[CR] ประสบการณ์ท่องเที่ยวในปักกิ่ง : สิ่งที่ต้องทำใจ และอันตรายในปักกิ่ง

เราอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ปักกิ่ง
จริงๆเราไม่ค่อยอยากจะไปเที่ยวที่ประเทศจีนเท่าไหร่ เพราะเราไม่ค่อยชอบคนจีน ทั้งๆที่ตัวเราเองก็เป็นเชื้อสายจีน 80% แต่วัฒนธรรม และวิถีชีวิต รวมถึงพฤติกรรมต่างๆของเราถูกบ่มเพาะมาแบบชาวไทย เพราะฉะนั้นเราพูดได้ว่าเราแตกต่างจากคนจีนจากประเทศจีน แต่เราเคยดูสารคดี กับพวกรูปภาพจากนิตยสาร Naitional Geographic เกี่ยวกับสถานที่เที่ยวสวยๆในประเทศจีน สำหรับเรากำแพงเมืองจีนกูอลังการมาก แต่เราก็เฉยๆนะ แต่ที่เราอยากไปดูมากๆก็คือพระราชวังต้องห้าม (The Forbidden City) เราเคยได้ดูสารคดีที่เค้าไปบูรณะศิลปะในวัง พวกภาพบนฝาผนัง คาน เพดาน รวมไปถึงหินอ่อนแกะสลักทั่ววัง คือเราชอบศิลปะภาพวาดต่างๆ เราก็อย่างไปเห็นด้วยตาตัวเอง บวกกับแฟนเราอยากจะไป โอเค เราก็เลยตกลงกันว่า งั้นไปเที่ยวปักกิ่งกัน เราก็ออกแนวBackpackกันไปเที่ยว ไม่ได้ไปกับทัวร์ ไปกัน 4 คน มีเรา แฟนเรา น้องเรา กับแฟนน้อง ก็ไปตั้งแต่วันที่ 22 – 28 ธันวาคม 2556 ช่วงนี้อากาศหนาวมากกกกกกกกก เพราะมันเป็นฤดูหนาวของเค้า เราเป็นคนขี้หนาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่เคยเจออากาศหนาวแบบนี้มาก่อนเลย ถุงมือที่เอาไปมันไม่เหมาะกับสภาพอากาศแบบนี้ถึงแม้จะใส่สองชั้นแล้วก็ยังเจ็บปลายนิ้ว แต่พวกคนจีนเค้าไม่ใส่ถุงมือกันเลย จนวันหลังๆเราก็เรียนรู้ที่จะนิ้วเจ็บหรอ ปล่อยมันไป เดี๋ยวพอมันชาก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว แค่อย่าไปสนใจมันมาก
สิ่งที่ต้องทำใจ
เราพักที่โรงแรม Regal Court Hotel Beijing ไม่ใช่ย่านพลุกพล่านของนักท่องเที่ยวหรือพวกกรุ๊ปทัวร์ ก็เลยจะเจออะไรแบบจีนๆเยอะเป็นพิเศษ จริงๆเราก็ทำใจมาแล้วนะว่าต้องเจอแบบนี้ แต่แบบพอมาเจอของจริงเยอะๆแล้วก็นะ ตอนแรกก็อี๋ๆ โดดๆ หลบหลีกไปเรื่อย ตอนหลังทำใจได้แล้วก็เที่ยวต่อไปเรื่อยๆ จริงๆเราเป็นคนที่ชอบมองวิว มองบรรยากาศรอบตัว มองไปเรื่อยๆ นั่งรถก็จะมองเมฆ มองข้างทางไปเรื่อยๆ เดินๆก็ชอบมองชาวบ้านร้านรวงข้างทาง แบบถ้าเป็นที่ไทย พอถึงจุดๆนึงเราจะจำได้แล้วว่า เราเคยผ่านทางนี้นี่ ถ้าเลี้ยวไปทางนี้ต่อก็จะเจอถนนนี้ ไปต่อทางนั้นก็กลับเองได้แล้ว แต่ที่ปักกิ่งนี้ นั่งรถไปเรื่อยๆก็ลุ้นในใจว่ามาถูกทางหรือเปล่านะ พอเห็นโรงแรมลิบๆโน่นถึงจะค่อยโล่งอกว่ามาถูกทางแล้ว เพราะว่าที่จีนถ้าเมื่อไหร่ที่เดินเท้าเราจะไม่มีโอกาสได้มองสองข้างทางมากเท่าไหร่เลย ก้มมองแต่พื้น เพื่อไม่ให้ตัวเองเดินเหยียบเสลดน้ำลายคนจีน มันเป็นกับดักระเบิดชีวภาพที่เราอี๋ที่สุด อีกอย่างก็ต้องคอยฟังเสียงด้วยนะ เมื่อไหร่ที่ได้ยินเสียง “คากกกกก...” เรากับน้องกับแฟนน้องก็จะส่งท้ายช่วยให้ “ยิ้ม!” เราเกือบโดนคากใส่เท้า พอดีเราได้ยินเสียงคาก มันใกล้มาก เราตกใจก็เลยหยุดชะงักไปก้าวนึง กำลังจะเงยหน้ามองว่ามากทางไหน แล้วก็เป็นเสลดน้ำลายคากกระจายลงพื้น พร้อมกับเห็นผู้ชายเดินสวนไปอีกทางจากทางหางตา เสลดน้ำลายกระจายมาลงตรงจุดที่ถ้าเราไม่ชะงักแล้วก้าวต่อไปคือโดนแน่ๆอ่ะ อี๋ๆๆๆ สกปรกสุดๆๆๆ
สถานที่ที่จะพบเจอกับดักระเบิดชีวภาพนี้เยอะที่สุดคือบนฟุตบาท ทางเดิน ถนนที่คนสามารถเดินได้ ถนนเล็กๆที่คนลงไปเดินกัน เป็นต้น ถ้าเป็น Subway จะไม่มีกับดักระเบิด เพราะเราเข้าใจว่าก่อนลง Subway เค้าคากกันเรียบร้อย กับระหว่างอยู่ใน Subway เค้าก็เก็บไว้และยิ้มทิ้งทันทีที่โผล่ขึ้นมาถึงผิวถนน เพราะบริเวณบันไดหน้า Subway มันเยอะมากกกกกก อี๋ๆๆๆๆ แต่ในส่วนสถานที่ท่องเที่ยว และในย่านห้างฯต่างๆ ที่มีวัยรุ่น วัยกลางคนที่เป็นคนรุ่นใหม่ แต่งตัวทันสมัยเดินเยอะๆจะสะอาดเป็นพิเศษ
อีกเรื่องที่ต้องทำใจ สำหรับคนที่ชอบความสงบ ไม่ชอบเสียงดัง แต่อยากไปเที่ยวปักกิ่ง ก็ต้องทำใจเป็นพิเศษหน่อย ถ้าเจอเสียงคนเหมือนจะทะเลาะกัน ไม่ต้องตกใจ ค่อยๆหันไปดู เค้าแค่คุยกัน หรือก็เป็นแค่คนเมาคุยกัน กับอาจจะเจอคนตะโกนคุยกันข้ามหัวเรา ไม่ต้องตกใจ ให้หยุดข้างทางให้เค้าเดินผ่านไป แล้วเราค่อยเดินต่อก็ได้ หรือจะเดินแซงเค้าไปก็ได้

อันตรายในปักกิ่ง
เตือน สำหรับคนที่จะไปเที่ยว Backpack ไม่ได้ไปกับทัวร์ และไม่รู้ภาษาจีน แบบพวกเรา
อันนี้เป็นประสบการณ์ระทึกที่เราเจอกับแฟน ปกติเรากับแฟนเวลาไปไหนเราจะพกมีดพับสวิสคนละอันอยู่แล้ว ของใครของมัน แล้วก็ตั้งแต่ไปจีนเวลาไปเที่ยวก็จะไปกันสี่คนตลอด มีกันหลายคนสบายใจ วันแรกที่เราออกเที่ยวคือวันจันทร์ เราตัดสินใจไปพระราชวังต้องห้ามกันเลย โดยที่เราไม่รู้เลยว่า พระราชวังต้องห้ามปิดวันจันทร์ทั้งวัน ก็ประมาณว่าไปเสียเที่ยวนิดๆ แต่ก็ได้ไปถ่ายรูปริมทะเลสาบด้านข้าง กับจัตุรัสเทียนอันเหมินแทน
พอออกจาก Subway เพื่อเดินเข้าไปด้านหน้าจัตุรัสเทียนอันเหมิน และทางเข้าพระราชวังต้องห้ามก็จะมีด่านตรวจ คนเข้าแถวกันค่อนข้างเยอะ แต่ผ่านไปได้ค่อนเร็วเหมือนกัน มีแถวทางเข้าประมาณสองถึงสามแถว เราเห็นเจ้าหน้าที่ชาวจีนถือเครื่องมือสีดำๆที่เอาไว้โบกๆทั่วตัวเพื่อหาอะไรสักอย่าง เราเข้าใจว่าคงไว้ตรวจหาอาวุธ เรากับแฟนมีมีดพับสวิส เราก็ไม่อยากให้โดนยึดไป ก็เลยเอาไปซ่อนไว้ที่ใต้ฐานเสารั้วกันถนนไม่ไกลจากแถวทางเข้า แต่พอถึงตรงจุดตรวจ เจ้าหน้าที่ก็โบกให้พวกเราสี่คนเดินผ่านไปโดยไม่ตรวจอะไรเลย ไม่ตรวจกระเป๋าด้วย เราก็เลยยืนดูสักพัก ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่เค้าเน้นตรวจคนจีนด้วยกันเองที่ส่วนมากจะเป็นคนมีอายุ ไปจนถึงพวกอาแป๊ะอาม่าที่มีกระเป๋าหรือถุงใบใหญ่ๆที่พยามจะเข้าไปขายของ แล้วเราก็เห็นมีคนจีนโวยวายๆพยามหนีการจับกุมของตำรวจ ตำรวจก็ดันๆเข้าไปในรถตำรวจ คนจีนที่โดนจับก็เปิดหน้าต่างจะปีนหนี ตำรวจก็ดันกลับเข้าไปพร้อมปิดหน้าต่าง คนนั้นก็ยังคงโวยวายๆอยู่ในรถ
วันนี้เราไม่ได้เข้าพระราชวังต้องห้ามเพราะเรามาผิดวัน เราก็เลยกลับมาอีกครั้งก่อนกลับ แต่ครั้งนี้น้องเราอยากไปช้อปปิ้งมากกว่า ก็เลยแยกกันไป เราก็เลยกลับไปเที่ยวพระราชวังต้องห้ามกับแฟนแค่สองคน ครั้งนี้ถึงแม้ด่านตรวจข้างหน้าจะไม่ตรวจนักท่องเที่ยวแบบเรา แต่เราก็เดาว่าทางเข้าพระราชวังต้องห้ามน่าจะตรวจจริงจัง เราจึงตัดสินใจไม่เอามีดพกสวิสไปด้วย และก็จริงๆพวกเราต้องเดินผ่านเครื่องตรวจแบบในสนามบิน ในพระราชวังต้องห้ามอลังการมาก เราชอบมาก จะชอบมากกว่านี้ถ้าได้ไปเที่ยวในฤดูอื่นที่ไม่ใช่ฤดูหนาว เราไม่สามารถหยิบโทรศัพท์เราออกมาถ่ายรูปได้เลย มือเจ็บสุดๆ หนาวเว่อออ พวกเราเดินกันจนทั่วแล้วก็มาออกทางออกซึ่งตรงข้ามกับทางเข้าเลย เป็นด้านหลังพระราชวังต้องห้าม ออกมาเจอถนน ตรงข้ามถนนเป็นสวนที่มีเนินเขาสูงเป็นจุดชมวิวที่สวยมาก ขึ้นไปบนยอดเขาแล้วก็จะเห็นวิวพระราชวังต้องห้าม กับวิวเมืองรอบๆ เราชอบนะ
พอชมวิวจนพอใจเราก็ตัดสินใจกลับ พวกเราจะเดินไปขึ้น Subway เราก็เดินกันไปเรื่อยๆ เห็นสี่แยกที่เราต้องข้ามอยู่ข้างหน้า ระหว่างเดินกำลังจะถึงแยกก็มีรถสามล้อ แบบสามล้อเครื่อง ขับผ่านมา ก็จะเรียกให้ขึ้น ตอนแรกเสนอจะพาเราเที่ยวรอบๆแถวนี้พร้อมบอกราคาเริ่มต้นที่ 300 หยวน
แฟนเรา : ไม่ไป จะไปแค่ Subway จะไปไหม๊
คนขับ : ได้ๆ 3 หยวนนะ
เราคิดในใจ แค่ 3 หยวนเองหรอ ถูกจัง แฟนเราก็หันมามองหน้าว่าถูกจัง ฟังผิดหรือเปล่า พวกเราก็เลยถามย้ำว่า 3 หยวนหรอ 3 อาร์เอมบี? เราช่วยย้ำว่า 3 RMB แบบว่าสามสี่รอบ คนขับก็ยิ้ม พยักหน้าๆๆ ชูสามนิ้ว แล้วก็ดันๆให้ขึ้นนั่ง เรากับแฟนก็ขึ้นนั่ง
พอคนขับเริ่มออกตัวไปได้หน่อยเดียว หน่อยเดียวจริงๆ ก็มีรถสามล้ออีกคันมา เป็นสามล้อปั่นจักรยาน มาเทียบข้าง คนขับสองคนคุยกัน เราไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน เสร็จแล้วคนขับคันที่เรากับแฟนนั่งก็บอกให้พวกเราย้ายไปอีกคัน เราก็คิดในใจ ไหวหรอว่ะ ปั่นสองคนเนี่ยนะ เราก็หนักห้าสิบโลแล้ว แฟนเราอีกแปดสิบโล ก็นั่งกันไป เค้าก็ปั่นข้ามแยกไป แค่ข้ามแยกนะ ก็มีรถสามล้ออีกคันขับมาเทียบ เป็นสามล้อเครื่อง คนขับคุยกันเองอีกแล้ว ไม่รู้คุยอะไรกัน แล้วก็บอกให้แฟนเราไปนั่นอีกคัน ทีนี้สองคันขับตามกันไป เรานำหน้า แฟนตามหลัง เรานั่งนิ่งๆ มองรอบข้าง หันไปมองแฟนทีนึง แล้วก็นั่งตั้งใจฟังเสียงรถสามล้อที่แฟนนั่งว่าขับตามมาหรือเปล่า สักพักสามล้อก็พาเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ เราเองนึกในใจว่าจะโดนหลอกอีกหรือเปล่า แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีว่าคงเป็นทางลัดมั้ง ขับเข้าไปลึกได้สักพัก เสียงรถสามล้อที่แฟนนั่งเริ่มห่างออกไป เราก็เลยหันไปมอง มันจอด เราก็ตกใจว่าจอดทำไม แล้วทำไมเราไม่จอด แล้วนี่ก็ยังไม่ถึง Subway ไม่มีคนเดินพลุกพล่าน มันคือซอยเปลี่ยว ไม่ใช่ถนนใหญ่ เรากำลังจะหันไปหาคนขับ มันก็จอดพอดี พอจอดปุ๊บ คนขับกระโดดลงมา ยื่นมือมาจะเอาเงินจากเรา เราโบกให้มันถอยไป ให้เราลงก่อน พอลงมาปั๊บมันเดินหน้ามา ยื่นมือมาจะเอาเงิน บอกเรา 300 หยวน ไอ้หน้า เราเลยบอกไม่มีเงิน ต้องเอาที่แฟน เราก็รอให้แฟนเดินมาสมทบ พอแฟนเราเดินมา พวกมันก็ต้อนเราให้ไม่ไม่มีทางหนี ด้านหลังเราเป็นรถที่จอดไว้ข้างกำแพง ด้านขวาเราเป็นรถสามล้อที่เรานั่ง ด้านซ้ายเป็นคนขับรถสามล้อคนนึง ด้านหน้าก็เป็นคนขับอีกคนนึง พวกมันผู้ชายสองคน รูปร่างเหมือนคนเอเชียทั่วไป สูงประมาณร้อยเจ็ดสิบ รูปร่างคนงานกรรมกรทั่วไป เราก็ผู้หญิงทั่วไปไม่ได้ผอมไม่ได้อ้วน กับแฟนเราอเมริกันสูงใหญ่กว่าคนขับสามล้อสองคนนั้น แต่เป็นอเมริกันรูปร่างทั่วไปไม่ได้เล่นกล้ามไม่ได้อ้วนหน้าใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ผอมแห้ง ถ้าตัวต่อตัวเอาอยู่แน่ แต่เรากลัวมันจะรุม แล้วอีกอย่างคือเราไม่ได้พกมีดพับสวิสกันมาเลยทั้งคู่
พอพวกเราไม่ให้เงิน พวกเราบอกว่าไม่ใช่ที่ตกลงกันไว้ พวกมันสองคนก็เริ่มตะโกน แล้วผลักอกแฟนเรา โบกไม้โบกมือ แล้วทำสีหน้าท่าทางแบบว่าเราตลบตะแลงไม่ยอมจ่ายตามที่ตกลงกันไว้ ถ้าเป็นคนอื่นๆ อาจจะกลัวจนให้เงินพวกมันไป แต่แฟนเรายืนยันไม่ให้ ยังไงก็ไม่ให้ พวกมันเลยเริ่มผลักอกแฟนเราก่อน จะเอาเงินๆ แฟนเราก็ผลักกลับ แล้วบอกอย่ามาแตะต้องตัว ก็ยังคนมีผลักกันไปมาอีกสองสามที จนมีคนเดินผ่านมา เป็นคนจีน เดินผ่านข้างหลังคนขับสามล้อ ตอนแรกเรานึกว่าเค้าจะเดินผ่านไปเฉยๆ แต่เค้าเดินกลับมา ผ่านไปทางด้านหลังคนขับสามล้อ มองหน้าเราแล้วพยักหน้าให้ แล้วก็เดินลับมุมหายไปทางที่เค้าเดินมาตอนแรก เราคิดว่าเค้าน่าจะไปหาคนมาช่วย สักพักก็มีคนหน้าตาเอเชียตัวใหญ่เดินผ่านมา เค้าเดินผ่านพวกเราไปแล้วก็หยุดมอง เราเลยขอให้เค้าช่วย เค้าบอกให้โทรศัพท์เรียกตำรวจสิ เราเลยขอให้เค้าช่วยโทรให้หน่อย เพราะของเรามันโทรไม่ได้ แล้วพวกคนขับสามล้อตะโกนว่าอะไรใส่ผู้ชายคนนั้นไม่รู้ ผู้ชายคนนั้นเค้าพูดภาษาจีนโต้กลับได้ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบอกเราจะโทรให้เดี๋ยวนี้ พอพวกคนขับสามล้อมันเห็นว่าจะโทรเรียกตำรวจ มันเลยบอกว่า โอเคๆ เอามา 3 หยวนก็ได้ แฟนเรามองหน้ามันแล้วเลยหยิบให้มันไป แล้วแฟนก็รีบพาเราเดินออกมาจากตรงนั้น พวกคนขับรถสามล้อก็ตะโกนอะไรตามมาก็ไม่ได้รู้ พอเราเดินออกมาจากซอยก็เจอถนนใหญ่พอดี เราก็โล่งอกมาก แฟนเราก็ขอบคุณผู้ชายคนนั้น แล้วก็แยกกัน
เราโชคดีมากที่มีคนผ่านมาช่วย เราเข้าใจว่าคนจีนเองก็ไม่อยากมีเรื่องก็เลยไม่อยากยุ่ง แต่เราโชคดีที่ผู้ชายคนที่ผ่านมาช่วยพูดภาษาอังกฤษได้ และเค้าบอกว่ามาจากแคนาดา แถมพูดภาษาจีนได้อีกด้วย แล้วเค้าก็ตัวใหญ่ แถมเต็มใจช่วยพวกเรา พอเรากลับถึงโรงแรมยังรู้สึกหวิวๆอยู่เลย มันน่ากลัวมาก กลัวตรงที่เราไม่มีอาวุธติดตัว กลัวที่ไม่รู้ว่าพวกมันมีอาวุธหรือเปล่า เสียใจตรงที่เราไม่สามารถตะโกนคำว่าช่วยด้วยเป็นภาษาจีนได้

..... พื้นที่ไม่พอ เดี๋ยวต่อด้านล่างนะคะ .....
ชื่อสินค้า:   ปักกิ่ง Beijing
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่