เครดิต : นิตยสาร FHM
เรื่อง : อภิศักดิ์ เจือจาน ข้อมูล : USA Today, AP, NBC, BBC, Xinhua, ไทยรัฐ, คมชัดลึก
FHM ขอแนะนำให้คุณรู้จักกับ 10 บุคคลสำคัญที่ยมบาลยังไม่ต้องการตัว พวกเขาตกอยู่ในอันตรายสุดขีด ซึ่งน้อยคนนักที่จะเอาชีวิตรอดกลับมาได้... แต่พวกเขากลับทำได้ซะงั้น!
1. URUGUAYAN AIR FORCE FLIGHT 571
เรื่องราวการรอดชีวิตที่ทั้งน่าเอาใจช่วย และน่าสยดสยองในคราวเดียวกัน...
12 ต.ค. 1972 เครื่องบินแฟร์ไชด์ FH-227D เที่ยวบินที่ 571 ของกองทัพอากาศอุรุกวัยพร้อมผู้โดยสาร 45 ชีวิต บินออกจากท่าอากาศยานคาร์ราสโก มุ่งหน้าไปยังซานติเอโก้ ประเทศชิลี เพื่อนำนักรักบี้ทีมโอลด์คริสเตียนส์ของมหาวัทยาลัยสเตลล่ามาริสไปแข่งนัดกระชับมิตร แต่เนื่องจากสภาพอากาศในวันเดินทางค่อนข้างแย่ในวันที่ 13 ต.ค.1972 ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น!
15.30 น. ขณะแฟร์ไชด์กำลังบินอยู่เหนือเทือกเขาแอนดีส พวกเขาเจอสภาพอากาศแปรปรวนอย่างรุนแรงจนเครื่องพยุงตัวไม่ได้ ต้องลงจอดฉุกเฉินที่ยอดเขาแห่งหนึ่งบนเทือกเขาแอนดีส ตัวเครื่องกระแทกพื้นอย่างแรกจนปีกและท้ายหัก ผู้โดยสารบางคนกระเด็นออกไปตายนอกเครื่อง บางคนตายเพราะการกระแทก รวมแล้วตายทันที 12 ศพ ที่เหลือก็ต้องติดอยู่บนความสูง 10,300 ฟุตซึ่งมีหิมะหนาถึง 15 เมตร ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร ประทังชีวิตด้วยช็อกโกแล็ตที่มีเพียงน้อยนิด และน้ำที่ลำลายจากหิมะ ด้วยสภาพที่เลวร้ายจึงทำให้ทยอยตายลงไปทีละคนๆ ศพถูกขนไปฝังไว้ใต้กองหิมะ
วันที่ 9 หลังเครื่องตก ความหิวเกาะกินพวกเขาอย่างหนัก คาเนสซ่า หนึ่งในผู้รอดชีวิตเสนอไอเดียให้กินเนื้อศพที่ฝังไว้เพื่อประทังชีวิต แรกๆ ก็โดนค้านอย่างรุนแรง แต่เมื่อเวลาผ่านไป 2 อาทิตย์ ศพแรกก็ถูกขุดขึ้นมาโดยมีคาเนสซ่าเป็นหัวโจก เขาใช้มีดเฉือนเนื้อเป็นชิ้นบางๆ แล้วกลืนลงคอ หลายคนยังปฏิเสธการกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน แต่หลังจากศพแรกหมดไป การกินเนื้อคนก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปทันที ศพค่อยๆ ถูกขุดขึ้นมาทีละร่าง และเริ่มพัฒนาจากการกินเนื้อดิบไปเป็นการย่างบนฟอยล์
4 อาทิตย์หลังเกิดเหตุ พวกเขาตัดสินใจส่งตัวแทน 3 คนที่ยังพอมีแรงเดินลงเขาไปขอความช่วยเหลือ แต่ 2 วันหลังจากนั้นก็ทำได้แค่เดินหลงทางวนเวียนก่อนจะกลับมาที่ซากเครื่องอย่างสิ้นหวัง เวลาผ่านไปจนเข้าอาทิตย์ที่ 7 คาเนสซ่าเริ่มเสนอให้ทุกคนกินสมองของศพเพราะเป็นส่วนที่มีแร่ธาตุมากที่สุด ในขณะเดียวกันก็ยังพยายามเดินลงเขาไปหาความช่วยเหลืออยู่ตลอด
16 ธ.ค.1972 คาเนสซ่าและปาร์ราโด้ สองตัวแทนที่อาสาเดินลงเขาก็ได้พบพื้นที่ปศุศัตว์และวัวตัวหนึ่ง และอีก 5 วันถัดมาเขาก็ได้พบชาวนาอยู่ทางฝั่งแม่น้ำตรงข้าม และได้นำความช่วยเหลือมาสู่ 16 ผู้รอดชีวิตในที่สุด รวมเวลาตั้งแต่เครื่องตกจนถึงวันที่ได้รับคยวามช่วยเหลือทั้งสิ้น 72 วันเต็มๆ!
ปี 1993 แฟรงค์ มาแชล ได้หยิบเรื่องนี้มาสร้างเป็นภาพยนตร์ Alive: The Miracle of the Andes (นำแสดงโดย อีธาน ฮอว์ก และจอห์น มาโควิช)
2. ARON RALSTON
เรื่องราวของนักปีนเขาคนนี้โด่งดังไปทั่วโลกเพราะถูกนำมาสร้างเป็นหนังที่เข้าชิงรางวัลออสการ์เรื่อง 127 Hours...
เดือน พ.ค. 2003 แอรอน ราลสตัน กำลังสนุกกับการไต่หน้าผาในบลูจอห์นแคนยอน (อุทยานแห่งชาติแคนยอนแลนด์ มลรัฐยูทาห์) ระหว่างที่เขามุดลงไปในซอกหินขนาดใหญ่อยู่นั้นเอง จู่ๆ หินก้อนใหญ่ก็หล่นลงมาทับแขนขวาของเขาเข้าอย่างจัง ทำให้เขาต้องติดแหง็ก ทิ้งตัวห้อยต่องแต่งคาอยู่อย่างนั้น
ราลสตันรู้ดีว่าไม่มีใครหาเขาเจอแน่ๆ และถ้ายังติดแหง็กอยู่ยังงี้ สิ่งที่เขาเขาทำได้ก็มีแต่การนับถอยหลังรอความตายเท่านั้น เขาใช้เวลาระหว่างที่พยายามหาทางให้แขนหลุดออกมา ด้วยการใช้มีดพกสลักชื่อ วันเดือนปีเกิด และคำนวณวันตายของตัวเอง เนื่องจากขนมและน้ำกำลังจะหมดลงในไม่ช้า พร้อมทั้งพูดสั่งเสียและบรรยายความรู้สึกถึงทุกคนที่รักลงในวิดีโอเทป
ระหว่างที่ต้องติดแหง็กอยู่ในช่องหินแคบๆ นี้ทำให้เขาต้องผจญกับสภาพอากาศสุดเลวร้าย และได้คิดทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง จนในที่สุดเมื่อเวลาล่วงเคยเข้าสู่วันที่ 5 ของอุบัติเหตุเขาก็ตัดสินใจครั้งเด็ดขาด ในเมื่อเขาหาวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว และสิ่งที่ทำให้เขาต้องติดอยู่ในที่แคบๆ แห่งนี้มีเพียงแขนขวาเท่านั้น เขาจึงใช้มีดพกตัดแขนของตัวเองเพื่อปลดเปลื้องพันธนาการนี้ซะ ด้วยการเฉือนเนื้อ หักกระดูก แล้วตัดเส้นเอ็น ก่อนจะทิ้งตัวลงจากความสูง 65 ฟุต และกัดฟันปีนเขาด้วยระยะทางอีกกว่า 8 ไมล์ จนได้รับความช่วยเหลือในที่สุด... เรานับถือน้ำใจนายจริงๆ ว่ะ ราลสตัน!
3. 33 MINERS in CHILE
ปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง เมื่อ 33 คนงานเหมืองในชิลีรอดจากอุบัติเหตุเหมืองแร่ครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ชิลีมาได้...
5 ส.ค. 2010 เกิดอุบัติเหตุเหมืองแร่ทางตอนเหนือของทะเลทรายในชิลีถล่ม ทำให้คนงาน 33 ชีวิตโดนขังอยู่ใต้พื้นดินลึก 700 เมตรทันที เดชะบุญ ที่นั่นยังมีออกซิเจน น้ำ และอาหารเพื่อประทังชีวิต
3 วันต่อมา หน่วยกู้ภัยเริ่มการขุดเจาะเพื่อส่งท่อที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 ซ.ม. เพื่อพยายามระบุตำแหน่งของคนงานทั้ง 33 ชีวิตให้ได้ โดยประธานาธิบดีปิเนรายืนยันว่า รัฐบาลจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตพวกเขาให้ได้ แม้จะมีความหวังอยู่เพียงน้อยนิด ก่อนที่ชาวชิลีทั้งประเทศจะได้ดีใจครั้งใหญ่ครั้งแรกหลังเกิดเหตุ เมื่อทางการสามารถแพร่ภาพคนงานทั้ง 33 คนทางทีวีได้เป็นครั้งแรก หลังจากติดอยู่ใต้เหมืองมานาน 17 วัน และรุ่งขึ้นหน่วยกู้ภัยก็เริ่มส่งกลูโคสและน้ำลงไปให้เพิ่มเติม
7 ก.ย.2010 ซึ่งเป็นวันชาติของชิลี ชาวเมืองต่างเฉลิมฉลองการเป็นอิสระภายใต้การปกครองของสเปนครบ 200 ปี และทีมกู้ภัยก็สามารถระบุตำแหน่งของคนงานได้สำเร็จ ทำให้วันรุ่งขึ้นมีคลิปวิดีโอแพร่ภาพคนงานทั้ง 33 ชีวิตที่พร้อมใจกันร้องเพลงชาติ และเต้นรำกันอย่างรื่นเริงจากใต้เหมือง ก่อนที่เดือนต่อมา ทีมกู้ภัยจะได้ส่งท่อ T-130 (Plan B) ความยาว 624 เมตร ถูกส่งลงไปยังตำแหน่งของคนงาน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการช่วยชีวิต
13 ต.ค.2010 ปฏิบัติการช่วยชีวิตเริ่มต้นขึ้น โดยการส่งทีมกู้ภัยลงไปทางแคปซูล พร้อมกับการขุดอุโมงค์อย่างระมัดระวัง จนในที่สุดคนงานคนแรกคือ ฟลอเรนซิโอ อวาลอส ก็ได้รับการช่วยชีวิตขึ้นมาได้สำเร็จเป็นคนแรก โดยมี ปธน.ปิเนราของชิลีเดินทางมารับขวัญด้วยตนเอง ก่อนที่จะทยอยช่วยคนงานที่เหลือจนครบทั้ง 33 ชีวิต ถือเป็นปาฏิหารย์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
และตามฟอร์ม... เหตุการณ์นี้ได้ถูกซื้อลิขสิทธิ์เพื่อนำไปสร้างเป็นหนัง โดยบริษัทของดาราดังอย่าง แบรด พิตต์ และพวกเขาทั้ง 33 ชีวิตก็จะได้มาร่วมแสดงกันด้วย
4. WINNIE TILIN
หนูน้อยวัย 16 เดือนรอดตายจากเหตุแผ่นดินไหวในเฮติเมื่อต้นเดือน ม.ค.2010 ทั้งที่ติดอยู่ใต้ซากอิฐนาน 68 ชั่วโมง!
ขณะเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังเร่งช่วยเหลือผู้รอดชีวิตหลังเหตุแผ่นดินไหวมาแล้ว 68 ชั่วโมง จู่ๆ ไมค์กี้ อามอร์ ผู้สื่อข่าวสาวของช่องโทรทัศน์ออสเตรเลียซึ่งลงพื้นที่ไปทำข่าวแผ่นดินไหวที่กรุงปอร์โตแปรงซ์ ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องออกมาจากใต้ซากปรักหักพังที่เธอกำลังยืนรายงานข่าวอยู่ เธอจึงรีบเดินไปทางต้นเสียง และก็ได้พบกับแม่หนูน้อย วินนีย์ ทิลิน วัย 16 เดือนที่กำลังติดอยู่ใต้ซากบ้านของเธอเอง ไมค์กี้จึงช่วยดึงแม่หนูออกมาอย่างปลอดภัย สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนสุดๆ ที่เธอยังมีลมหายใจอยู่ได้ แถมยังดูมีสุขภาพแข็งแรงเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้นเลย ทั้งๆ ที่ติดอยู่ที่นี่มานานถึง 68 ชั่วโมงโดยไม่มีทั้งน้ำและอาหาร... ผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงขนาดนี้มาได้ ชีวิตนี้เอ็งไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว อีหนูเอ๊ย!
5. POON LIM
อากงหนังเหนียวถ่อแพกลางมหาสมุทรแอตแลนติกนาน 133 วัน รอดปาฏิหาริย์...
ปี 1942 (ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนั้นอากงอายุ 24 ปี) เป็นกะลาสีในเรือพาณิชย์ของอังกฤษที่ชื่อ SS Ben Lomond เดินทางจากแอฟริกาใต้มุ่งหน้าไปยังแคว้นสุรินัมของฮอลันดา แต่ขณะกำลังข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกอยู่นั้น เรือก็โดนตอร์ปิโดของเรือดำน้ำเยอรมันเข้าอย่างจัง เขารีบสวมเสื้อชูชีพแล้วกระโดดลงพื้นน้ำทันที เดชะบุญ... หลังจากตะเกียกตะกายว่ายน้ำเอาชีวิตรอดอยู่ 2 ชั่วโมง ก็มีลังเสบียงขนาดยักษ์ลอยน้ำผ่านมา ในนั้นมีบิสกิต น้ำจืด และอุปกรณ์อย่างอื่นอีกเพียบ เขารีบปีนขึ้นไปบนลังทันที จัดการดัดแปลงมันให้เป็นแพพร้อมดำรงชีวิตอยู่บนนั้นเพื่อรอหน่วยกู้ภัย
ด้วยสถิติการลอยเท้งเต้งอยู่ในมหาสมุทรยาวนานถึง 133 วัน ทำให้อากงกลายเป็นมนุษย์ที่รอการช่วยเหลืออยู่ในทะเลนานที่สุดในโลก เขาดื่มน้ำจากน้ำฝนที่รองจากผ้าใบหลังคา ใช้เล็บที่งอกออกมาจนยาวเฟื้อยแทนฉมวกแทงปลา นั่นเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขามีชีวิตอยู่รอดมาได้
ครั้งหนึ่ง มีเรือหาปลาแล่นผ่านมาเจออากงเข้าโดยบังเอิญ แต่ลูกเรือดันไม่ยอมช่วยแกด้วยสาเหตุเพียงเพราะแกเป็นคนจีน และอีกครั้งหนึ่งที่เครื่องบินรบของอเมริกามาเห็นแกเข้า และพยายามโยนเรือชูชีพลงมาช่วย แต่ระหว่างนั้นดันเกิดลมพายุขึ้นมากะทันหัน พัดแกให้ลอยจากไปไกลซะได้
31 มี.ค. 1943 อากงสังเกตเห็นว่าสีของน้ำทะเลเปลี่ยนไป นั่นเป็นสัญญาณว่าแพอยู่ไม่ไกลจากฝั่งแล้ว และอีกห้าวันต่อมา ในวันที่ 5 เม.ย.1943 หรือ 133 วันหลังเกิดเหตุ แพของอากงก็ลอยเข้ามาในอ่าวและได้รับการช่วยเหลือโดยชาวเลเลือดบราซิลเลี่ยน สิ้นสุดการเดินทางที่โคตรจะยาวนานและทรมานลงจนได้
อากงน้ำหนักลดลงไป 9 กิโล แต่ก็ยังสามารถเดินได้ เขาพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลที่บราซิล 2 อาทิตย์ ก่อนที่กงสุลอังกฤษจะมารับตัวเขากลับ... อากงเล่าหลังจากนั้นว่า ตลอดเวลาที่อยู่บนแพ แรกๆ เขาก็เฝ้านับวันนับคืนรอว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาช่วย แต่ยิ่งนับยิ่งรู้สึกว่ามันนาน ก็เลยเปลี่ยนมานับเฉพาะคืนเดือนเพ็ญแทน!
10 บุคคลเฉียดตายที่รอดมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ!?
เรื่อง : อภิศักดิ์ เจือจาน ข้อมูล : USA Today, AP, NBC, BBC, Xinhua, ไทยรัฐ, คมชัดลึก
FHM ขอแนะนำให้คุณรู้จักกับ 10 บุคคลสำคัญที่ยมบาลยังไม่ต้องการตัว พวกเขาตกอยู่ในอันตรายสุดขีด ซึ่งน้อยคนนักที่จะเอาชีวิตรอดกลับมาได้... แต่พวกเขากลับทำได้ซะงั้น!
1. URUGUAYAN AIR FORCE FLIGHT 571
เรื่องราวการรอดชีวิตที่ทั้งน่าเอาใจช่วย และน่าสยดสยองในคราวเดียวกัน...
12 ต.ค. 1972 เครื่องบินแฟร์ไชด์ FH-227D เที่ยวบินที่ 571 ของกองทัพอากาศอุรุกวัยพร้อมผู้โดยสาร 45 ชีวิต บินออกจากท่าอากาศยานคาร์ราสโก มุ่งหน้าไปยังซานติเอโก้ ประเทศชิลี เพื่อนำนักรักบี้ทีมโอลด์คริสเตียนส์ของมหาวัทยาลัยสเตลล่ามาริสไปแข่งนัดกระชับมิตร แต่เนื่องจากสภาพอากาศในวันเดินทางค่อนข้างแย่ในวันที่ 13 ต.ค.1972 ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น!
15.30 น. ขณะแฟร์ไชด์กำลังบินอยู่เหนือเทือกเขาแอนดีส พวกเขาเจอสภาพอากาศแปรปรวนอย่างรุนแรงจนเครื่องพยุงตัวไม่ได้ ต้องลงจอดฉุกเฉินที่ยอดเขาแห่งหนึ่งบนเทือกเขาแอนดีส ตัวเครื่องกระแทกพื้นอย่างแรกจนปีกและท้ายหัก ผู้โดยสารบางคนกระเด็นออกไปตายนอกเครื่อง บางคนตายเพราะการกระแทก รวมแล้วตายทันที 12 ศพ ที่เหลือก็ต้องติดอยู่บนความสูง 10,300 ฟุตซึ่งมีหิมะหนาถึง 15 เมตร ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร ประทังชีวิตด้วยช็อกโกแล็ตที่มีเพียงน้อยนิด และน้ำที่ลำลายจากหิมะ ด้วยสภาพที่เลวร้ายจึงทำให้ทยอยตายลงไปทีละคนๆ ศพถูกขนไปฝังไว้ใต้กองหิมะ
วันที่ 9 หลังเครื่องตก ความหิวเกาะกินพวกเขาอย่างหนัก คาเนสซ่า หนึ่งในผู้รอดชีวิตเสนอไอเดียให้กินเนื้อศพที่ฝังไว้เพื่อประทังชีวิต แรกๆ ก็โดนค้านอย่างรุนแรง แต่เมื่อเวลาผ่านไป 2 อาทิตย์ ศพแรกก็ถูกขุดขึ้นมาโดยมีคาเนสซ่าเป็นหัวโจก เขาใช้มีดเฉือนเนื้อเป็นชิ้นบางๆ แล้วกลืนลงคอ หลายคนยังปฏิเสธการกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน แต่หลังจากศพแรกหมดไป การกินเนื้อคนก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปทันที ศพค่อยๆ ถูกขุดขึ้นมาทีละร่าง และเริ่มพัฒนาจากการกินเนื้อดิบไปเป็นการย่างบนฟอยล์
4 อาทิตย์หลังเกิดเหตุ พวกเขาตัดสินใจส่งตัวแทน 3 คนที่ยังพอมีแรงเดินลงเขาไปขอความช่วยเหลือ แต่ 2 วันหลังจากนั้นก็ทำได้แค่เดินหลงทางวนเวียนก่อนจะกลับมาที่ซากเครื่องอย่างสิ้นหวัง เวลาผ่านไปจนเข้าอาทิตย์ที่ 7 คาเนสซ่าเริ่มเสนอให้ทุกคนกินสมองของศพเพราะเป็นส่วนที่มีแร่ธาตุมากที่สุด ในขณะเดียวกันก็ยังพยายามเดินลงเขาไปหาความช่วยเหลืออยู่ตลอด
16 ธ.ค.1972 คาเนสซ่าและปาร์ราโด้ สองตัวแทนที่อาสาเดินลงเขาก็ได้พบพื้นที่ปศุศัตว์และวัวตัวหนึ่ง และอีก 5 วันถัดมาเขาก็ได้พบชาวนาอยู่ทางฝั่งแม่น้ำตรงข้าม และได้นำความช่วยเหลือมาสู่ 16 ผู้รอดชีวิตในที่สุด รวมเวลาตั้งแต่เครื่องตกจนถึงวันที่ได้รับคยวามช่วยเหลือทั้งสิ้น 72 วันเต็มๆ!
ปี 1993 แฟรงค์ มาแชล ได้หยิบเรื่องนี้มาสร้างเป็นภาพยนตร์ Alive: The Miracle of the Andes (นำแสดงโดย อีธาน ฮอว์ก และจอห์น มาโควิช)
2. ARON RALSTON
เรื่องราวของนักปีนเขาคนนี้โด่งดังไปทั่วโลกเพราะถูกนำมาสร้างเป็นหนังที่เข้าชิงรางวัลออสการ์เรื่อง 127 Hours...
เดือน พ.ค. 2003 แอรอน ราลสตัน กำลังสนุกกับการไต่หน้าผาในบลูจอห์นแคนยอน (อุทยานแห่งชาติแคนยอนแลนด์ มลรัฐยูทาห์) ระหว่างที่เขามุดลงไปในซอกหินขนาดใหญ่อยู่นั้นเอง จู่ๆ หินก้อนใหญ่ก็หล่นลงมาทับแขนขวาของเขาเข้าอย่างจัง ทำให้เขาต้องติดแหง็ก ทิ้งตัวห้อยต่องแต่งคาอยู่อย่างนั้น
ราลสตันรู้ดีว่าไม่มีใครหาเขาเจอแน่ๆ และถ้ายังติดแหง็กอยู่ยังงี้ สิ่งที่เขาเขาทำได้ก็มีแต่การนับถอยหลังรอความตายเท่านั้น เขาใช้เวลาระหว่างที่พยายามหาทางให้แขนหลุดออกมา ด้วยการใช้มีดพกสลักชื่อ วันเดือนปีเกิด และคำนวณวันตายของตัวเอง เนื่องจากขนมและน้ำกำลังจะหมดลงในไม่ช้า พร้อมทั้งพูดสั่งเสียและบรรยายความรู้สึกถึงทุกคนที่รักลงในวิดีโอเทป
ระหว่างที่ต้องติดแหง็กอยู่ในช่องหินแคบๆ นี้ทำให้เขาต้องผจญกับสภาพอากาศสุดเลวร้าย และได้คิดทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง จนในที่สุดเมื่อเวลาล่วงเคยเข้าสู่วันที่ 5 ของอุบัติเหตุเขาก็ตัดสินใจครั้งเด็ดขาด ในเมื่อเขาหาวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว และสิ่งที่ทำให้เขาต้องติดอยู่ในที่แคบๆ แห่งนี้มีเพียงแขนขวาเท่านั้น เขาจึงใช้มีดพกตัดแขนของตัวเองเพื่อปลดเปลื้องพันธนาการนี้ซะ ด้วยการเฉือนเนื้อ หักกระดูก แล้วตัดเส้นเอ็น ก่อนจะทิ้งตัวลงจากความสูง 65 ฟุต และกัดฟันปีนเขาด้วยระยะทางอีกกว่า 8 ไมล์ จนได้รับความช่วยเหลือในที่สุด... เรานับถือน้ำใจนายจริงๆ ว่ะ ราลสตัน!
3. 33 MINERS in CHILE
ปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง เมื่อ 33 คนงานเหมืองในชิลีรอดจากอุบัติเหตุเหมืองแร่ครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ชิลีมาได้...
5 ส.ค. 2010 เกิดอุบัติเหตุเหมืองแร่ทางตอนเหนือของทะเลทรายในชิลีถล่ม ทำให้คนงาน 33 ชีวิตโดนขังอยู่ใต้พื้นดินลึก 700 เมตรทันที เดชะบุญ ที่นั่นยังมีออกซิเจน น้ำ และอาหารเพื่อประทังชีวิต
3 วันต่อมา หน่วยกู้ภัยเริ่มการขุดเจาะเพื่อส่งท่อที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 ซ.ม. เพื่อพยายามระบุตำแหน่งของคนงานทั้ง 33 ชีวิตให้ได้ โดยประธานาธิบดีปิเนรายืนยันว่า รัฐบาลจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตพวกเขาให้ได้ แม้จะมีความหวังอยู่เพียงน้อยนิด ก่อนที่ชาวชิลีทั้งประเทศจะได้ดีใจครั้งใหญ่ครั้งแรกหลังเกิดเหตุ เมื่อทางการสามารถแพร่ภาพคนงานทั้ง 33 คนทางทีวีได้เป็นครั้งแรก หลังจากติดอยู่ใต้เหมืองมานาน 17 วัน และรุ่งขึ้นหน่วยกู้ภัยก็เริ่มส่งกลูโคสและน้ำลงไปให้เพิ่มเติม
7 ก.ย.2010 ซึ่งเป็นวันชาติของชิลี ชาวเมืองต่างเฉลิมฉลองการเป็นอิสระภายใต้การปกครองของสเปนครบ 200 ปี และทีมกู้ภัยก็สามารถระบุตำแหน่งของคนงานได้สำเร็จ ทำให้วันรุ่งขึ้นมีคลิปวิดีโอแพร่ภาพคนงานทั้ง 33 ชีวิตที่พร้อมใจกันร้องเพลงชาติ และเต้นรำกันอย่างรื่นเริงจากใต้เหมือง ก่อนที่เดือนต่อมา ทีมกู้ภัยจะได้ส่งท่อ T-130 (Plan B) ความยาว 624 เมตร ถูกส่งลงไปยังตำแหน่งของคนงาน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการช่วยชีวิต
13 ต.ค.2010 ปฏิบัติการช่วยชีวิตเริ่มต้นขึ้น โดยการส่งทีมกู้ภัยลงไปทางแคปซูล พร้อมกับการขุดอุโมงค์อย่างระมัดระวัง จนในที่สุดคนงานคนแรกคือ ฟลอเรนซิโอ อวาลอส ก็ได้รับการช่วยชีวิตขึ้นมาได้สำเร็จเป็นคนแรก โดยมี ปธน.ปิเนราของชิลีเดินทางมารับขวัญด้วยตนเอง ก่อนที่จะทยอยช่วยคนงานที่เหลือจนครบทั้ง 33 ชีวิต ถือเป็นปาฏิหารย์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
และตามฟอร์ม... เหตุการณ์นี้ได้ถูกซื้อลิขสิทธิ์เพื่อนำไปสร้างเป็นหนัง โดยบริษัทของดาราดังอย่าง แบรด พิตต์ และพวกเขาทั้ง 33 ชีวิตก็จะได้มาร่วมแสดงกันด้วย
4. WINNIE TILIN
หนูน้อยวัย 16 เดือนรอดตายจากเหตุแผ่นดินไหวในเฮติเมื่อต้นเดือน ม.ค.2010 ทั้งที่ติดอยู่ใต้ซากอิฐนาน 68 ชั่วโมง!
ขณะเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังเร่งช่วยเหลือผู้รอดชีวิตหลังเหตุแผ่นดินไหวมาแล้ว 68 ชั่วโมง จู่ๆ ไมค์กี้ อามอร์ ผู้สื่อข่าวสาวของช่องโทรทัศน์ออสเตรเลียซึ่งลงพื้นที่ไปทำข่าวแผ่นดินไหวที่กรุงปอร์โตแปรงซ์ ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องออกมาจากใต้ซากปรักหักพังที่เธอกำลังยืนรายงานข่าวอยู่ เธอจึงรีบเดินไปทางต้นเสียง และก็ได้พบกับแม่หนูน้อย วินนีย์ ทิลิน วัย 16 เดือนที่กำลังติดอยู่ใต้ซากบ้านของเธอเอง ไมค์กี้จึงช่วยดึงแม่หนูออกมาอย่างปลอดภัย สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนสุดๆ ที่เธอยังมีลมหายใจอยู่ได้ แถมยังดูมีสุขภาพแข็งแรงเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้นเลย ทั้งๆ ที่ติดอยู่ที่นี่มานานถึง 68 ชั่วโมงโดยไม่มีทั้งน้ำและอาหาร... ผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงขนาดนี้มาได้ ชีวิตนี้เอ็งไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว อีหนูเอ๊ย!
5. POON LIM
อากงหนังเหนียวถ่อแพกลางมหาสมุทรแอตแลนติกนาน 133 วัน รอดปาฏิหาริย์...
ปี 1942 (ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนั้นอากงอายุ 24 ปี) เป็นกะลาสีในเรือพาณิชย์ของอังกฤษที่ชื่อ SS Ben Lomond เดินทางจากแอฟริกาใต้มุ่งหน้าไปยังแคว้นสุรินัมของฮอลันดา แต่ขณะกำลังข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกอยู่นั้น เรือก็โดนตอร์ปิโดของเรือดำน้ำเยอรมันเข้าอย่างจัง เขารีบสวมเสื้อชูชีพแล้วกระโดดลงพื้นน้ำทันที เดชะบุญ... หลังจากตะเกียกตะกายว่ายน้ำเอาชีวิตรอดอยู่ 2 ชั่วโมง ก็มีลังเสบียงขนาดยักษ์ลอยน้ำผ่านมา ในนั้นมีบิสกิต น้ำจืด และอุปกรณ์อย่างอื่นอีกเพียบ เขารีบปีนขึ้นไปบนลังทันที จัดการดัดแปลงมันให้เป็นแพพร้อมดำรงชีวิตอยู่บนนั้นเพื่อรอหน่วยกู้ภัย
ด้วยสถิติการลอยเท้งเต้งอยู่ในมหาสมุทรยาวนานถึง 133 วัน ทำให้อากงกลายเป็นมนุษย์ที่รอการช่วยเหลืออยู่ในทะเลนานที่สุดในโลก เขาดื่มน้ำจากน้ำฝนที่รองจากผ้าใบหลังคา ใช้เล็บที่งอกออกมาจนยาวเฟื้อยแทนฉมวกแทงปลา นั่นเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขามีชีวิตอยู่รอดมาได้
ครั้งหนึ่ง มีเรือหาปลาแล่นผ่านมาเจออากงเข้าโดยบังเอิญ แต่ลูกเรือดันไม่ยอมช่วยแกด้วยสาเหตุเพียงเพราะแกเป็นคนจีน และอีกครั้งหนึ่งที่เครื่องบินรบของอเมริกามาเห็นแกเข้า และพยายามโยนเรือชูชีพลงมาช่วย แต่ระหว่างนั้นดันเกิดลมพายุขึ้นมากะทันหัน พัดแกให้ลอยจากไปไกลซะได้
31 มี.ค. 1943 อากงสังเกตเห็นว่าสีของน้ำทะเลเปลี่ยนไป นั่นเป็นสัญญาณว่าแพอยู่ไม่ไกลจากฝั่งแล้ว และอีกห้าวันต่อมา ในวันที่ 5 เม.ย.1943 หรือ 133 วันหลังเกิดเหตุ แพของอากงก็ลอยเข้ามาในอ่าวและได้รับการช่วยเหลือโดยชาวเลเลือดบราซิลเลี่ยน สิ้นสุดการเดินทางที่โคตรจะยาวนานและทรมานลงจนได้
อากงน้ำหนักลดลงไป 9 กิโล แต่ก็ยังสามารถเดินได้ เขาพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลที่บราซิล 2 อาทิตย์ ก่อนที่กงสุลอังกฤษจะมารับตัวเขากลับ... อากงเล่าหลังจากนั้นว่า ตลอดเวลาที่อยู่บนแพ แรกๆ เขาก็เฝ้านับวันนับคืนรอว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาช่วย แต่ยิ่งนับยิ่งรู้สึกว่ามันนาน ก็เลยเปลี่ยนมานับเฉพาะคืนเดือนเพ็ญแทน!