้แม่นุ่นระบายอยู่พักหนึ่ง จากเสียงร้องไหโฮ ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนเป็นแค่สะอื้น
แม่นุ่นหันกลับไปมองตัวเองในกระจกอีกครั้ง

“ดูดีออก ไม่กี่เดือนก็ขึ้นใหม่” ผมที่ยืนอยู่ด้านหลัง ยิ้มส่งกำลังใจให้เต็มที่

แม่นุ่นไม่พูดอะไร  ยังคงมองตัวเองในกระจก เอียงซ้ายที ขวาที สำรวจตัวเองอยู่อย่างนั้น

เห็นแบบนี้แล้ว ปล่อยให้เค้าอยู่กับตัวเองดีกว่า ผมเลยเดินออกมาจากห้องน้ำ เพื่อเตรียมเสื้อผ้าให้

ระหว่างที่กำลังหาชุดอยู่นั้น แม่นุ่นก็เดินนุ่งผ้าเช็ดตัวตามออกมา

ผมหันมองที่หน้าแม่นุ่น สังเกตุเห็นสีหน้า แววตาที่ดีขึ้น ใจที่อ่อนแอเมื่อสักครู่น่าจะดีขึ้นบ้างแล้ว

ผมเตรียมชุดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ลำดับต่อไปคือการทาโลชั่นบำรุงผิว ที่เชื่อว่าจะช่วยให้ผิวที่แห้งแตกลายไปทั่วทั้งตัวกลับมาดีได้ดังเดิม

“นั่งเก้าอี้ก่อนนะ” ผมเลื่อนเก้าอี้ให้แม่นุ่น ก่อนที่จะเดินเข้าไป  ช่วยถอดผ้าเช็ดตัวออก และประคองให้นั่งบนเก้าอี้ที่เตรียมไว้อย่างระมัดระวัง

จากนั้นก็เริ่มละเลงครีมไปทั่วร่างกายแม่นุ่น ที่ยังนั่งนิ่ง ไม่พูดจา เหมือนกำลังคิดอะไรในใจ

เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศอึมครึมให้มันดีขึ้น ผมก็เลยชวนแม่นุ่นคุยไปเรื่อย

“เออ.. เค้าไม่รู้ว่าตัวเองจะโพกหัวรึป่าว เลยไม่ได้เตรียมไว้ จะเอาผืนไหนจะหยิบให้” ผมชวนคุย พลางเดินไปหาผ้าโพกหัวให้ เพราะไม่แน่ใจนักว่านาทีนี้ แม่นุ่นจะรู้สึกสูญเสียความมั่นใจมากน้อยแค่ไหน

แต่...

“ไม่เอา..” แม่นุ่นตอบกลับ ผมหยุดกึ๊ก ก่อนที่จะหันกลับมาถาม

“แน่ใจนะ หรือจะเอาหมวกแทน?” ผมพูดพลางเปิดตู้เสื้อผ้าที่มีหมวกสารพัดแบบที่ซื้อมาเตรียมไว้หลายใบ

“ไม่เอา..ร้อน.. ไม่ใส่อะไรทั้งนั้น” แม่นุ่นตอบกลับ น้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีวี่แว่วของความอ่อนแอ เมื่อสักครู่หลงเหลืออยู่

...แม่นุ่นคนเดิมกลับมาแล้ว...

“ตามใจ ไม่เอาก็ไม่เอา งั้นเด๋วมาใส่เสื้อผ้าแล้วลงไปหาลูกข้างล่างกัน”  ผมส่งยิ่มให้ก่อนจะทาครีม ใส่เสื้อผ้าให้จนเรียบร้อย

เริ่มต้นมันอาจจะยาก แต่เมื่อเรายอมรับมันได้ เรื่องเคยคิดว่าใหญ่จะกลายเป็นเรื่องง่ายในบัดดล

..................


บ่ายสามกว่า ผมพยุงแม่นุ่นลงมาชั้นล่าง ที่ต้องมาด้านล่างทั้งที่ขึ้นลงบันไดลำบาก เพราะมันเป็นชีวิตปกติของแม่นุ่น หลักที่ใช้ดูแลตอนนี้ ถ้าไม่หนักจริงๆ ผมก็จะพยายามทำทุกอย่างให้เหมือนปกติที่สุด

ถึงเวลา ก็ไปรับน้องซิดนีย์กลับจากโรงเรียนเรียบร้อย เด็กน้อยเปิดประตูบ้านเข้ามา ถึงกับตกใจ เมื่อเห็น แม่นุ่นสุดที่รัก นอนหัวโล้น เงาแว่บ บนโซฟาหน้าทีวี

“มามี๊ ทำไมหม่ามี๊หัวโล้นอ่ะ !!!??” เจ้าเด็กน้อย ที่ยังอยู่ที่ประตูบ้าน ถามหน้าตาตื่น

ผมมองหน้าแม่นุ่น เหมือนรู้ใจ ...ได้เวลาแกล้งเด็กแล้ว...

แม่นุ่น รู้งาน ก่อนจะเริ่มทำเสียงร้องไห้กระซิก ๆ

“ปะป๊าทำหม่ามี๊...ปะป๊า โกนผมหม่ามี๊ออกหมดหัวเลย ฮือๆๆ” แม่นุ่น แกล้งลูกสาว ที่รักแม่ยิ่งกว่าอะไร

“ทำไม ทำไม ปะป๊า ทำหม่ามี๊อ่า” เจ้าลูกสาว ตัวแสบ ทำหน้านิ่ว หันหน้ามาถามพ่อ ท่าทางเอาเรื่องน่าดู

“ก็หม่ามี๊ ไม่เชื่อฟังป๊า เลยจับโกนหัวซะเลย” ผมกับแม่นุ่นยังร่วมมือกัน แกล้งเด็ก ต่อไป

แม่นุ่นตอนนี้ แกล้งร้องไห้เสียงดังกว่าเดิมซะอีก

"ทำหม่ามี๊ ..ทำไม.. ทำไม ทำทำไม นี่แน่ๆ ” เจ้าตัวแสบ พอเห็นแม่ร้องไห้เสียงดัง ก็ตรงดิ่งเข้ามาตีพ่อไปหลายเพี๊ยะ

“โอ๊ยๆๆ พอแล้วๆ” ผมอดขำเจ้าเด็กน้อยไม่ได้ ก่อนที่จะเริ่มอธิบายให้ลูกฟัง
“ปะป๊า ต้องโกนหัวหม่ามี๊ ให้ผมขึ้นใหม่ จะได้สวยๆ ไงลูก ซิดนีย์จำได้มั้ย ว่าผมหม่ามี๊ ไม่เท่ากัน” ผมไม่รู้หรอกว่าเด็กจะรู้เรื่องที่พ่อกำลังบอกมั้ย

เจ้าเด็กน้อย หยุดคิดนิดหนึ่ง ก่อนหันไปมอง แม่นุ่น ที่หยุดแกล้งร้องไห้
นั่งยิ้มแฉ่ง มองลูกสาว อย่างเอ็นดู

"ไหนหม่ามี๊ ซิดนีย์ขอดูหน่อย" เด็กน้อยเหมือนจะเข้าใจ ก่อนจะขอเดินไปขอดูหัวแม่ใกล้ๆ ด้วยความอยากรู้

เด็กน้อย กับแม่ คลอเคลียกันไปมา เป็นภาพที่คุ้นตา ตั้งแต่เกิด
ส่วนเจ้าตัวเล็ก ไม่รู้อิโหน่ อิเหน่ ถือของเล่นวิ่งวุ่น รื้อข้าวของกระจายทั่วบ้าน

จะว่าทุกข์ก็ทุกข์ จะว่าสุขก็ยังพอมี
เพื่อให้ลูก ยังมีแม่ ให้กอดแบบนี้
จะให้ยอมแพ้กันง่าย คงไม่มีวัน
........................

29 กค 56 : วันให้ยา Herceptin รอบที่ 4

ในที่สุด วันที่รอคอยก็มาถึง ผมต้องพาแม่นุ่นไปให้ยา รพ รามาธิบดี ตามที่ได้คุยในที่ประชุมทีมแพทย์ MDT รพ พญาไท 1 ไว้ตั้งแต่วันที่ 25 กค ว่าหากยาสูตรใหม่ Herceptin+Tykerb (ยาต้านมะเร็งเต้านมชนิด Her2 แบบเฉพาะเจาะจง สองยี่ห้อ ในคราวเดียว)  ไม่ต้องจำเป็นต้องรอร่างกายฟื้นตัว ผมก็ต้องการให้แม่นุ่นได้รับยาโดยเร็วที่สุด เพราะแม่นุ่นหยุดยาเพื่อรักษาอาการแพ้มากว่า สองเดือน แล้ว

อาการทั่วไปของแม่นุ่นในช่วงนี้แข็งแรงขึ้น ยกเว้น "ภาวะท้องโต" ที่ยัง มืดแปดด้าน ยังไม่มีทางแก้ได้เลยสักนิดเดียว

....

วันนี้มีพี่สะใภ้มาเป็นเพื่อนด้วย เราออกเดินทางกันแต่เช้า เพราะรู้ดีว่า นอกจากวันจันทร์จะเป็นที่รถติดสุดๆ ยังเป็นวันที่ รพ จะคับคั่งไปด้วยคนไข้จำนวนมากอีกด้วย

เหมือนเช่นทุกครั้ง ที่ต้องเจาะเลือดก่อน แต่คราวนี้ต่างไป เพราะไม่ว่าผลเลือดจะออกมาแบบไหน จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการให้ยา Herceptin ที่ไม่จำเป็นต้องดูผลเลือดประกอบ เหมือนเคมีบำบัด

“ครั้งที่ผ่านๆ มา คนไข้เคยได้รับยาแก้แพ้ตัวไหนบ้างครับ” อ. วรชัย พอจะจำเราได้บ้างแล้ว ถาม ประวัติ เพื่อสั่งยาสำหรับวันนี้

“CPM กับ Dexa ครับ” แน่นอน ผมจำได้แม่นว่าผ่านอะไรมาบ้าง
“อันที่จริง ไม่ได้ใช้ Taxotere ไม่ต้องให้ Dexa ก็ได้ แต่ถ้าเคยใช้แล้วปลอดภัย ผมสั่งให้ก็ไม่เสียหาย” คุณหมอตอบกลับ

ผมพยักหน้า แต่ต้องแจ้งข้อมูลบางอย่างให้หมอรับทราบ

“ครั้งแรกที่หยอด Herceptin ไข้ขึ้นคาเตียงเลยครับ ครั้งต่อมาเลยฉีด CPM ก่อน และไม่ม่ไข้อีกเลย” ผมบอกหมอถึงข้อสังเกตุที่ควรระวัง

เราไม่ได้คุยอะไรมาก ผมไม่มีคำถามอะไรเหมือนเคย เพราะต่างเข้าใจกันดีแล้วว่าปัญหา และแนวทางแก้ไขคืออะไร สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ คือ รักษาตามแนวทางที่เราเชื่อว่าดีที่สุดจากข้อจำกัดมากมาย และติดตามผลอย่างการรักษาอย่างใกล้ชิด เท่านั้น

เราต้องไปให้ยาที่ชั้นห้า ห้องเคมีบำบัดระยะสั้น
มาถึงที่แล้ว คิวยาวสิบกว่าคน
น่ังรออยู่นานกว่าจะได้หยอดยา ก็ปาไป บ่ายสาม เห็นจะได้

ผมพยุงแม่นุ่นเดินเข้าไปในห้อง มองไปรอบๆ พร้อมกับความรู้สึกประหลาดใจ
ไม่น่าเชื่อว่า ห้องเคมีบำบัดระยะสั้น ของ รพ รามา ตึกใหม่ จะมีเครื่องไม้เครื่องมือ หรูหรา ยิ่งกว่า รพ ใดๆ ที่เคยไปมาทั้งหมด

เราเดินไปเตียงตามพยาบาลบอก จากนั้นพยาบาลก็เปิดเส้นและหยอดยา ที่จะกินเวลา ราว 1.30 ชม กับ Herceptin ขนาด360 mg มีผมกับพี่สะใภ้นั่งอยู่ข้างๆ

.....

การให้ยาตลอดระยะเวลา 1.30 ชม ผ่านไปด้วยความราบรื่น ออกจาก รพ ก็ ห้าโมงเย็น ถึงบ้านเกือบหนึ่งทุ่ม พอดีกับยา Tykerb ที่มาส่งถึงบ้าน

นอกจาก Herceptin แล้ว แม่นุ่น ยังต้องเริ่มกิน Tykerb วันละ 4 เม็ดเพิ่มอีก เริ่มวันนี้เป็นวันแรก

คืนนี้เป็นที่ผมต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพราะ ถึงจะพอทราบว่า ยาทั้งสองตัวไม่มีผลอันตรายเหมือนเคมีบำบัด แต่ก็ไม่เคยวางใจ เพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันมาหลายครา

และจากบทเรียนที่ผ่านมา ตอนนี้ ผมมีอุปกรณ์ กับยาสารพัดชนิด เต็มบ้านไปหมด  

เวลา 21.00  น. เด็กๆ หลับกันหมดแล้ว

“อ้วน ปวดที่ท้องตุบๆ อ่ะ เหมือนตอนได้ยาเข็มแรกเลย” แม่นุ่นบอกผมที่นอนข้างๆ ถึงอาการเกร็งที่ตับเป็นพักๆ
“อืม ยามันคงกำลังออกฤทธิ์ละมั่ง ไม่มีอะไรหรอก นอนซะ” ผมบอกแม่นุ่นให้สบายใจ อาการแบบนี้ เราเคยเจอมาแล้ว วันพรุ่งนี้ก็จะหายไปเอง
"ปวดเข้าห้องน้ำ หรือรู้สีกผิดปกติอะไรก็สะกิดให้ตื่นด้วยละ" ผมบอกแม่นุ่นว่าให้สังเกตุอาการตัวเองด้วย
"แน่ใจเหรอตัวเองจะตื่น ถ้าหลับแล้ว ไม่เคยสนใจเค้าหรอก" แม่นุ่น กระแทกเสียงใส่
"แหม..ดูแลทุกวันยังจะมาว่าอีกนะ.. นอนได้แล้วอย่าพูดมาก" ผมหยอกแม่นุ่นที่ป่วย แค่ไหน ยังไม่เลิกนิสัยขี้งอน

เพราะความเพลีย และฤทธิ์ของยาแก้แพ้ ไม่กี่นาทีจากนั้น แม่นุ่นก็หลับสนิท

เหลือแค่ผมยังนอนตาใส ทั้งๆ ที่เหนื่อยสายตัวแทบขาด
ก่ายหน้าผาก ครุ่นคิด ถึงสิ่งที่ต้องทำต่อไป

ได้ยาก็ดีแล้ว
แต่ถ้านานไปกว่านี้ จะเอาเงินทองจากไหน
แม้จะได้ค่าชดเชยจากการตกงานนับแสน แต่มันดูน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับค่ายา ที่พอจ่าย แค่ สามเข็ม เท่านั้น
เคยไตรตรองมาพอควรแล้วว่าจะต้องจับธุรกิจเค้ก เป็นเรื่องราว แต่จะมีวิธีไหน ทำเท่าไหร่ ให้ได้เงินอย่างน้อย เดือนละสองแสน ในอีกสามเดือนข้างหน้า

คิดไป พลางถอนหายใจไป อยู่อย่างนั้นเป้นชั่วโมงๆ

แต่ก็ต้องมาสะดุ้ง เมื่อมีสิ่งหนึ่ง มาโดนที่หน้าอย่างแรง

ตุ๊บ !!??

โอย เจ็บชะมัด หันไปดูไม่ใช่อะไรที่ไหน ???

มันคือ ฝ่าเท้าน้อยๆ ของเจ้าลูกชาย วัยสองขวบ ที่นอนในท่าหมุนตัวตีลังกาเบียดเบียนทุกคนบนเตียง

แต่ฝ่าเท้าน้อยๆ ของลูกนี่แหละ ที่เตือนสติพ่อที่ตกในอยู่ในภวังค์ความเครียดแบบไร้ทางออก

อนาคตเด็กน้อยสองคน กับ แม่ที่รักลูกสุดหัวใจ อยู่ในมือพ่อคนนี้
หนึ่งสมอง สองมือยังมี นอกจากพ่อคนนี้ ก็ไม่มีแล้วซึ่งผู้นำ
บอกตัวเองคิดวันนี้คิดไม่ออก ต้องผ่อนคลาย ปัญหาใหญ่แก้ได้ด้วยปัญญา

ในเมื่อไม่เหลือทางสู้ ก็จะขอสู้ให้สุดใจ
เป็นไปได้ หรือไม่.. อยู่ที่ความตั้งใจ ของตัวเอง

...จบตอน..
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่